เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 368 หนึ่งเมนูเทียบได้กับสามเมนู!
ตอนที่ 368 หนึ่งเมนูเทียบได้กับสามเมนู!
…………….
เมื่อพูดจบ ท่านเป้ยเล่อก็วางสาย ซ่งจื่อเซวียนกลับมีความสงสัยเล็กน้อย
เขายิ้มบางๆ “ท่านเป้ยเล่อคนนี้ทำไมต้องทำเป็นมีความลับล่ะ”
บ่ายวันนั้นไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ซ่งจื่อเซวียนจึงรู้สึกสงบสุขอย่างที่พบหาได้ยาก
หลังจากอ่านหนังสือสูตรอาหารและเสิร์ฟอาหารตามปกติ ชั่วพริบตาก็ถึงเวลามื้อเย็น
ตระกูลตู้
บรรยากาศภายในบ้านเงียบมาก
ในเวลานี้มีอีกคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผล นั่นคือตู้อวิ๋นเลี่ยง
เมื่อตู้อวิ๋นกังและตู้เหวินจงมองดูบาดแผลบนใบหน้าของตู้อวิ๋นเลี่ยงก็ต่างก้มหน้าลง
แม้แต่หลิวฟางก็ไม่กล้าพูดอะไร
เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแม้แต่เจ้ารองก็จะถูกทุบตี เรื่องนี้…ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่เธอคิด
เหมือนกับที่ตู้อวิ๋นเลี่ยงเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขายั่วยุผิดคนแล้ว
ตู้อวิ๋นเลี่ยงมองดูทุกคน “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ดูเหมือนฉันจะคิดถูก นายท่านรองนั่น…ไม่ธรรมดา”
ตู้อวิ๋นกังยังพยักหน้า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีคนแบบนี้ในตู้เหมิน อวิ๋นเลี่ยง ฉันก็ต้องรับผิดชอบด้วย”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงโบกมือและเผยท่าทางจนใจ
“นี่มันเรียกว่าซวย ตลาดทั้งหมดในตู้เหมินทั้งใหญ่และมีคนเยอะขนาดนี้ แต่เราดันไปยั่วยุคนระดับนี้ เหวินจง ต่อไปแกต้องเจียมตัวไว้หน่อยนะ”
ตู้เหวินจงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “อารอง ผมจะจำไว้ครับ”
ตอนนี้ตู้เหวินจงไม่กล้าพูดอะไรเลยจริงๆ แม้ว่าในใจจะยังโกรธอยู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ไม่ยอมแพ้งั้นเหรอ เบิกตาดูว่าอารองของนายก็ยังจัดการเขาไม่ได้ แล้วนายจะไม่ยอมได้ยังไง
เห็นสีหน้าของตู้เหวินจง หลิวฟางก็ทุกข์ใจ “เฮ้อ เสียเปรียบแล้ว…”
“คุณยังจะพูดอีก!”
ตู้อวิ๋นกังตะโกนเสียงดัง ปกติเขามักจะตามใจภรรยาและลูกชาย แต่เมื่อครั้งนี้มีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ ก็เป็นความรับผิดชอบของเขา
ดังนั้นเมื่อได้ยินหลิวฟางพูดเช่นนี้ เขาก็ร้อนรนทันที
“พี่สะใภ้ ถ้ามีเวลาก็ควรคิดทบทวนดู ถ้าไม่ใช่เพราะความใจร้อนของพี่ เรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้ไหม”
“ฉัน…” หลิวฟางอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังปิดปากไว้
“พี่สะใภ้ ผมรู้ว่าพี่อยากพูดอะไร ลูกน้องพวกนี้ของผมเป็นอันธพาลฝีมือดี แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับมันเลย”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงพูดต่อ “ยิ่งพูดถึงเรื่องกำลังเงิน เมื่อคืนพวกเขาใช้เงินไปหลายสิบล้าน ตระกูลตู้ของเราทำได้ไหม ถ้าขายทรัพย์สินกับบ้านทั้งหมดก็ไม่มีทางหรอกใช่ไหม”
หลิวฟางสูดหายใจลึกๆ “คนขี้ขลาดนี่…”
“ใช่ นี่คือกฎในสังคม ถ้าไม่มีปัญญาก็ต้องขี้ขลาด ตระกูลตู้ของเราเป็นแบบนี้แหละ ถ้าพี่รับไม่ได้ก็ไปหาคนที่ไม่ขี้ขลาดซะสิ!”
