เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 315 ตะหลิวอะไร?
ตอนที่ 315 ตะหลิวอะไร?
……….
ในสายตาของซ่งจื่อเซวียน กระทะที่สวยงามเช่นนี้ ควรจะอยู่ในตู้โชว์กระจก
แสงไฟสีนวลตกกระทบ แสดงลวดลายแต่ละเส้นของมันออกมาอย่างชัดเจน
เพียงแต่ตอนนี้เห็นมันถูกวางอยู่บนพื้นอย่างขอไปที ในใจก็ยังอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
กระทะเหล็กเมฆม่วง!
และที่อยู่ข้างๆ กระทะก็เป็นตะหลิวอันหนึ่งที่ถูกวางอย่างลวกๆ
ตะหลิวนี้ยาวกว่าตะหลิวทั่วไปสิบกว่าเซนติเมตร มีลายสลักนูนบางส่วนอยู่บนด้ามจับ แต่เนื่องจากยืนอยู่ห่าง ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนจึงยังมองไม่ออก
เหนือตะหลิวและกระทะ ยังมีฝาหม้ออันหนึ่ง ดูจากเนื้อของฝาหม้อน่าจะทำมาจากไม้จินซือหนาน
เนื่องจากผ่านการขัดเงาขั้นสูง พื้นผิวจึงเป็นเนื้อแก้วแล้ว บวกกับเส้นลายธรรมชาติของไม้จินซือหนาน ดูเหมือนคลุมด้วยแพรต่วนสีทอง สะท้อนแสงออกมา
ตัวกระทะสีม่วงคู่กับฝาสีทอง ส่งกลิ่นอายของความสง่างามออกมาอย่างชัดเจน เป็นการเข้าคู่กันที่สมบูรณ์แบบสุดๆ
เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ มองอย่างละเอียดหนึ่งรอบ
ด้ามจับของกระทะสลักลายมังกรนูนไว้ ด้านบนเป็นหัวมังกร ด้านล่างเป็นหางมังกร ตัวมังกรนั้นแทบจะพันรอบทั้งด้ามจับกระทะ
และรอบตัวมังกรยังมีลวดลายเมฆมงคลอีก ดูมีชีวิตชีวาเหมือนจริงมาก
ตัวกระทะกลับทำเป็นผิวด้าน อย่างไรตอนที่ปรุงอาหาร ตัวกระทะก็ต้องใช้น้ำมัน แบบนี้ถึงจะรักษาความร้อนและไม่ติดกระทะได้
ดูเหมือนเฉียนปู้หลายจะคิดรายละเอียดทั้งหมดนี้ไว้แล้ว ออกแบบมาได้อย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ
ลายสลักนูนบนตะหลิวก็เป็นลวดลายเมฆมงคล แกะสลักได้อย่างประณีตมาก ไม่มีมุมแปลกโผล่ออกมา รับรองได้ว่าไม่ลื่นมือและไม่ทำให้พ่อครัวบาดเจ็บแน่นอน
โดยรอบและด้านบนสุดของฝาหม้อล้อมรอบไปด้วยแผ่นเหล็กเมฆม่วง ทั้งช่วยเสริมความแข็งแรง และถือว่าเป็นการประดับด้วยโลหะที่ไม่เลวอีกด้วย
เห็นรายละเอียดเหล่านี้แล้ว ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกตื่นเต้นจนยากจะควบคุมได้
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็มองเฉียนปู้หลายที่อยู่ข้างๆ
นอนหลับปุ๋ย ถึงแม้จะไม่กรนเสียงดังสนั่น แต่ก็นอนหลับลึกมาก
นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในห้อง เปิดไฟ เดินเข้ามา เฉียนปู้หลายไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ
เห็นว่าผ้าห่มเก่าๆ ขาดๆ ที่เฉียนปู้หลายห่มนอนมีเนื้อฝ้ายโผล่ออกมา ซ่งจื่อเซวียนมองแล้วยิ่งสงสาร
จะว่าไปก็ถือว่าเป็นรุ่นหลังของคนที่มีชื่อเสียง ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร อีกฝ่ายก็ได้ช่วยงานใหญ่ของตัวเองแล้ว เฉียนปู้หลายคนนี้…เขาอยากดูแล
