เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 151 ไร้ศีลธรรมไม่มากก็น้อย
ตอนที่ 151 ไร้ศีลธรรมไม่มากก็น้อย
การปรากฏตัวของชายคนนั้นทำให้ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วตะลึงงันอย่างชัดเจน ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมจะเห็นว่าผู้ชายคนนี้เป็นแฟนของสาวสวยคนนั้น แต่…กับท่านเป้ยเล่อนี่มันเกิดอะไรขึ้นอีก
ซางเทียนซั่วยกยิ้ม “ใช่แล้ว อาจารย์มีตาทิพย์แฮะ วันนี้มีละครให้ดูด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้ม “เกินคาด เราจับตาดูกันต่อเถอะ”
ทว่าในเวลานี้ ท่านเป้ยเล่อก็งุนงงเช่นกัน เมื่อมองดูชายคนนั้น เขาไม่เคยเจอมาก่อน แต่บทสนทนาเมื่อครู่สื่อถึงตัวเองจึงทำให้เขาไม่สบายใจอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้หญิงเซ็กซี่ที่ชื่อถิงถิงก็เผยสีหน้าประหลาดใจทันที มองออกว่าเธอคาดไม่ถึงว่าชายคนนี้จะปรากฏตัว
“หานเฟย นายทำอะไรเนี่ย!”
“ฉันทำอะไรเหรอ ฉันมาตามเธอกลับบ้านไง บอกฉันสิว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร!” ชายคนนั้นชี้ไปที่ท่านเป้ยเล่ออีกครั้ง
แต่โมโหก็ส่วนโมโห ท่านเป้ยเล่อกลับไม่ได้พูดอะไร แม้ว่าชายชุดสูทสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาอยากเคลื่อนไหวก็ถูกเขายกมือห้ามไว้
จุดประสงค์ของเขานั้นเรียบง่าย เขายังอยากดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อถิงถิงเห็นก็กดมือหานเฟยลงทันทีและกล่าว “นายจะพูดก็พูดสิจะชี้ทำไม นายไม่รู้เหรอว่ามันหยาบคาย”
“ฉันไม่สน เธอไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะอยู่กับผู้ชายคนอื่นจริงๆ แล้วเธอยังจะพูดเรื่องมารยาทกับฉันงั้นเหรอ” หานเฟยพูดเสียงต่ำอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้เล็กน้อย
“กลับบ้านไหน นั่นมันบ้านนายไม่ใช่บ้านฉัน เราจบกันแล้ว ตอนนี้ฉันมีแฟนใหม่แล้ว เข้าใจไหม” ถิงถิงลุกขึ้นพูดพร้อมยืดอกผายไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจ
ทั้งสองคนโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้จึงดึงดูดสายตาจากคนในร้านอาหารไม่น้อย ท่านเป้ยเล่อจำใจต้องก้มหน้าลง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกขายหน้า
“เธอ…เราคบกันมาหกเดือนกว่าแล้ว เธอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาแล้วเหรอ” หานเฟยพูดทั้งน้ำตา
ชัดเจนว่าถิงถิงเป็นคนขี้รำคาญอยู่บ้าง เธอกลอกตามองหานเฟยแล้วเอ่ย “นั่นเป็นสิ่งที่นายคิด หกเดือนนั่นเป็นช่วงที่ทรมานสำหรับฉัน ดูนายสิ ไม่มีอะไรดีสักอย่างแล้วมีสิทธิ์อะไรมาคบกับฉัน”
ขณะที่พูด ถิงถิงก็ยกถุงเสื้อผ้าขึ้น “เสื้อผ้าพวกนี้แต่ละตัวราคาหมื่นหยวนขึ้นไป นายซื้อไหวเหรอ เงินเดือนไม่กี่พันหยวนของนายจะเอาไปทำอะไรได้ ฉันอยู่กับนายมันทุกข์ทรมาน!”
