เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 542 สิ้นหวัง แขกผู้ไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมเยือน (2)
นางกำนัลที่ปรนนิบัติตอบด้วยความระมัดระวัง “นี่คือสิ่งที่เจินผินเหนียงเหนียงมอบให้ ตระกูลของเจินผินเหนียงเหนียงเป็นตระกูลบัณฑิต คาดว่าคงมีของพวกนี้เยอะมากพอสมควรเพคะ”
อวี้กุ้ยเฟยพลันถาม “ฝ่าบาทไม่ได้มากี่วันแล้ว”
ของที่ปกติชื่นชอบ ก็ไม่สามารถทำให้นางมีชีวิตชีวาได้
หลายวันนี้ ดวงตะวันทอแสงในยามสายัณห์ ผืนหญ้าเขียวชอุ่ม สายลมแผ่วเบาพัดเข้ามาจากบานหน้าต่างดับตะเกียงน้ำมัน สายฝนยามค่ำคืนดังก้องในใบหู นางเอนตัวนอนอยู่บนตั่งพลิกตัวไปมา ยากจะหลับตาลงได้
นางเพิ่งจะรู้รสชาติการถูกฝ่าบาทเมินเฉยว่าเป็นอย่างไร
ฝ่าบาทไม่เคยไม่มาหานางนานขนาดนี้ ไม่เรียกตัวนางเข้าเฝ้า หรือว่าฝ่าบาทค้นพบว่านางแพศยาที่ตำแหน่งฐานะต่ำต้อยผู้นั้นเหมือนมากกว่านาง
ไม่มีทาง! ระยะนี้ฝ่าบาทก็ไม่ได้ไปตำหนักของนาง
ฝ่าบาทไปแต่ตำหนักของเจินเฟย ตำหนักของหลี่เหม่ยเหริน หรือว่ารสนิยมของฝ่าบาทจะเปลี่ยนไป
ยิ่งคิดเช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้าง
ในเมื่อเข้าวังมาแล้ว ก็ต้องแย่งชิงความโปรดปราน ในเมื่อต้องแย่งชิงความโปรดปราน ก็ต้องได้ครอบครองมันแต่เพียงผู้เดียว
ความสิ้นหวังของสตรีในวังหลังไม่ได้เกิดขึ้นจากการไร้ความโปรดปรานในตอนแรกเริ่ม แต่มีสาเหตุจากการได้รับความรักและโปรดปรานมานานหลายปี จากนั้นก็พลันสูญเสียความโปรดปรานนั้นไป ความแตกต่างกันเช่นนี้ บีบบังคับให้ผู้คนต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ขุนนางในราชสำนัก เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ จึงบริหารจัดการบ้านเมืองให้ดี เพื่อชื่อเสียงจะได้ดีงามเลื่องลือไปเนิ่นนาน
สตรีในวังหลัง เพื่อความโปรดปราน เพื่ออำนาจ เพื่อโค่นล้มฐานอำนาจเก่า เพื่อให้กำเนิดบุตร จึงต่อสู้ฟาดฟันเพื่อผลักดันบุตรให้ขึ้นสู่บัลลังก์สูงสุด
สิ่งเหล่านี้เกี่ยวพันและเชื่อมโยงกัน ผสมกันเป็นแก่นแท้ที่แท้จริงของราชสำนักและวังหลัง
ตอนนี้อวี้กุ้ยเฟยใจเริ่มไม่สงบแล้ว
คนที่นั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ เขาไม่มีวันเป็นของสตรีผู้หนึ่งตลอดกาล หนทางในการอยู่ในวังหลัง มีเพียงแค่ ‘อดทน’ คำนี้เท่านั้น
ทว่า แม้ว่าแต่ก่อนหัวใจเขาจะไม่ใช่ของนาง แต่ตัวเขากลับอยู่ที่ตำหนักนางบ่อยๆ
หากฝ่าบาทไม่ยอมพบนาง อำนาจทั้งหมดที่นางสร้างไว้ในวังก็จะสลายไป
นาง…ไม่มีบัลลังก์ในวัง นาง…ไม่มีโอรสเช่นกัน นางที่เบื้องหลังไร้ซึ่งอำนาจอันแข็งแกร่ง อยู่ในวัง สิ่งที่นางสามารถพึ่งพาได้ก็มีแค่ความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีให้นาง
หากสูญเสียความโปรดปรานไป ผลที่จะเกิดขึ้นในภายหลังนั้นเลวร้ายเสียจนไม่กล้าแม้แต่จะคิด
คำถามของอวี้กุ้ยเฟย นางกำนัลมิกล้าไม่ตอบ เพียงแต่กราบทูลว่า “เมื่อครู่คนจากตำหนักเฉียนชิงมาแจ้งว่า เพลานี้ฝ่าบาทยุ่งมาก สำรับมื้อเย็นถูกนำไปส่งที่ห้องทรงพระอักษรแล้วเพคะ”
นั่นก็หมายความว่า วันนี้ฝ่าบาทไม่เสด็จมาอีกแล้ว