ช่วงแรกหาบ้านให้เขาอยู่ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก ส่วนเรื่องงาน…ต้องดูว่าเฉียนปู้หลายจะสมัครใจไหม
หากเขาสมัครใจ ร้านสวนสวินเฟิง ร้านอาหารร่ำรวยกระทั่งคลับเฮาส์หลงตูก็ยอมให้เขาเลือกได้ตามสบาย
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะมองอุปกรณ์ทำครัวเหล็กเมฆม่วงอีกครั้ง ต้องพูดเลยว่าเขารักมันมากเกินไปแล้ว
ช่วงนี้ซ่งจื่อเซวียนพัฒนาเรื่องการควบคุมไฟได้เร็วมาก ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่ารวดเร็วในระดับที่เหลือเชื่อ
และการแข่งขันกับเลคริเซียส คือการทดสอบครั้งที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในสายตาของเขา ทั้งหมดนี้ไม่ได้เพียงอาศัยความคิดของหวังเฉิงยงและการพัฒนาการควบคุมไฟของตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีการสนับสนุนที่สำคัญอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือชุดอุปกรณ์ทำครัวเหล็กเขียวที่มาจากหวังเฉิงยง
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเพราะความพิเศษของอุปกรณ์ทำครัวเหล็กเขียว การควบคุมไฟของตนจึงแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
“นี่ก็คือความสำคัญของอุปกรณ์ทำครัว”
เป็นความจริง พ่อครัวอาศัยอุปกรณ์ทำครัว อุปกรณ์ทำครัวที่ดีหนึ่งชุดสามารถทำให้ฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวคนหนึ่งพัฒนาไปอีกหนึ่งขั้น การควบคุมไฟก็เช่นกัน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็มองอุปกรณ์ทำครัวเหล็กเมฆม่วง ซึ่งก็คือชุดอุปกรณ์ทำครัวเหล็กเมฆม่วงหนึ่งชุด
ยากที่เขาจะจินตนาการได้ ตอนนั้นหากใช้อุปกรณ์ทำครัวชุดนี้ จะมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร
อันที่จริงการปะทะของเขากับเลคริเซียสสามารถพูดได้ว่าอยู่ในรูปแบบเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า หากเปลี่ยนมาใช้เหล็กเมฆม่วง…
เกรงว่าแค่กระบวนท่าเดียวก็ยากที่เลคริเซียสจะต้านทานได้
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เตรียมจะเอาเหล็กเมฆม่วงออกไป
แต่วินาทีที่เขาหยิบกระทะ จู่ๆ เฉียนปู้หลายก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา
“อย่า…”
“หืม” ซ่งจื่อเซวียนอึ้งไป
เฉียนปู้หลายขยี้ตาที่สะลึมสะลือแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น “เพิ่งตีไม่ถึงหนึ่งวัน อย่าเพิ่งใช้เด็ดขาด…”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ฉันรู้”
และในตอนนี้เอง ซ่งจื่อเซวียนพบว่าสายตาของเฉียนปู้หลายดูซับซ้อนอย่างยิ่ง กระทั่งดูเป็นประกายอยู่บ้าง
เขามองกระทะเหล็กเมฆม่วงเหมือน…มองลูกของตัวเอง ความรักที่ค่อยๆ ซึมลึก แฝงไปด้วยความกังวลอยู่บ้าง
ราวกับกลัวว่าซ่งจื่อเซวียนจะทำอะไรไม่ดีกับกระทะ
“อืม…”