หานเฟยอดกลั้นไม่ไหวจึงร้องไห้ออกมา เขาถอดแว่นตาออก เช็ดน้ำตาแล้วเอ่ย “ถิงถิง เธอเคยบอกว่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ไง เธอสนใจแค่ฉันดีกับเธอ แล้วยังบอกอีกว่าเรามีอนาคต เธอลืมมันไปหมดแล้วหรือไง”
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ท่านเป้ยเล่อก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น ในความเห็นของเขาผู้ชายคนนี้ท่าจะบ้า…
ในอีกด้านหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนกลับถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ผู้ชายคลั่งรักต้องมาเจอกับผู้หญิงลืมสัจจะ”
“อาจารย์ พูดแบบนั้นไม่ได้หรอก ถ้ายังรับประกันแม้แต่เรื่องสิ่งของไม่ได้ ก็อย่าโทษที่ผู้หญิงตัวเองหนีไปเลย แค่ผู้หญิงชอบผู้ชายรวยๆ น่ะ” ซางเทียนซั่วกล่าว
แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดแบบนี้ แต่ความเป็นจริงในปัจจุบันก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนี้ ถ้าอยากมีผู้หญิงสักคนหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องตอบสนองความต้องการสิ่งของของเธอได้
ทว่าความต้องการสิ่งของของผู้หญิงในสมัยนี้รุนแรงเกินไปจริงๆ และมีผู้ชายจำนวนมากที่ไม่สามารถสนองความต้องการเหล่านั้นได้ การซื้อบ้านและซื้อรถยนต์กลายเป็นความต้องการพื้นฐานที่สุด รวมถึงสินค้าฟุ่มเฟือยที่เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ แล้วจะมีผู้ชายสักกี่คนที่ทำได้ล่ะ
นึกถึงเรื่องนี้ เขาก็อดนึกถึงพ่อแม่ของตัวเองไม่ได้ ในสมัยนั้นความต้องการด้านสิ่งของไม่ได้รุนแรงนัก ผู้คนที่คบหากันต่างพึ่งพาความรักภายในใจและความใฝ่ฝันในอนาคตไม่ใช่หรือ
นั่นคือความรู้สึกที่เรียบง่าย ความรักที่บริสุทธิ์ แต่ตอนนี้…ความรู้สึกได้ผสานกับความต้องการในสิ่งของมากเกินไปและไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของหานเฟย ถิงถิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “นายบ้าหรือเปล่าเนี่ย ใครจะอยากมีอนาคตร่วมกับนาย แล้วนายกับฉันมีอนาคตอะไร แม้แต่บ้านดีๆ ก็ยังไม่มีเลย นายสมควรที่จะมีอนาคตหรือไง น่าขำสิ้นดี!”
ถิงถิงพูดจบก็นั่งลงและซบท่านเป้ยเล่อ เป็นการบอกจุดยืนของตัวเองให้ท่านเป้ยเล่อรู้อย่างชัดเจน
ท่านเป้ยเล่อเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร
ในอีกด้านหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนกำลังเฝ้าดูอยู่ มีพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งเดินเข้ามา “คุณผู้ชายครับ ทางคุณต้องการสั่งอาหารหรือเปล่าครับ พื้นที่ตรงนี้ของเราต้องสั่งอาหารนะครับ”
พนักงานเสิร์ฟบังเอิญบดบังสายตาของซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่ว ซ่งจื่อเซวียนเบี่ยงไปสองด้านสองครั้งก็มองไม่เห็น เขาเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “กาแฟสองแก้ว”
“คุณผู้ชายต้องการแบบไหนครับ”
ขณะที่พูดพนักงานเสิร์ฟก็วางเมนูข้างหน้าซ่งจื่อเซวียน “โอ๊ย เอาอันที่ถูกที่สุดมาก็พอ”