อวี้กุ้ยเฟยวางม้วนภาพวาด ชะโงกร่างไปมองท้องฟ้า พลางตรัสว่า “ไปเตรียมน้ำแกงบำรุงไต ฟื้นฟูสุขภาพด้วย ปรนนิบัติข้าผลัดอาภรณ์”
“เหนียงเหนียงจะไปพบฝ่าบาทหรือเพคะ”
อวี้กุ้ยเฟยขมวดคิ้ว
นางไปขอเข้าเฝ้ามาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนถูกขวางเอาไว้ วันนี้เป็นวันเกิดของนาง น่าจะมีโอกาสอยู่บ้าง
ขอเพียงแค่มีโอกาสน้อยนิด นางก็จะคว้ามันเอาไว้ ระยะนี้ฮองเฮายิ่งได้ใจขึ้นเรื่อยๆ หากนางไม่ได้หัวใจของฝ่าบาท ก็เกรงว่าอำนาจในการจัดการดูแลหกตำหนักจะมีการเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว
อวี้กุ้ยเฟยยกน้ำแกงไปถวายความเคารพ
ลู่กงกง ประการแรกสงสารฮ่องเต้ ประการที่สองคือยามปกติก็ได้รับผลประโยชน์จากอวี้กุ้ยเฟยไม่น้อย ดังนั้นจึงเอ่ยเรื่องดีๆ ของนางไปสองสามประโยค
ฮ่องเต้เป็นผู้มีปณิธานหนักแน่น การเอ่ยถึงเรื่องดีๆ ไม่กี่ประโยคก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงจิตใจเขาได้
แต่พอลองชั่งน้ำหนักดูเล็กน้อย ราชสำนักเรื่องเยอะ เรื่องในวังหลัง ทางที่ดียังต้องรักษาสภาพเดิมเอาไว้ก่อนจะดีกว่า ไม่อาจขาดคนคอยคานอำนาจไป ดังนั้นจึงสั่งให้ถ่ายทอดคำสั่งลงไป
สุดท้ายก็ได้รับความโปรดปรานมานานหลายปี สตรีนางนี้ก็รูปร่างหน้าตาเหมือนกับคนในใจมาก ไม่เจอเช่อเฟยนาน เมื่อได้เจอก็เหม่อลอยอย่างเลี่ยงไม่ได้
อวี้กุ้ยเฟยฉวยโอกาสออดอ้อนเอาใจ ฮ่องเต้จึงถือโอกาสรั้งนางไว้ปรนนิบัติยามบรรทม
ทว่าแม้ว่าจะเป็นกุ้ยเฟยปรนนิบัติยามบรรทม ก็ไม่อาจพักค้างแรมในตำหนักเฉียนชิงได้ อวี้กุ้ยเฟยที่ถูกประคองกลับไป แม้ว่าในใจจะสงบลงมาก แต่กลับมีความเกลียดชังไร้นามขึ้นในใจแทน
วันนี้ฮ่องเต้เอ่ยนามสตรีผู้นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าจะเบาและเลือนราง แต่นางก็ได้ยินแล้ว นามนี้ นางเคยได้ยินหลายครั้งอย่างไม่ได้ตั้งใจ
นางเป็นแค่ตัวแทนคนหนึ่ง
หากไม่มีสตรีนางนั้น อาศัยรูปโฉมและแผนการของนาง ฝ่าบาทจะต้องตกหลุมรักนาง แต่ไม่ใช่เป็นกังวลว่าจะถูกแทนที่ตลอดเวลาเช่นนี้
สตรีนางนั้นตายไปแล้ว แต่สตรีนางนั้นยังมีบุตรี
นางไม่มีโอกาสจัดการนาง แต่หาเรื่องหงุดหงิดใจให้กับบุตรีของนางนั้นสามารถทำได้
กลับไปถึงตำหนักเหยียนชิ่ง อวี้กุ้ยเฟยทอดสายตาเหม่อมองไปไกล แต่สมองกลับแจ่มใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถามซูหมัวมัวที่ปรนนิบัตินางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ได้ยินว่าหลังจากเรื่องพิธีปักปิ่นในครั้งที่แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าส่งคนไปที่จวนกั๋วกงอีก แม้กระทั่งสตรีที่จะเป็นสินเดิมติดตามไปตอนแต่งงานก็ไม่มีนั้นเป็นความจริงหรือไม่”
ซูหมัวมัวไม่รู้เหตุผล แต่ยังคงตอบคำถามอย่างนอบน้อม “ผู้คนในวังล้วนลือกันเช่นนี้ น่าจะเป็นเช่นนั้นเพคะ”
“พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องมาปรนนิบัติข้า แต่ไปส่งสารให้กับตระกูลผู้ตรวจการวั่นก่อน ให้เขาอย่าให้รับปากให้จื่ออิ๋งหมั้นหมายกับผู้ใดตามใจชอบ ข้าได้จัดเตรียมที่ไปให้นางแล้ว”