เฉียนปู้หลายคลานไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ลูบกระทะเหล็กเมฆม่วง “นาย…จะเอาไปทำอะไร”
“หา? นี่เป็นของฉันนะ!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
เฉียนปู้หลายจึงพยักหน้า “อ้อ…ใช่ เป็นของนาย”
ระหว่างที่พูด ใบหน้าของเฉียนปู้หลายเผยความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน
“ถ้างั้น…ฉันเอาไปแล้วนะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงที่ขอความยินยอม
“ทิ้งไว้ที่ฉันอีกหนึ่งวันดีกว่า” เฉียนปู้หลายเอ่ย
“ทำไมล่ะ”
เฉียนปู้หลายเกาหลังศีรษะ ยิ้มแหยๆ แล้วเอ่ยว่า “เอ่อ…เพิ่งทำออกมา ยังจับไม่ชินมือเลย ฉันอยากมองต่ออีกสักหน่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมา
ไอ้หมอนี่เป็นคนหลงใหลเครื่องมือเหล็กจริงๆ อันที่จริงดูจากกองเศษเหล็กที่กองอยู่ตรงมุมนั่นก็สามารถมองออกแล้ว
เฉียนปู้หลายเคารพในผลงานของตัวเองเป็นอย่างมาก
คาดว่าผลงานที่เยี่ยมยอดที่สุดในชีวิตของเขา ก็น่าจะเป็นชุดอุปกรณ์ทำครัวเหล็กเมฆม่วง
โดนคนอื่นหยิบไปเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเสียดาย
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เอ่ยยิ้มๆ “เฉียนปู้หลาย นายวางแผนหลังจากนี้ยังไง”
เฉียนปู้หลายรู้สึกอึ้งที่โดนถาม เพราะเขาไม่เคยคิดปัญหานี้มาก่อน
“ไม่ได้วางแผนอะไรเลย อยู่กินไปแล้วก็รอตาย อ้อใช่ ถ้ามีเหล็กดีๆ ก็หาอะไรเล่นสักหน่อยได้”
เมื่อพูดถึงตอนท้าย รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าตีเหล็กเป็นเรื่องที่ทำให้เขามีความสุข
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพลางพยักหน้า “อายุน้อยแค่นี้ก็เริ่มรอตายแล้วเหรอ”
“ก็ต้องอย่างนั้นสิ ฉันทำอะไรก็ไม่เป็น จะมัวแต่ไปนั่งขอทานอย่างเดียวก็ไม่ได้ใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ ความจริงแล้วเมื่อเทียบกัน..ขอทานยังเก่งกว่าเฉียนปู้หลายเสียอีก
อย่างน้อยพวกเขาก็ขอทานบนถนนทุกวัน มีข้าวก็กินข้าว โชคดีก็มีเนื้อกิน ดีขึ้นหน่อยก็เจอเศรษฐี ให้เงินแปดหยวนสิบหยวนกระทั่งหนึ่งร้อยหยวน สิ่งพวกนั้นก็ต้องแลกมาด้วยความขยัน
แต่เฉียนปู้หลาย…อายุแค่นี้ก็รอตายแล้ว ไม่ได้เรื่องจริงๆ
และก็ไม่รู้ว่าท่านผู้เฒ่าเฉียนช่างตีเหล็กมีหลานชายแบบนี้ได้อย่างไร
“เหอะๆ ทำอะไรก็ไม่เป็นคือยังไง เช็ดโต๊ะเสิร์ฟอาหารก็ไม่ได้งั้นเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
การถามเช่นนี้ชัดเจนว่าอยากให้เฉียนปู้หลายไปทำงาน และยังเสนอตำแหน่งงานให้อีกด้วย
แต่คิดไม่ถึงว่าเฉียนปู้หลายกลับส่ายหน้า “ขี้เกียจทำ ฉันก็ไม่ต้องการเงิน มีข้าวกินก็พอแล้ว”
“นายไม่ทำอะไรเลยแล้วจะมีข้าวกินได้ยังไง”
เฉียนปู้หลายยักไหล่ “สนทำไม ของเล่นพวกนี้ของฉันก็ขายได้หลายหยวนอยู่ หาเงินกินข้าวได้ไม่มีปัญหา ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็หลอกกินฟรีไป!”
