เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน - ตอนที่ 5 [บทที่ 1 คำสัญญา] คำสัญญา
- Home
- เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน
- ตอนที่ 5 [บทที่ 1 คำสัญญา] คำสัญญา
เช้าวันถัดมา หลังจากที่ได้มีช่วงเวลาที่ไม่คาดคิดกับนัตสึกิและครูอัตสึตะ
ผมเดินทางไปโรงเรียน ทักทายกับเพื่อนร่วมชั้น และเดินไปที่ที่นั่งของตัวเอง
ระหว่างทางไปที่นั่ง ผมเดินผ่านนัตสึกิที่กำลังอ่านหนังสืออยู่
ผมไม่แน่ใจว่าจะควรเดินผ่านเธอไปเงียบๆไหม แต่เธอเคยบอกผมไว้ว่าห้ามเมินใส่เธออีก
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเดินไปทักเธอ
“อรุณสวัสดิ์ นัตสึกิ”
แต่เธอก็ไม่แม้แต่จะเหลือบตามามองผม และยังคงอ่านหนังสือเงียบๆ
แต่มันไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้ยินผม เพราะผมเห็นว่าเธอมีปฏิกิริยาบางอย่าง
เช่น มือที่ถือหนังสือของเธอสั่นเล็กน้อย
แต่ดูเหมือนว่าเหตุการณ์บนดาดฟ้าเมื่อวานนี้ทำให้เธอรู้สึกกลัว
ก็ไม่แปลกใจหรอก ใครก็คิดว่าผมอันตราย
เพราะผมขอให้เธอตายไปด้วยกันทั้งๆที่เราไม่ได้สนิทกัน
ผมยิ้มและเดินผ่านนัตสึกิไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง
ขณะที่ผมกำลังเปิดกระเป๋าและจัดของ ผมรู้สึกเหมือนมีใครมานั่งข้างหน้า
“คนโตเกียวคงไม่รู้จักวิธีการทักทายกันสินะ?”
หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นที่คงเห็นที่ผมถูกเมินเลยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประชด
“พูดเกินไปนะแบบนั้น”
ผมเงยหน้าขึ้นตอบ
เป็นโคโยอิ เพื่อนสนิทในวัยเด็กของผมนั่นเองที่พูด
“…อรุณสวัสดิ์ โคโยอิ”
“อืม, อรุณสวัสดิ์”
โคโยอิ ตอบกลับมา แต่ก็มองผมด้วยสายตาที่สับสน
คงเพราะผมเพิ่งพูดปกป้องนัตสึกิไป
เพื่อเปลี่ยนเรื่อง ผมจึงถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น
“…มีอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีหรอก, แค่จะมาปลอบใจเพื่อนในวัยเด็กที่รู้สึกเศร้าเพราะถูกเมินจากสาวสวยที่สุดในโรงเรียน”
โคโยอิพูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม
ถึงเธอจะไม่ชอบนัตสึกิ แต่ก็คงยอมรับในความสวยของนัตสึกิอยู่บ้าง
“เฮ้, เมื่อวานทำไมนายถึงวิ่งหนีไปล่ะ? แถมช่วงนี้ก็พยายามหลบหน้าฉันอีก
ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม?”
