เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 393 เขตป่า
ตอนที่ 393 เขตป่า
…………….
เห็นสีหน้าของท่านเป้ยเล่อ คนที่เหลือต่างมีสีหน้ามึนงง ไอ้หมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่
ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย “อย่าล้อเล่นสิ คุณหมายความว่ายังไงกันแน่”
“เหอะ จื่อเซวียน นายไม่อยากรู้เหรอ ว่าคนที่มาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือนักเรียน จุดประสงค์ของคนมากมายแท้จริงแล้วคืออยากเห็นเขตป่าที่สร้างโดยวิทยาลัย”
ท่านเป้ยเล่อพูดพลางเงยหน้าดื่มเหล้าหนึ่งที “เขตป่าของวิทยาลัยอาหารแบ่งเป็นหลายเขต เขตวัตถุดิบ เขตผักและผลไม้ เขตพืชและเขตยาสมุนไพร
แต่เขตพวกนี้มีจุดเชื่อมต่อกัน เขตยาสมุนไพรเดียวใช่ว่าจะมีสมุนไพรดี เขตพืชใช่ว่าจะมีพืชที่หายาก”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ถูกต้อง สมุนไพรกับพืชจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่ถูกกำหนดเป็นพิเศษ รวมถึงอุณหภูมิความชื้นและแสงแดด ไม่ใช่ว่าจะแบ่งเป็นเขตๆ ได้เอง เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นชนิดธรรมดา”
“ดีมาก เพราะงั้น เขตวัตถุดิบจึงเป็นเขตที่ใหญ่ที่สุดของเขตป่า และเขตวัตถุดิบก็แบ่งเป็นสามโซนเอบีซี
โซนซีมีสัตว์จำพวกวัว ควาย แพะภูเขาและหมูค่อนข้างเยอะ แน่นอนว่า ในสภาพแวดล้อมที่พวกมันใช้ชีวิตอยู่ ก็มีสมุนไพรและพืชที่หายากจำนวนหนึ่งเหมือนกัน
พอถึงโซนบี จะเป็นวัตถุดิบสัตว์ป่าจำพวกหมูป่า วิลเดอบีสต์ ไก่ฟ้า ทางวิทยาลัยพยายามรักษาความเป็นสัตว์ป่าของพวกมันไว้อย่างเต็มที่
ส่วนโซนเอนั้น…ได้ยินว่าเคยมีแต่อาจารย์ระดับสูงเข้าไป และไม่มีการล่าเหยื่อที่นั่นมาเป็นวัตถุดิบ เลยไม่มีข้อมูลน่ะ”
“ล่าเหยื่อเหรอ” คนที่เหลือพูดขึ้นพร้อมกัน
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้า “ใช่ การสอนอย่างเป็นทางการของวิทยาลัยอาหารมีวิชาล่าสัตว์อยู่ด้วย แต่เนื่องจากไม่ใช่ว่าเชฟทุกคนจะสามารถทำได้ ก็เลยไม่นับเป็นคะแนนในการประเมินสุดท้าย”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่นับเป็นคะแนน…โชคดีไป ยังไงเชฟทั่วไปจะมีใครที่เคยล่าสัตว์มาก่อนล่ะ”
“ใช่แล้ว ถึงแม้จะทำอาหาร ก็แค่จับวัตถุดิบ ไม่ถึงขั้นจับสัตว์ตัวเป็นๆ นี่”
หวังเหลียงจงพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ มองออกว่า คุณชายคนนี้ไม่ค่อยชอบกิจกรรมที่ป่าเถื่อนมีกลิ่นคาวเลือดขนาดนั้น
ท่านเป้ยเล่อพลันยิ้ม “เชฟทั่วไปน่ะไม่ต้องอยู่แล้ว แต่…ถ้าอยากเข้าสู่ระดับเหรียญเงินหรือสูงกว่านี้ การล่าสัตว์…เป็นสิ่งที่จำเป็นนะ
เพราะว่าต่อให้อาหารของนายอร่อยแค่ไหน แต่หากเป็นวัตถุดิบทั่วไป ก็อาจจะไม่โดดเด่น
เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ วัตถุดิบที่หายากจะช่วยเพิ่มคะแนนให้อาหารได้มากโขเลยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ถึงแม้ผมจะไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน แต่ที่คุณพูดก็ถูกครับ”
“จื่อเซวียน การทำอาหารของประเทศจีนไม่ได้ง่ายเหมือนที่พวกเราคิดไว้ และที่นี่…พวกเราจะได้เห็นอะไรอีกเยอะ”
เขาสูดลมหายใจลึกๆ “ดูท่าพวกเราจะมาถูกที่แล้ว!”