ซ่งจื่อเซวียนใกล้จะโกรธไอ้หมอนี่แล้ว ในโลกนี้ยังมีคนขี้เกียจแบบนี้ได้อย่างไร
เขาลุกขึ้นทันที หยิบอุปกรณ์ทำครัวเหล็กเมฆม่วงแล้วเดินออกไปข้างนอก เฉียนปู้หลายตะโกนขึ้นมา “เฮ้ ขอฉันดูต่ออีกวันไม่ได้เหรอ”
“ดูอะไรอีก นายมีข้าวกินก็พอแล้วนี่ อยากจะดูอันนี้…ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วมั้ง”
พูดจบซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกไป
เฉียนปู้หลายทำใจปล่อยไปไม่ได้จริงๆ จึงรีบวิ่งตามไป
“เฮ้ นายเป็นอะไรเนี่ย คงไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่ฉันขี้เกียจหรอกนะ ฉันขี้เกียจแล้วไปเดือดร้อนอะไรนายเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนหันหน้ามา “เดือดร้อนสิ ฉันไม่สบายตา ฉันจะบอกนายนะเฉียนปู้หลาย นายเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ต่างอะไรกับตายแล้ว”
“มันเรื่องของฉัน!” เฉียนปู้หลายพูด
“ใช่แล้ว กระทะนี้เป็นของฉัน จะให้นายดูหรือไม่ก็เป็นเรื่องของฉัน”
“นาย…”
ซ่งจื่อเซวียนพ่นลมหายใจหนึ่งที “เอาล่ะ ฉันจะชี้ทางให้นาย ไปทำงานที่ร้านอาหารของฉัน จะได้เห็นอุปกรณ์ทำครัวของฉันทุกวันไง แต่นายจำเป็นต้องทำงาน จะดูทั้งวันไม่ได้นะ”
“ทะ…ทำงานเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าแรงๆ “ถูกแล้ว ฉันจะหาบ้านให้นาย อาจจะไม่ใหญ่มาก แต่พอให้นายพักอาศัยได้ แต่งงานมีภรรยามีลูกก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือใครจะคบกับผู้ชายขี้เกียจกันล่ะ
เฉียนปู้หลาย นายอย่าทำให้ปู่ของนายขายหน้าได้ไหม ไม่งั้นนายก็เป็นช่างตีเหล็กเปิดร้านขาย ถึงไม่ได้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแต่ก็ต้องหาอะไรทำบ้าง”
เฉียนปู้หลายได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจหนึ่งที “ใช่ว่าฉันจะไม่เคยเปิดร้านมาก่อน ฉันน่ะตีเหล็กเป็น แต่บริหารไม่เป็น ร้านของปู่ฉันก็ขายไปแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนโกรธ เอ่ยว่า “พอแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว มาทำงานที่ร้านของฉันไปก่อน มีเงินเดือน รวมอาหาร บวกกับดูอุปกรณ์ทำครัวของฉันได้ จะทำไม่ทำ ฉันถามแค่ครั้งเดียว!”