“ได้ครับ รอสักครู่นะครับ”
พนักงานเสิร์ฟจากไป ทั้งสองก็มองไปอีกครั้ง
ในเวลานี้หานเฟยกำหมัดแน่นแล้ว ต้องรู้ว่าที่ผู้ชายคนหนึ่งมาขอร้องผู้หญิงถึงที่นี่ได้ เพราะยอมทำลายขีดจำกัดของตัวเองเพื่อความรักแล้ว แม้ว่าจะถูกปฏิเสธก็ไม่สน แถมยังเห็นผู้หญิงที่ตัวเองรักเข้าหาผู้ชายอีกคน แล้วท้ายที่สุดจะยังแบกรับคุณค่าอันน้อยนิดของตัวเองได้อีกเหรอ
เขาจ้องท่านเป้ยเล่อเขม็ง ตาขาวเบิกกว้างเป็นสีเลือด แล้วจู่ๆ เขาก็กระโจนเข้าหาท่านเป้ยเล่อ ขณะเดียวกันก็ยกกำปั้นขึ้นแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป
เห็นได้ชัดว่าถิงถิงคิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือ จึงตกใจจนอ้าปากค้างและหลบไปอยู่ข้างหลัง
ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วก็ตกใจเช่นกัน ต้องรู้ว่าไม่ใช่เพราะพวกเขากลัว แต่ไม่คาดคิดว่าไอ้หนุ่มนี่จะใจกล้าขนาดถึงขั้นกล้าโจมตีท่านเป้ยเล่อ
ต้องรู้ว่าหานเฟยคนนี้แต่งตัวเหมือนช่างไอทีและดูไม่มีแววเลือดร้อนแต่อย่างใด แต่จู่ๆ ก็จู่โจมกะทันหันแบบนี้ เหนือความคาดหมายจริงๆ
แต่ท่านเป้ยเล่อยังคงนั่งอยู่ที่เดิมและสงบนิ่งเช่นเคย เมื่อมีหมัดเหวี่ยงเข้ามา เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นและจิบกาแฟต่อไป
จังหวะนี้เอง ชายสวมแว่นดำด้านหลังเขาก็ลงมือฉับพลันคว้าข้อมือหานเฟยเอาไว้
“ปล่อยฉัน ลุกขึ้นมาสิ มาสู้กับฉันแบบลูกผู้ชาย!” หานเฟยคำรามใส่ท่านเป้ยเล่อราวกับสิงโตบ้าคลั่งที่ต้องการพิทักษ์อาณาเขตของตัวเอง
ทว่าท่านเป้ยเล่อกลับไม่ได้ตื่นตระหนก เขากระตุกยิ้มเล็กน้อย วางแก้วลงแล้วเอ่ย “แบบลูกผู้ชายเหรอ นายมองตัวเองดูสิว่าเหมือนลูกผู้ชายหรือเปล่า กลับเหมือนคนป่าเถื่อนมากกว่า”
“แก…” หานเฟยกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อชายสวมแว่นดำออกแรง ข้อมือของเขากลับรู้สึกเหมือนถูกคีมเหล็กหนีบไว้ ชั่วพริบตาก็มีเหงื่อไหลบนหน้าผากด้วยความเจ็บปวด
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็กัดฟันไม่ยอมร้องไห้ออกมา แม้แต่สีหน้าก็ยังเกร็งสุดชีวิต ไม่แสดงท่าทางเจ็บปวดใดๆ ให้เห็น
ซ่งจื่อเซวียนแอบพยักหน้า ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นช่างไอที แต่กลับเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง หากเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดในเวลานี้ก็จะขายหน้ามากเก่งเหลือเกิน!
โดยทั่วไปแล้วจุดยืนของผู้คนคือเห็นอกเห็นใจผู้ที่อ่อนแอ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าข้างหานเฟย อย่างไรท่านเป้ยเล่อมีมาดคนรวยและมีอำนาจบาตรใหญ่ ในเวลานี้คือคนที่กำลังรังแกผู้อื่นชัดๆ
ท่านเป้ยเล่อหัวเราะเบาๆ และพูดต่อ “มีแต่คนป่าเถื่อนเท่านั้นที่จะใช้วิธีการแบบนั้น ดูสารรูปตัวเองสิ นายคู่ควรที่จะแย่งผู้หญิงกับฉันหรือไง และฉันขอบอกนายว่าฉันเล่นสนุกกับผู้หญิงคนนี้จนเบื่อแล้ว ถ้านายชอบก็เอาคืนไปได้เลย!”