“เฮ้ๆๆ ทางที่ดีที่สุดอย่าเข้าไปเสี่ยงเลย หมูพะโล้น่ะกินด้วยกันได้ แต่ที่นั่น…ผมไม่ไปหรอกนะ”
หวังเหลียงจงฟังแล้วก็รีบพูดทันที
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “ฉันจ่ายเงินไปแล้ว นายโอนเงินให้ฉันก่อนแล้วกัน หนึ่งพันหยวน ขอบใจ”
“โอเค ไม่มีปัญหา เพราะตกลงกันแล้วว่าผมเป็นคนเลี้ยงข้าวนี่”
พูดจบ หวังเหลียงจงก็โอนเงินให้ท่านเป้ยเล่อหนึ่งพันหยวน
ท่านเป้ยเล่อเห็นเงินโอนเข้าบัญชีแล้วก็ยิ้มน้อยๆ แล้วลุกขึ้นทันที “โอเค ฉันกินอิ่มแล้ว ไปกันเถอะจื่อเซวียน”
“ไปกันเถอะ!”
ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกสนใจเหมือนกัน รีบลุกขึ้นทันที “ไปกัน!”
พูดจบ ทั้งสองคนหันตัวเดินออกไป ฟางรุ่ยกับต้าเหมาก็รีบเดินตามไปเหมือนกัน
เหลือเพียงหวังเหลียงจงกับโหวเลี่ยงลูกน้องของเขา นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความกระอักกระอ่วน
ลังเลอยู่สองสามวินาที เขาก็ลุกขึ้นเหมือนกัน “เฮ้ มาด้วยกัน ก็ต้องกลับด้วยกันสิ”
จากนั้น หวังเหลียงจงจึงเดินตามไปเหมือนกัน
กลับมาถึงวิทยาลัย สุดท้ายหวังเหลียงจงก็ไม่ได้ไปที่เขตป่ากับพวกเขา
ยังไม่ต้องพูดถึงกฎของวิทยาลัยที่ไม่อนุญาตให้เข้าไปตามใจชอบ ตัวของหวังเหลียงจงเองก็มีความรู้สึกต่อต้านอยู่เหมือนกัน
คุณชายเศรษฐีคนหนึ่ง ปกติมั่วผู้หญิงโอ้อวดไปวันๆ ยังพอไหว แต่เข้าป่า…หรือล่าสัตว์อะไร…เขาไม่สนใจจริงๆ
…
ตามข้อมูลที่ท่านเป้ยเล่อได้มา ทั้งสี่คนเดินอ้อมถนนเส้นเล็กของวิทยาลัยไปยังเขตแดนของพื้นที่ป่า
ทางวิทยาลัยดูแลเขตป่าแบบระบบปิดล้วนๆ กำแพงสูงสี่เมตรทำให้ไม่มีสิ่งของที่สามารถใช้ปีนขึ้นไปได้เลย
ทางเข้าเพียงทางเดียวคือมุมหนึ่งของวิทยาลัย และยังมียามรักษาการณ์อยู่ด้วย ประตูใหญ่ก็ถูกล็อกสนิท
มองป้อมยามที่อยู่ไกลๆ แล้วท่านเป้ยเล่อก็เอ่ยว่า “รุ่ยจื่อ ต้าเหมา พวกนายสองคนดูหน่อยว่าจะเข้าไปได้ยังไง”
ท่านเป้ยเล่อมีฝีมือพอสมควร แต่เทียบเรื่องการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม กลับสู้ฟางรุ่ยและต้าเหมาไม่ได้
ทั้งสองคนมาจากหน่วยรบพิเศษ ความสามารถในด้านนี้ย่อมเชี่ยวชาญมากกว่าเป็นธรรมดา
ต้าเหมามองซ้ายแลขวา เอ่ยว่า “ท่านเป้ยเล่อ เข้าไปยาก ป้อมยามอยู่หน้าทางเข้าพอดี แถมยังมองเห็นประตูเหล็กได้อีกด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “นั่นสิ กำแพงตรงอื่นก็สูงเกินไป ไม่มีจุดให้ปีนขึ้นไปได้”
ท่านเป้ยเล่อมองประตูเหล็กกับป้อมยาม แล้วมองกำแพงสูงอีกครั้ง ดูเหมือนไม่มีอะไรจะพูดได้แล้วเช่นกัน