เมื่อพูดถึงตอนท้าย ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็ตะโกนใส่และเอาฝ่ามือตบโต๊ะ
หลิวฟางสะดุ้งโหยงจนน้ำตาไหล
ตู้เหวินจงเอ่ยขึ้น “อารอง ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะผม ต่อไปถ้าเจอพวกเขาผมก็จะเลี่ยง”
ยิ่งตู้เหวินจงพูดแบบนี้ หลิวฟางก็ยิ่งปวดใจและร้องไห้หนักขึ้น
ตู้อวิ๋นกังขมวดคิ้ว “ขายขี้หน้า! แม่งเอ๊ย ฉันส่งแกไปเรียนเพื่อให้แกไปก่อเรื่องหรือไง แล้วคุณน่ะ ก่อนหน้านี้ไปทำอะไร จะร้องไห้ทำไม!”
ขณะนี้บรรยากาศในครอบครัวก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
อันที่จริงตู้อวิ๋นเลี่ยงก็ยังมีบทบาทในครอบครัว เมื่อเห็นแบบนี้เขาจึงถอนหายใจ
“พอเถอะพี่ใหญ่ ไม่ต้องโมโหแล้ว ปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้ไปก่อนแล้วรอจนกว่าผมจะกลับไปเล่าเรื่องนี้ให้เถ้าแก่ฟัง ถ้ามีทางแก้ไข…ก็ค่อยว่ากัน”
“หืม ทางแก้ไขเหรอ” ตู้อวิ๋นกังพูด
ตู้อวิ๋นเลี่ยงพยักหน้า “ตระกูลตู้ของเราขัดแย้งกับคนประเภทนี้ไม่ได้ แต่เถ้าแก่น่ะต่างกัน…”
ขณะที่เขาพูด ตู้อวิ๋นเลี่ยงก็จุดบุหรี่
ดวงตาของตู้อวิ๋นเลี่ยงฉายแววโหดร้าย “แค่เชฟคนหนึ่ง…ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของมันแน่ๆ พี่ใหญ่ สืบดูหน่อยว่ามันคือเถ้าแก่ของสวนสวินเฟิงหรือเปล่า”
ตู้อวิ๋นกังพยักหน้าทันที “ได้ ฉันจะให้คนไปสืบเดี๋ยวนี้เลย”
ตู้อวิ๋นเลี่ยงสูบบุหรี่แรงๆ และกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับแผนของตนอยู่ในใจ
น้ำเสียงเช่นนี้…บางทีคนที่รับไม่ได้ที่สุดในตระกูลตู้อาจไม่ใช่หลิวฟางหรือตู้เหวินจง แต่เป็นเขา ‘ตู้อวิ๋นเลี่ยง’
…
ยามค่ำคืน
ห้องทำงานในสวนสวินเฟิง
“จื่อเซวียน ช่วงนี้ยอดขายของเรามั่นคงมาก ตอนนี้ก็สูงขึ้นไม่มีทีท่าจะลงเลย!” ถังหย่าฉีพูดด้วยรอยยิ้ม
ช่วงนี้แม้ว่าเธอจะเปิดภาคเรียนแล้ว แต่ก็มักจะมาที่ร้านหลังเลิกเรียนทุกวัน
ซ่งจื่อเซวียนจัดการงานในครัว และถังหย่าฉีรับผิดชอบงานและบัญชีที่อยู่ด้านหน้า
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ใช่แล้ว ตอนนี้รับประกันแล้วว่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายขายได้ยี่สิบที่ แค่เมนูนี้เพียงอย่างเดียวก็รับประกันผลกำไรได้แล้ว”
“ฮ่าๆ เธอเก่งที่สุดเลย!”