หานเฟยโกรธจนตัวสั่นไปหมด แม้ถิงถิงจะทิ้งเขาแล้ว แต่จุดยืนของเขาไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เมื่อได้ยินคำพูดของท่านเป้ยเล่อ ไฟโกรธของเขาก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ถิงถิงตกใจและรีบโอบกอดท่านเป้ยเล่ออย่างเร็ว “ท่านเป้ยเล่อ คุณพูดอะไรน่ะ ฉันไม่ได้มีความคิดเป็นอื่นอยู่แล้วนะคะ ฉันรักคุณตั้งแต่แรกเจอ ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ขอร้องล่ะอย่าพูดแบบนั้นได้ไหมคะ”
ท่านเป้ยเล่อตวัดสายตามองเธอ “ไสหัวไป!”
“ท่านเป้ยเล่อ ฉันขอร้องนะคะ เขาไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน ถ้าฉันทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ฉันจะขอโทษเดี๋ยวนี้โอเคไหมคะ คุณทิ้งฉันไปไม่ได้นะ ฉันรักคุณจริงๆ…”
ท่านเป้ยเล่อผลักถิงถิงออกไป ยืนขึ้นและจัดชุดสูทของเขาให้เรียบร้อย “ดูสารรูปเธอสิ เธอคิดว่าเธอเป็นใคร เด็กสาวไร้เดียงสาเหรอ เธอเป็นแค่ไก่ตัวหนึ่งเท่านั้น หรือไม่ก็…เธอเทียบกับไก่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันให้เธอไสหัวไปตอนนี้ เธอยังเอาเสื้อผ้าพวกนั้นไปได้ด้วย แต่ถ้ายังช้าแม้แต่นาทีเดียวฉันจะเก็บของพวกนั้นไปให้หมด!”
เมื่อเห็นท่านเป้ยเล่อยืนกราน ถิงถิงก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกและได้แต่ร้องไห้ต่อไป
เธอหันไปมองหานเฟย “ทั้งหมดมันเป็นเพราะนาย ฉันไปยั่วยุนายเหรอ เราเลิกกันแล้ว นายจะมาระรานอีกทำไม ตอนนี้ท่านเป้ยเล่อไม่ต้องการฉันแล้ว สะใจนายแล้วใช่ไหม”
พูดจบเธอก็หยิบเสื้อผ้าเหล่านั้นแล้วร้องห่มร้องไห้จากไป
ทว่าสีหน้าของหานเฟยกลับอึ้ง เขามองไปที่ท่านเป้ยเล่อ อารมณ์ของเขาไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ด้านข้างส่ายหัวช้าๆ “เล่นจนเบื่อแล้วก็ทิ้ง ไม่มีความรับผิดชอบเลยเหรอ”
“อาจารย์ อย่าหัวโบราณขนาดนั้นได้ไหม เห็นๆ กันอยู่ว่าท่านเป้ยเล่อแค่คิดเล่นๆ กับผู้หญิงคนนั้น แล้วจะมีความรับผิดชอบได้ยังไงล่ะ จ่ายเงินซื้อเสื้อผ้าไปหลายแสน แค่นั้นยังไม่พออีกเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “นั่นก็จริง ที่จริงแล้วที่เขาพูดมันก็ถูก ผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่ไก่ ขายตัวเองเพื่อเงิน แล้วจะต่างอะไรกับไก่”
“ใช่แล้ว คนหนึ่งก็จงใจเล่น อีกคนก็เต็มใจให้เล่น ก็แค่ต้องการเงินนิดๆ หน่อยๆ แต่ผู้ชายใส่แว่นคนนั้นน่าสงสารแฮะ ฮ่าๆ ผู้หญิงจากไปแล้ว เขาอยู่ที่นี่ก็อึดอัดน่ะสิ”
ขณะที่พูดพวกเขาทั้งสองยังคงดูต่อไป