มันก็ผ่านมาเกินสัปดาห์แล้วตั้งแต่ที่ผมสารภาพรักกับเธอ
แต่ผมก็ยังไม่สามารถคุยกับเธอได้อย่างปกติเลยเพราะความรู้สึกภายในใจผม…
ผมคงปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
เพราะโคโยอิไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
และมันคงไม่ดีนักถ้าผมจะหลบหน้าเธอต่อไปแบบนี้
“ขอโทษนะ”
ผมพูดออกไป เธอทำหน้าตกใจ คงไม่คิดว่าผมจะขอโทษตรงๆ แบบนี้
“ผมใจสลายรุนแรงมากเลย หลังจากที่โคโยอิจังปฏิเสธผมน่ะ
ผมเลยรู้สึกปวดใจที่ต้องคุยกับเธอ”
ผมพูดออกไปด้วยสีหน้าเรียบ ๆ
โคโยอิทำหน้างง “ห๊ะ?” เมื่อได้ยินคำพูดที่ทำให้เธออายแบบนั้น
สายตาของเธอมีความตกใจและแก้มเธอก็แดงขึ้น
“โง่จัง” เธอพูดเบาๆและลุกขึ้น
“จากนี้ไป…อย่าหลบหน้าฉันอีกนะ”
หลังจากที่พูดแบบนั้น โคโยอิก็เดินกลับไปที่ที่นั่งของตัวเอง
ผมนั่งมองเธอเดินไป
ก็สังเกตเห็นว่านัตสึกิกำลังมองมาจากที่นั่งของเธอ
เมื่อผมหันไปมองนัตสึกิ เธอก็หันหน้าหนีจากผมทันที
เป็นอะไรของเขากันนะ? ผมสงสัย
“ดูเหมือนว่านายจะรู้สึกตัวแล้วสินะ อากิ”
“ไม่จำเป็นต้องรักใครหรอกนะ วันหนึ่งเธอจะรู้สึกดีใจที่ถูกปฏิเสธ”
พวกผู้ชายที่นั่งอยู่รอบๆ และได้ยินการพูดคุยระหว่างผมกับโคโยอิ
ทุบไหล่ผมแล้วพูดกับผมด้วยท่าทางเป็นมิตร
…พวกเขาดูเหมือนจะแอบขำกันอยู่นิดๆ
“พอเถอะ”
หลังจากนั้น เพื่อนๆ ก็ยังคอยแซวผมจนกระทั่งช่วงเช้าก่อนเข้าเรียนในชั่วโมงโฮมรูม…
ผมเริ่มพูดคุยกับโคโยอิได้เหมือนเดิม
แต่กับนัตสึกิผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย
เวลาผ่านไปทั้งๆแบบนั้น
จนวันหยุดฤดูร้อนของรอบที่สองในปีสุดท้ายของมัธยมปลายเริ่มพรุ่งนี้
พิธีปิดเทอมจบไปแล้ว วันนี้เหลือแค่การกลับบ้านเท่านั้น
แต่เพื่อนๆ ส่วนใหญ่กลับดูเหมือนจะเศร้าหมองกันไปหมด
พวกเขาต้องตั้งใจเรียนกันอย่างหนักหลังจากพรุ่งนี้
เพราะมีคลาสเสริมและคลาสในช่วงฤดูร้อนเข้ามา
มันกินเวลายาวไปจนถึงช่วงใกล้สอบเลยสำหรับนักเรียน
และส่วนใหญ่ไม่ก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน
— ผมลุกจากที่นั่งและคิดถึงฤดูร้อนที่ต้องเตรียมตัวสอบ
ผมเดินไปที่ประตูทางออกพลางคิดว่าควรจะกลับบ้านได้แล้ว
แต่ระหว่างนั้น นัตสึกิลุกขึ้น
แล้วเธอก็มองมาที่ผมและพูดว่า
“ไปเจอกันที่ดาดฟ้า ฉันจะรอ”
แล้วเธอก็เดินออกจากห้องเรียนไป
— ผมแทบจะไม่ได้ตอบอะไรเลย เพราะมันดูเร็วไปหมด
ผมแทบจะคิดว่าผมได้ยินผิดไปแน่นอน
แต่ผมตัดสินใจไปที่ดาดฟ้าเพื่อความสบายใจ…
เมื่อผมมาถึงประตูดาดฟ้า ลูกกุญแจถูกเปิดอยู่
ดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้ฟังผิดไปจริงๆ
ดังนั้นผมจึงเปิดประตูและเดินไปหาเธอ
ตอนนี้มันต่างจากครั้งก่อนที่ผมเคยมาที่นี่
ฤดูฝนได้จบลงแล้ว ตอนนี้ท้องฟ้ากระจ่างใสและแดดส่อง
และที่กลางดาดฟ้า มีนัตสึกิยืนอยู่
เธอสังเกตเห็นว่าประตูเปิดและหันมามอง
ผมเดินเข้าไปหาเธอและถามเธอ
“…มีอะไรรึป่าว?”