ซูหมัวมัวห่มผ้าห่มให้อวี้กุ้ยเฟยเรียบร้อยแล้ว ก็เป่าเทียนให้ดับ และหมุนตัวออกไปจากห้อง ส่วนอวี้กุ้ยเฟยกลับลืมตาโพลงอยู่อย่างนั้น
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
นางเคยพบจื่ออิ๋งบุตรีภรรยาเอกของตระกูลพี่ชายหลายครั้ง เป็นต้นกล้าชั้นดีที่ทำให้หมดห่วง รู้ว่าอันใดควรมิควร รู้จักรุก รู้จักถอย เป็นคนที่นิสัยนิ่งเงียบอย่างหาได้ยาก
จากการที่นางเดินหมากด้วยความใจเย็น จัดการเรื่องราวต่างๆ โดยไม่แสดงตน ก็สามารถมองออกว่าจิตใจลึกล้ำ เป็นตัวเลือกที่ไม่อาจขาดไปได้ในการทำการใหญ่ให้สำเร็จ
หากสามารถให้นางเข้าตระกูลหนิงได้ หากสามารถให้นางได้รับความรักและความสำคัญจากหัวหน้าตระกูลหนิง ก็เป็นเรื่องดียิ่งสำหรับตระกูลวั่น และเป็นผู้ช่วยในการต้านทานฮองเฮาของนางคนหนึ่ง
หากไม่ได้รับความรักและความสำคัญ อย่างนั้นก็สร้างความหงุดหงิดใจให้กับบุตรีของนังแพศยานั่น บุตรีของนางจะต้องใช้ชีวิตด้วยความไม่สบายใจ นางก็จะได้ระบายโทสะด้วยเช่นกัน
ขอเพียงแค่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นพร้อมกัน แค่จื่ออิ๋งคนเดียวไม่พอ ยังต้องเตรียมสตรีเพิ่มอีกนางหนึ่ง
รอจัดเตรียมคนเรียบร้อยแล้ว นางค่อยหาโอกาสไปขอร้องฝ่าบาท ให้ประทานคนให้ทันที ถึงตอนนั้น นางแพศยานั่นอยากจะปฏิเสธก็ปฏิเสธไม่ได้…
…
เมื่อหลูเจิ้งหยางเดินทางเข้าไปในหนานหลิง ก็ควบม้าเร็วเข้าไปในจวนผู้บังคับการทหารสูงสุดแห่งหนานหลิง
ผู้บังคับการทหารถานไถเมี่ยฉี อาจารย์ของเขา ยอดฝีมือในตำนานผู้นั้นความจริงแล้วเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของเซ่อเจิ้งอ๋อง
ถานไถเมี่ยฉีมีนามเดิมว่าถานไถหมิงหย่วน ตระกูลเขาเป็นขุนพลผู้ปราดเปรื่องแห่งยุคสมัย บรรพบุรุษล้วนสิ้นชีพในการทำสงครามกับเทียนฉี เดิมบิดาของเขาหวังว่าถึงรุ่นเขา จะละทิ้งการจับอาวุธแล้วหันไปเอาดีด้านการปกครองการบริหารแทน
จะรู้ได้เช่นไรว่านิสัยกับชื่อของเขาไม่เหมาะสม ตั้งแต่เยาว์วัยก็ชื่นชอบการต่อสู้ ตอนหนุ่มๆ ก็เดินทางไปทั่วทุกแห่ง หลังบรรลุนิติภาวะก็ตั้งชื่อให้ตนเองว่าเมี่ยฉี
คนผู้นี้มีพละกำลังมาก ไม่เพียงแต่จะมีบารมีในกองทัพ แต่ยังเจ้าเล่ห์มากอีกด้วย หลายครั้งลักลอบเข้ามาสืบเรื่องกองทัพในเทียนฉี
ที่รับหลูเจิ้งหยางเป็นศิษย์ ก็เพราะคิดอยากจะทำเรื่องหนึ่ง แล้วเขาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี
หลูเจิ้งหยางนั้นสมกับที่เป็นอัจฉริยะในการร่ำเรียนวรยุทธ์ สีครามเกิดจากสีน้ำเงิน แต่กลับเด่นกว่าสีน้ำเงิน[1]
ไม่เพียงแต่จะร่ำเรียนพลังวรยุทธ์ของถานไถเมี่ยฉี แต่ยังสามารถผสานรวมกับพลังภายในวรยุทธ์ของตระกูลหลู โดยใช้กระบี่หนักเป็นสื่อรวมทั้งสองแขนงให้เป็นหนึ่งเดียว
ทำให้ผู้คนมองไม่ออกถึงกระบวนท่าของสำนักตระกูลถานไถ แต่มองออกว่าเป็นการใช้พลังภายในของตระกูลหลู
ครั้งนี้เมื่อหลูเจิ้งหยางเข้าไปในจวนผู้บังคับการทหารสูงสุด ก็มอบแผนที่กองทัพเทียนฉี รวมไปถึงรูปแบบการจัดทัพในแต่พื้นที่ที่เจิ้นหนานอ๋องเฝ้ารักษาการณ์อยู่อย่างชัดเจนให้
[1] สีครามเกิดจากสีน้ำเงิน แต่กลับเด่นกว่าสีน้ำเงิน หมายถึง ศิษย์ที่ได้รับการอบรมรมสั่งสอนจากครู แต่เก่งกว่าครู