เฉียนปู้หลายนิ่งไป ครั้งนี้เขาไม่ได้ตอบในทันที ความเด็ดเดี่ยวของซ่งจื่อเซวียนเป็นสิ่งที่เขาคาดคิดไม่ถึง
“เอ่อ…” เขาครุ่นคิด กัดฟันตอบ “ได้ ฉันจะลองดู แต่ถ้าฉันทำไมดี นายอย่ามาโทษฉันนะ”
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้ม “เป็นคนก็ต้องทำได้ดีสิ!”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เอาชุดเครื่องครัวเหล็กเมฆม่วงกลับบ้าน
เขาล้มตัวนอนลงบนเตียง รู้สึกว่าช่วงนี้ไม่เคยผ่อนคลายแบบนี้มาก่อน
นับตั้งแต่ที่เลคริเซียสปรากฏตัว เขาแทบจะอยู่ในสภาวะตึงเครียดทุกวัน
อ่านสูตรอาหาร ฝึกทักษะการทำอาหาร ดูวิดีโอบนอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา การผ่อนคลาย…สำหรับเขาแล้วเป็นไปไม่ได้เลย
เขาลองคำนวณดู บ้านชั้นเดียวตกแต่งพอสมควรแล้ว อีกสองสามวันแม่กับพี่สาวก็น่าจะเข้าไปพักได้แล้ว
ถึงตอนนั้นเมื่อเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ ทั่วทั้งบ้านจะเป็นบรรยากาศใหม่ๆ
ไม่รู้ว่าซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ แล้วผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหน พอนอนหลับก็นอนจนถึงสิบโมงกว่าของเช้าวันถัดไป
มองดูเวลา ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นนั่งพักหนึ่ง ก็เห็นฟางรุ่ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะข้างเตียง เขาพลันตะโกนขึ้น
“รุ่ยจื่อ นายมาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่ปลุกฉันล่ะ”
“นายท่านรอง ผมปลุกแล้ว แต่เรียกหลายครั้งแล้วคุณก็ไม่ตื่น เห็นคุณหลับสนิทอยู่ ผมเลยนั่งรอไปเรื่อยๆ ครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพ่นลมหายใจออกมาพลางพยักหน้า “อวี่เหวินเซี่ยวล่ะ”
“เขามีธุระกับทางโน้น วันนี้กู่เสี่ยวเป่าเรียกเขาไปแต่เช้าแล้วครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพลางครุ่นคิด “สงสัยแก๊งขอทานจะไม่สงบสุขซะแล้ว กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ ถ้ามีเรื่องอะไรพวกเราก็ต้องช่วยอีกแรงนะ”
“วางใจได้ครับนายท่านรอง อวี่เหวินเซี่ยวไม่มีปัญหาหรอก ถ้าต้องการความช่วยเหลือพวกเขาจะบอกพวกเราเองครับ”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกจากเตียง ล้างหน้าแปรงฟันง่ายๆ เรียบร้อยแล้วจึงออกจากบ้าน
แต่เพิ่งจะถึงหน้าปากซอย ยังไม่ทันขึ้นรถ ซ่งจื่อเซวียนก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังเข้ามา
“เก่งแล้วสินะเถ้าแก่ซ่งของฉัน ได้ยินว่าจัดการแก๊งต่างชาติได้แล้ว ฉันเลยมาแสดงความยินดีเป็นพิเศษ”
ซ่งจื่อเซวียนชะงักไปทันทีง แต่ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เขาหันตัวมองไปด้านล่าง เห็นหวังเฉิงยงใส่เสื้อเชิ้ตขาดๆ เสื้อกั๊กขาดๆ หมวกฟางขาดๆ กำลังนั่งอยู่ใต้กำแพงข้างล่าง
“อ้าว เสี่ยหวัง อรุณสวัสดิ์ครับ ขอให้คุณสมหวังเหมือนกันนะครับ!” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ทันที
“ขอบใจๆ แต่เถ้าแก่ซ่งจัดการเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าฉันไม่มาคงไม่เหมาะ และจะได้เอาตะหลิวเหล็กเขียวของฉันกลับไปด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจเจตนาที่ตาเฒ่าคนนี้มาแล้ว
มาเพื่อเอาตะหลิวคืนชัดๆ เมื่อวานเย็นเพิ่งยืมมาจากเขาหยกๆ ตอนนี้ต้องคืนแล้ว ถือว่างกมากจริงๆ…
แต่เมื่อคิดว่ายังถือตะหลิวไม่ชินมือเลย ซ่งจื่อเซวียนก็แอบรู้สึกเสียดาย
“ตะหลิว? หา ตะหลิวอะไรครับ”
………………………………………………
……….