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามาและลูบผมของถังหย่าฉี
“หย่าฉี จริงๆ แล้วเธอลำบากที่สุดเลย นอกจากจะไปเรียนทุกวันแล้ว ยังต้องดูแลเรื่องในร้านอีก”
ถังหย่าฉีหน้าแดงก่ำ “ทำไมนายถึงชมฉันขนาดนี้ล่ะ ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า”
“เปล่า ฉันแค่รู้สึกว่าเธอลำบากน่ะ”
ถังหย่าฉีลุกขึ้นสบตากับซ่งจื่อเซวียน จากนั้นวางมือบนไหล่ของเขา
“จื่อเซวียน ฉันไม่ลำบากเลย เราเป็นหนึ่งเดียวกัน แค่คิดว่าสวนสวินเฟิงจะดีขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็มีความสุขแล้ว”
ถังหย่าฉีชะงักไปและเอ่ยต่อ “อีกไม่กี่วันพ่อฉันจะกลับจีนแล้ว ฉันเชื่อว่าถ้าเขาเห็นสวนสวินเฟิงก็จะเห็นด้วยกับความคิดฉัน”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและพยักหน้า “ต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน”
ขณะที่เขาพูด เขาก็บีบแก้มน้อยๆ ของถังหย่าฉี
ถังหย่าฉีหน้าแดงระเรื่อจึงก้มหน้าลงเล็กน้อย
เมื่อเห็นกระต่ายขาวตัวน้อยที่ว่านอนสอนง่ายตรงหน้าเขา ซ่งจื่อเซวียนจึงดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน
ถังหย่าฉีส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ จากนั้นก็ซบหน้าอกแกร่งและหลับตาลงเล็กน้อยเพื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นนั้น
ซ่งจื่อเซวียนก้มหน้าลงช้าๆ และมองดูใบหน้าเล็กที่เหนียมอายของถังหย่าฉี หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้น
เขาแทบจะสัมผัสได้ถึงความร้อนบนใบหน้าของถังหย่าฉี เมื่อสบตากันอย่างใกล้ชิดก็ทำให้เขารู้สึกว่าใบหน้าของตนกำลังรุ่มร้อน
เขาใช้นิ้วชี้เชยคางของถังหย่าฉีขึ้นอย่างแผ่วเบา ใบหน้าละเอียดอ่อนของเธอก็เต็มไปด้วยความนุ่มนวลทันที
เมื่อสายตามองไปที่ซ่งจื่อเซวียน ถังหย่าฉีก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก อย่างไร…เธอก็ไม่เคยเป็นแบบนี้กับผู้ชายคนไหนมาก่อนเลย
แม้แต่เฮ่อเหยียนข่ายคนโหดเหี้ยมนั่นก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้
ทั้งคู่ค่อยๆ ขยับใบหน้าเข้าใกล้กันมากขึ้นจนรู้สึกถึงลมหายใจและอุณหภูมิของอีกฝ่าย
ขณะที่ริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกัน ราวกับกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย พวกเขากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
ถังหย่าฉีเบิกตากว้างและมองดูซ่งจื่อเซวียนตรงหน้าเธอ พลันเกิดความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย
แต่ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยนี้กลับทำให้เธอลุ่มหลง
ในที่สุดเธอก็ละทิ้งความดื้อรั้นและหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง
ซ่งจื่อเซวียนกอดเธอแน่นขึ้นจนรู้สึกถึงร่างกายที่นุ่มนิ่มในอ้อมแขนของเขา ซ่งจื่อเซวียนเกิดความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เขาจึงค่อยผละถังหย่าฉีออก ทั้งสองพร้อมใจกันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ถังหย่าฉีเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียน แววตาของเธอราวกับว่ากำลังมึนเมา มีเพียงความอ่อนโยนและเชื่อฟังเท่านั้น
“หย่าฉี…”
ถังหย่าฉียิ้มหวานบางๆ ราวกับกำลังจะพูดว่าไม่ว่านายจะพูดอะไรฉันก็เห็นด้วยหมด
เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นจนถึงขีดสุด ซ่งจื่อเซวียนก็ดูเหมือนจะเสียสติไปอย่างสิ้นเชิง
แต่ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“จื่อเซวียน ฉันถึงตู้เหมินแล้ว นายเสร็จธุระหรือยัง”
เมื่อได้ยินเสียงของท่านเป้ยเล่อ ซ่งจื่อเซวียนจึงได้สติกลับมา
“หา? อ๋อๆ ผมเสร็จธุระแล้ว กำลังจะไปครับ”
“โอเค ฉันไม่ได้เรียกใครมาด้วยนะ เราคุยกันแค่สองคน”
“ครับ คุณอยู่ที่ไหน ผมจะไปรับคุณเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง ฉันลงจากเครื่องบินแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งแท็กซี่ไป ประมาณอีกครึ่งชั่วโมงถึงน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็รีบพยักหน้า “ได้ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย!”