“แม่มันสิ เข้มงวดมาก ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ”
เวลานี้ ฟางรุ่ยที่เงียบมาตลอดพูดขึ้นมากะทันหัน
“ใช่ว่าจะไม่มีทาง พวกคุณเห็นว่าทางนี้ดูเข้มงวดมาก แต่อันที่จริงแล้วตอนที่พวกเราเดินผ่านมา ผมเห็นพื้นที่ป่าแห่งหนึ่งระหว่างทาง
คำนวณจากทิศทางแล้ว ส่วนที่ลึกสุดของป่าน่าจะเชื่อมต่อกับกำแพงสูงตรงนี้ แถมยังมีต้นไม้เก่าแก่ในป่าอีกมาก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด…ลองดูได้นะครับ”
ฟางรุ่ยพูดจบ ท่านเป้ยเล่อก็ตะลึงงันไป “รุ่ยจื่อ นายหมายถึง…เมื่อกี้เหรอ นายแน่ใจไหม”
“ไม่กล้าพูดว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ลองดูได้ครับ ถ้าตรงนั้นยังไม่ได้ คงไม่มีที่อื่นเข้าไปได้แล้ว”
“เมื่อกี้ผมไม่ได้สังเกต แต่ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ผมคิดว่าน่าจะลองดูครับ”
ต้าเหมาพูดตาม
“เยี่ยมมาก รุ่ยจื่อ นายเก่งจริงๆ ตานายเนี่ยสำรวจมาตลอดทางเลยสินะ” ท่านเป้ยเล่อพูดยิ้มๆ
ฟางรุ่ยยิ้มให้ “ชินแล้วล่ะครับ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
จากนั้น พวกเขาก็เดินย้อนกลับไปทางเดิม กลับไปยังตรงที่ฟางรุ่ยกล่าวถึง
มีพื้นที่ป่าขนาดเล็กอยู่จริงๆ
ตอนนี้เป็นช่วงที่ร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนพอดี ป่าไม้เป็นพุ่มเขียวชอุ่มหนาแน่น มองแล้วชวนสับสนอยู่บ้าง
หากไม่ใช่เพราะฟางรุ่ยสำรวจอย่างละเอียด เกรงว่าคงยากที่จะรู้ว่าตรงนี้เชื่อมต่อกับกำแพงสูงของพื้นที่ป่า
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในป่า ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าทุกอย่างอัศจรรย์เกินไป
เพื่อที่จะดูเนื้อหาต้นฉบับของ ‘บันทึกหย่งชั่น’ เขาจึงมาสมัครเป็นอาจารย์ของวิทยาลัยอาหารปักกิ่ง
ตอนนี้เพิ่งเริ่มฝึกอบรม ตัวเองก็เข้ามาในพื้นที่หวงห้ามของวิทยาลัยเสียแล้ว
นี่แม่งหวาดเสียวเกินไปแล้ว หากเปิดร้านอาหารในตู้เหมิน ถึงแม้จะทำเงินได้ แต่ไม่มีทางได้เจอความรู้สึกที่ตื่นเต้นหวาดเสียวแบบนี้แน่นอน
เดินลึกเข้าไปในป่าก็เป็นดังที่ฟางรุ่ยคาดการณ์เอาไว้ ต้นไม้เก่าแก่สามสี่ต้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
ต้นไม้เก่าแก่ลำต้นหนาเท่ากับสามคนโอบพอดี
กิ่งไม้แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มเขียวชอุ่ม เมื่อเงยหน้ามอง ยากที่จะวิเคราะห์ว่ากิ่งไม้เหล่านี้เป็นของต้นไม้ต้นไหน