“นังแพศยา!” ท่านเป้ยเล่อมองดูถิงถิงจากไป หยิบซิการ์ขึ้นมาจุดแล้วพ่นควันออกมา
“นายชื่อหานเฟยเหรอ”
ท่านเป้ยเล่อเงยหน้าขึ้นและมองหานเฟย
หานเฟยพยักหน้า “อืม”
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้า จากนั้นยืนขึ้นและโน้มตัวไปข้างหูของหานเฟยก่อนเอ่ย “รู้สึกดีไหมที่ถูกผู้หญิงทิ้งน่ะ”
หานเฟยชะงักและไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง
ถ้าเป็นเมื่อครู่ เขาคงต่อยอีกฝ่ายแน่นอน แต่หลังจากเขาได้ยินถิงถิงเรียกผู้ชายคนนี้ว่าท่านเป้ยเล่อ ก็เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป มองออกว่าเขารู้จักท่านเป้ยเล่อ
เมื่อเห็นว่าหานเฟยไม่พูดไม่จา ท่านเป้ยเล่อก็กระตุกยิ้มแล้วกล่าว “ต่อไปนายอยากให้ตัวเองแกร่งขึ้นและแก้แค้นผู้หญิงเลวๆ พวกนี้ไหม”
หานเฟยมองท่านเป้ยเล่อด้วยความรู้สึกตื่นตระหนกสุดชีวิต ในตอนแรกเขาส่ายศีรษะ แต่ในไม่ช้าก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ท่านเป้ยเล่อคลี่ยิ้ม “อยากหรือไม่อยากกันแน่”
“ท่านเป้ยเล่อ คุณ…หมายความว่ายังไง” หานเฟยถามอย่างขลาดกลัว
“นายรู้จักฉันเหรอ”
หานเฟยพยักหน้า “ใช่ครับ ผมทำงานในโรงแรมที่ปักกิ่งและเคยเจอคุณ”
“เชฟเหรอ”
“อืม”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง น้องชาย จริงๆ แล้ว…ถ้าจะบอกว่าการพบกันคือโชคชะตาคงจะดูขี้อวดไปหน่อย แต่มันเป็นเรื่องจริง จะตามไปทำงานกับฉันหรือเปล่า”
“หา ผมเหรอ ตาม…คุณน่ะเหรอ” หานเฟยมึนงงไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
“ฮ่าๆ ต้าเหมา ทิ้งช่องทางการติดต่อให้เขาหน่อย”
“ครับ ท่านเป้ยเล่อ” ชายสวมแว่นดำพูด
เห็นฉากนี้เข้า ซ่งจื่อเซวียนก็มึนงง นี่…หมายความว่าอะไร ทำไมพวกเขาจับมือเป็นพันธมิตรกันแล้วล่ะ นี่ต้องเกลียดชังกันบ้างเพราะแย่งผู้หญิงสิถึงจะถูก
“ใช้ได้เลยจริงๆ นะเนี่ย เล่นกับผู้หญิงของเขาแล้วยังมาตีสนิทอีก เหอะๆ ไร้ศีลธรรมไม่มากก็น้อย” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะกับตัวเอง
ทว่าคราวนี้ภายในร้านอาหารเงียบสนิท บางทีอาจเป็นเพราะท่านเป้ยเล่อหูดีเกินไปจึงได้ยินคำพูดเหล่านี้แว่วๆ
เขามองไปที่ซ่งจื่อเซวียน และตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนก็มองเขาเช่นกัน เมื่อสบตากันทั้งสองก็ไม่คิดจะหลบสายตากันเลย
ท่านเป้ยเล่อลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามา “พี่ชาย เหมือนว่าฉันจะไม่รู้จักนายนะ มาตัดสินฉันแบบนี้…ไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่า”
……………………………………………