หลังจากวางสาย ถังหย่าฉีก็ถาม “ทำไม…มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“อืม วันก่อนท่านเป้ยเล่อไปต่างประเทศอีกครั้ง วันนี้เขาเพิ่งกลับมา บอกว่าอยากเจอฉันเลยนัดให้ฉันไปที่หอหงเยวี่ยน่ะ”
“อ๋อ งั้นนายรีบไปเถอะ ให้ไต้ทงไปส่งฉันก็ได้”
ซ่งจื่อเซวียนลูบใบหน้าเรียวเล็กของถังหย่าฉี “หย่าฉี ทำไมเธอถึงใส่ใจขนาดนี้”
“มีคุณธรรมต่างหาก ไม่ได้เป็นเพราะนายดีหรอก”
ทั้งสองคนกอดกันอีกครั้ง
…
ณ หอหงเยวี่ย
ท้ายที่สุดท่านเป้ยเล่อก็มาถึงก่อน หลี่ม่านหงจึงเชิญเขาเข้าไปในห้องส่วนตัวเหมือนกับคนระดับสูง
โดยทั่วไปแล้วต้องจองล่วงหน้าก่อนถึงจะสามารถเข้าหอหงเยวี่ยได้ แต่คนอย่างท่านเป้ยเล่อเป็นข้อยกเว้นโดยสิ้นเชิง
หากไม่มีห้องว่างจริงๆ เกรงว่าหลี่ม่านหงอาจต้องปล่อยให้เขาเข้ามาแม้ว่าจะต้องเคลียร์ห้องทำงานก็ตาม
ไม่นานนัก รถของซ่งจื่อเซวียนก็มาถึง
แต่ก็ดูคุ้นหน้าอยู่บ้าง
“เหอะๆ จื่อเซวียน นายช้ากว่าฉันนะ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ผมผิดเอง ที่ร้านมีเรื่องที่ทำให้ช้าครับ ท่านเป้ยเล่อ ท่านนี้คือ…”
“เขาเหรอ ฮ่าๆ พวกนายเคยเจอกันนะ ลืมแล้วเหรอ”
ผู้ชายที่สวมชุดสูทสีดำข้างท่านเป้ยเล่อก็ยิ้ม “นายท่านรอง ผมเป็นลูกน้องของท่านเป้ยเล่อเองครับ
แหะๆ ผมคือต้าเหมาเป็นผู้ช่วยครับ”
ซ่งจื่อเซวียนนึกอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็มีความทรงจำบางอย่าง
ครั้งแรกที่พบท่านเป้ยเล่อในร้านอาหารตะวันตก ท่านเป้ยเล่อพาต้าเหมามาด้วย
ตอนนั้นต้าเหมายังกดหานเฟยที่เป็นแฟนหนุ่มของผู้หญิงหน้าเงินไว้บนโต๊ะด้วยซ้ำ
“อ๋อๆ…จำได้แล้ว เหอะๆ มือขวาของท่านเป้ยเล่อใช่ไหม”
“เหอะๆ ก็ไม่เชิงหรอกครับ แค่ทำงานทั่วไปให้ท่านเป้ยเล่อน่ะ!”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ใช้ได้นี่ท่านเป้ยเล่อ ตอนนี้มาเจอผมต้องพาลูกน้องมาด้วยแล้วเหรอ”
“เอาน่า นายไม่ได้ทำแบบนี้เหมือนกันเหรอ ครั้งนี้ฉันไปซื้อของบางอย่างที่ต่างประเทศมา ต้าเหมาก็แค่มาช่วยฉันถือของ”
ขณะที่พูด ท่านเป้ยเล่อก็ให้ซ่งจื่อเซวียนไปนั่งข้างโซฟา “มา เรามานั่งคุยกันเถอะ คราวนี้ฉันมีเรื่องจะปรึกษานายจริงๆ”
“เหอะๆ มาดูกันว่าเป็นความลับแค่ไหน คุณเกริ่นมาถึงตอนนี้แล้วยังไม่พูดอีก”
ท่านเป้ยเล่อยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนี้ “เอาเป็นว่านายยังจำร้านที่ถนนคนเดินที่ฉันบอกว่าจะซื้อกิจการได้ไหม”
“จำได้สิครับ ทำไมเหรอ”
“ตอนนี้ดำเนินการเสร็จหมดแล้ว เราสามารถเปิดได้กิจการได้ทุกเมื่อ เพราะงั้น…ฉันหวังว่านายจะลองคิดวิธีการทำธุรกิจของเรา”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็คิดอยู่พักหนึ่ง “เร็วขนาดนี้เลย…อันที่จริงวิธีการอื่นๆ ไม่ได้มีประโยชน์เท่าไร ยังไงถ้าเราอยากทำอาหารมื้อหลัก ขายในสถานที่อย่างถนนคนเดินก็ต้องหาของเจ๋งๆ ออกมาให้ได้”
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้า “ถูกต้อง ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ตอนนี้ฉันคิดเมนูซิกเนเชอร์ได้สามเมนูแล้ว นายล่ะ”
“ของผม…”
ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจว่าข้าวผัดจักรพรรดิจำเป็นต้องทำที่ร้านอาหารร่ำรวย และจะนำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายออกจากสวนสวินเฟิงไม่ได้
ตอนนี้เมนูซิกเนเชอร์และร้านอาหารเป็นสิ่งที่คู่กัน เมื่อมีสาขาย่อย กิจการอาจจะไม่รุ่งเรืองมากนัก
นอกจากนี้หากดำเนินการไม่ดีก็จะสูญเสียความเป็นอาหารที่หาทานได้ยากไป
เขาพูดว่า “ผมมีหนึ่งเมนู!”
“หนึ่งเมนู? ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย!”
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้ม “หนึ่งเมนูนี้สามารถเทียบได้กับสามเมนูของคุณ เชื่อไหมครับ”
……………………………………………………….
…………….