“ต้นไม้ต้นนี้น่าจะมีอายุหลายสิบปีแล้วใช่ไหม” ท่านเป้ยเล่อพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ “เกรงว่าก่อนก่อตั้งวิทยาลัย ต้นไม้พวกนี้ก็อยู่ที่นี่แล้ว เหอะๆ คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นทางเข้าถึงพื้นที่ป่า”
“ฮ่าๆๆ ถ้าทางวิทยาลัยรู้ถึงจุดนี้ คงตัดต้นไม้พวกนี้ไปนานแล้ว จื่อเซวียน นายโอเคเรื่องปีนต้นไม้ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนทำท่ามือโอเค
พูดถึงการออกกำลังกาย ซ่งจื่อเซวียนไม่ค่อยเก่งจริงๆ สิ่งที่เขาทำได้เพียงอย่างเดียวคือปีนต้นไม้
ตอนเด็กๆ ซ่งจื่อเซวียนต้องฝึกกำลังเท้าอยู่บ่อยครั้งเพื่อหลบการตีของหานหรง พอถึงเวลาที่คับขัน การปีนต้นไม้ก็ช่วยให้เขาพ้นเคราะห์ไปได้
แน่นอนว่า ตอนนั้นแม่ของเขายิ่งโกรธจัด บอกอยู่หลายครั้งว่าถ้าซ่งจื่อเซวียนลงมาต้องถูกตีอย่างแน่นอน
มีครั้งหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนถึงกับนอนหลับอยู่บนต้นไม้ทั้งคืน
นับตั้งแต่นั้นก็ทำให้หานหรงสงสารเป็นอย่างมาก พอเห็นเขาปีนต้นไม้ก็จะกลัว รีบบอกเขาทันทีว่าไม่ตีแล้ว
ในช่วงนี้ บวกกับซ่งจื่อเซวียนได้ฝึกจิตตามเนื้อหาของตำราอาหารราชวงศ์ชิง ร่างกายจึงเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ
ปีนต้นไม้ลำต้นหนาเช่นนี้ ไม่มีแรงกดดันเลยสักนิด
ทั้งสี่คนเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างรวดเร็ว
มองดูอีกด้านหนึ่งของกำแพงสูง ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมา
นับว่าเป็นทิวทัศน์ที่น่าแปลกตาจริงๆ
เดิมทีเป็นลานบ้านในวิทยาลัย กลับกลายเป็นทิวทัศน์ธรรมชาติภายในพริบตา
ภูเขาใหญ่สองสามลูกเชื่อมต่อกันอยู่แต่ไกล หมอกภูเขายามค่ำคืนสวยงามอย่างหาที่เปรียบมิได้
และด้านล่างของกำแพงคือเขาหิน น้ำตกไหลลงมาจากด้านหนึ่งของเหวสูง ต้นไม้หลายต้นเกิดตามไหล่เขา
“เหอะๆ สวยงามจริงๆ แต่…ดูเหมือนว่าพวกเราจะเข้าไปไม่ได้นะ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะขณะพูด
ท่านเป้ยเล่อได้ยินก็หัวเราะอย่างขมขื่นเช่นกัน “นั่นสิ ดูท่าวิทยาลัยจะไม่ได้โง่ ถึงแม้จุดนี้จะปีนขึ้นมาได้ แต่…ดูเหมือนว่าจะไปไหนต่อไม่ได้เลย”
เวลานี้ด้านล่างของพวกเขา เป็นพื้นที่ป่าที่ไม่ใหญ่มาก และตรงพื้นที่นี้เหมือนจะปิดสนิท
นอกจากติดกับด้านหนึ่งของกำแพงวิทยาลัยแล้ว พื้นที่ด้านอื่นล้วนเป็นหุบเหวลึก
ทอดมองไปยังตรงทางเข้าก็เช่นกัน
ทว่าด้านบนของหุบเหวลึกมีสะพานไม้ยาวอันหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าวิทยาลัยเป็นคนสร้างขึ้นมา
“ไม่มีทางอื่นแล้ว สงสัยถ้าอยากจะเข้าไป นอกจากเดินเข้าไปจากทางเข้าแล้ว ก็คงต้องใช้เฮลิคอปเตอร์” ท่านเป้ยเล่อกล่าว
ฟางรุ่ยสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างละเอียดแล้วพูดว่า “นายท่านรอง ท่านเป้ยเล่อ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นแบบนั้นนะ แต่…มีความเสี่ยงอยู่บ้าง”
“หืม”
พวกเขาที่เหลือมองไปทางฟางรุ่ย
“พวกคุณดูสิ ถ้าพวกเราลงไปจากตรงนี้ ไปจนถึงทางเข้าของพื้นที่ป่า มีระยะห่างประมาณหกเจ็ดร้อยเมตร”
ฟางรุ่ยชี้ไปทางนั้นแล้วพูดว่า “และตามทางด้านล่างของกำแพง ที่จริงมีทางเดินเส้นเล็กอยู่ และไม่ถือว่าแคบมาก น่าจะกว้างประมาณหกสิบเจ็ดสิบเซนติเมตร”
ฟางรุ่ยพูดจบ พวกเขาก็มองตามไป เป็นเช่นนั้นจริง มีถนนเส้นเล็กตรงมุมหนึ่งของกำแพงสูง เดินเข้าไปคนเดียวน่าจะพอไหว
แต่ไม่มีราวจับไม่มีรั้วกั้น เห็นได้ชัดว่าอันตรายมาก แต่ถ้ามีการรักษาความปลอดภัย คนก็เดินผ่านทางเส้นนี้ได้แน่นอน
“ดูท่ากำแพงสูงอันนี้จะสร้างตามความสูงของภูเขา และยังสร้างตรงริมหน้าผา ดูลำบากมากจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดอุทานเบาๆ
ท่านเป้ยเล่อยิ้มบางๆ “ดื่มเหล้ากันแล้วพวกนายคงไม่ถึงขั้นกลัวใช่ไหม ลองไปเดินดูไหมล่ะ”
“คุณนี่ชอบเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงจริงๆ โอเค ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณเอง!” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยยิ้มๆ
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็แนบติดกับกำแพง พลิกตัวแล้วกระโดดลงไป จากนั้นเล็งตำแหน่งที่อยู่ใต้เท้า พอปล่อยมือก็ร่วงลงไปบนพื้น
“มองไม่ออกเลยนะจื่อเซวียน คล่องแคล่วมาก!”
ระหว่างที่พูด ท่านเป้ยเล่อก็กระโดดลงไปด้วย
ตอนนี้สถานที่ที่พวกเขายืนอยู่ถือว่ากว้างมากพอ แต่หากเดินตามทางเข้าไปเรื่อยๆ จะถือว่าเป็นการทดสอบของจริง
อย่างไรระยะหกสิบเจ็ดสิบเซนติเมตร…ก็มีความกว้างเท่ากับกระเบื้องขนาดใหญ่หนึ่งชิ้นเท่านั้น
และพื้นที่โดยรอบก็ไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยใดๆ นี่คือการทดสอบอย่างแน่นอน
ต้าเหมาเอ่ยว่า “ผมเดินนำหน้า รุ่ยจื่อ แกอยู่ท้าย คอยปกป้องนายท่านทั้งสองนะ!”
“โอเค แกก็ระวังตัวด้วย!”
พูดจบ ทั้งสี่คนจึงเริ่มเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ
ถึงแม้จะเดินผ่านไปได้เพียงคนเดียว แต่อีกด้านหนึ่งเป็นหน้าผาที่ลึกมาก น่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จังหวะก้าวของพวกเขาจึงช้าลงทันที
………………………………….
…………….