“นายไปบอกอะไรกับพวกผู้หญิงนั้น?”
แทนที่จะตอบคำถามของผม นัตสึกิกลับถามคำถามกลับมา
“ผมโกหกไปว่าให้หยุดแกล้งเธอ ก่อนที่จะโดนเหล่าคุณครูเพ่งเล็งน่ะ”
“…นิสัยไม่ดีเลยนะนายน่ะ”
นัตสึกิยิ้มให้กับคำตอบของผม
“ทำไมเธอถึงรู้ล่ะ?”
“เพราะว่ายัยพวกนั้นดูสงบเสงี่ยมเกินไปในช่วงนี้”
“…ก็พอจะเข้าใจ”
นัตสึกิพยักหน้าอย่างพึงพอใจในคำตอบของผม
“วันถัดมาหลังจากที่คุยกับนายบนดาดฟ้า ฉันก็ไม่ได้ถูกนินทา
หรือการแกล้งกันจากพวกผู้หญิงพวกนั้นเลย
และทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นหลังได้คุยกับนาย ทำไมนายถึงทำแบบนั้น?”
เธอดูเหมือนจะสงสัยการกระทำของผม
“ผมทำให้เธอกลัวใช่ไหมล่ะ? ตอนที่ผมบอกว่าเราจะตายพร้อมกัน
ก็เลยพยายามจะชดเชยในสิ่งที่ผมทำไป”
“นั่นมันน่ากลัวจริงๆนะ แถมน่าขนลุกด้วย”
“ผมขอโทษจริงๆ…”
ผมก้มศีรษะขอโทษนัตสึกิ ที่กำลังกอดตัวเองด้วยสองมือ
“ไม่เป็นไรหรอก… นายทำให้ชีวิตในโรงเรียนของฉันไม่น่ารำคาญเท่าที่คิดไว้แล้ว
ฉันจะไม่สนใจเรื่องในตอนนั้นก็ได้”
นัตสึกิพูดออกมาแบบนั้น แต่ผมก็ยังมีข้อสงสัย
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ… ทำไมเธอถึงชอบมองมาที่ผมบ่อยๆ
ทั้งในห้องเรียนและตอนพัก… เธอระแวงในตัวฉันหรือเปล่า?”
ตอนแรกผมคิดว่าเธอคงมองผม แค่เพราะผมคุยกับโคโยอิ
แต่แล้วเธอก็มองมาที่ผมบ่อยๆ ทั้งในห้องเรียนและช่วงพัก
จนผมรู้สึกเสียใจที่ทำให้นัตสึกิต้องรู้สึกกลัว…
“มันไม่ใช่เพราะว่าฉันกลัวนะ… มันอึดอัดน่ะ”
“…อึดอัด?”
อย่าบอกนะ [เธอรู้แล้วเหรอ? ว่าผมข้ามเวลามา!]
แค่ล้อเล่นนะ อะไรแบบนี้คงจะเกินไปสำหรับนักเรียนมัธยมที่จะเดาได้แบบนั้น…
เธอมองตาผมตรงๆ แล้วพูด
“สำเนียง”
“…สำเนียง?”
ผมถามอย่างไม่เข้าใจว่าเธอจะพูดอะไร
“อย่างในห้องเรียน หรือเวลาคุยกับเพื่อนๆ นายจะใช้สำเนียงของคนต่างจังหวัดใช่ไหม?”
“อ๋อ…?”
ผมตอบไปอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอจะสื่อ
จริงๆ แล้วนักเรียนและอาจารย์ในโรงเรียนนี้ รวมทั้งผม
ก็มีสำเนียงที่ค่อนข้างชัดเจน แม้จะไม่มีคำท้องถิ่นหรือการเติมท้ายที่เป็นเอกลักษณ์
ในชีวิตก่อนของผม หลังจากที่เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยในโตเกียว
และก่อนที่จะชินกับภาษาญี่ปุ่นมาตรฐาน
ผมมักจะถูกขอให้พูดใหม่บ่อยๆ เพราะสำเนียงของผม
“แต่เวลาที่เธอพูดกับฉัน… เธอกลับไม่มีสำเนียงเลย”
“อะ…?”
นัตสึกิไม่ได้มีสำเนียงอะไรพิเศษ เธอก็แค่พูดภาษาญี่ปุ่นปกติ
แต่มันไม่มีสาเหตุให้ผมพูดแบบเธอในตอนนี้ ผมจึงเลือกที่จะเงียบเอาไว้
นัตสึกิหันมามองผมยิ้มๆ เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ไม่รู้หรอกนะว่านายเรียนมานานแค่ไหน แต่เมื่อกี้ก็พูดแบบนั้นใช่ไหม?”
นัตสึกิถามขึ้นมา แล้วผมก็นึกถึงสิ่งที่ผมเคยพูดไว้
นัตสึกิที่แกล้งเลียนเสียงผมที่บอกว่า [เธอแค่ต้องการจะปรับตัวให้เข้ากับพวกเราให้เร็วที่สุด?]
นั่นแหละที่ผมเคยบอกไว้
“ถึงจะเป็นเด็กบ้านนอก แต่ก็พยายามเข้ากับฉันได้ดีนี่นา ท่าทีแบบนี้ก็ดีนะ”
นัตสึกิพูดล้อเลียนผมแบบนั้น
“…ตอนที่ไปเรียนที่โตเกียว ผมไม่อยากให้ใครล้อว่าผมเป็นเด็กบ้านนอก เลยฝึกพูดในที่ลับๆ
ก็แค่นั้นเอง”
“อืม… งั้นก็ช่างมันละกันเนอะ?”
นัตสึกิพูดพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ปิดบัง
ผมรู้สึกแปลกๆ ที่โดนล้อจากเด็กสาวมัธยม
แม้ว่าผมจะอายุยี่สิบกว่าแล้ว
แต่ก็รู้สึกดีเหมือนกันที่เธอดูไม่ตกใจหรือรู้สึกแย่จากคำพูดของผมแล้ว…
ขณะที่ผมกำลังโล่งใจอยู่นั้น เธอก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมา
“ตัดสินใจได้แล้ว”
เธอพูดออกมา
ผมรอให้เธอพูดต่อไป เพราะไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร
“ฉันสัญญา”
เธอพูดเสียงหนักแน่น ห่างไกลจากคำพูดที่เธอพูดเมื่อกี้เลย
“เมื่อไหร่ที่ฉันตัดสินใจที่จะตาย… นายก็จะตายไปกับฉัน”
มันก็ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันบนดาดฟ้า ผมไม่รู้ว่าอะไรที่เปลี่ยนใจเธอ
แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากเธอ ผมกลับรู้สึกดีใจ…
ถ้ากับเธอ ผมจะสามารถจบวงจรชีวิตที่ไร้ความหมายนี้ได้
“ขอบคุณนะ…”
ผมพูดออกไป
“ยินดี”
เธอตอบพร้อมรอยยิ้มที่สวยที่สุดที่ผมเคยเห็น
แต่ความสวยของเธอมันอ่อนแอเหลือเกิน อ่อนแอจนทำให้ผมนึกถึง [ความตาย] ของผม
ดังนั้น… นัตสึกิ มิไร และผมจึงได้ทำสัญญาว่าจะตายไปพร้อมกัน
—ไม่นานหลังจากนั้น เราก็ได้ทำตามสัญญานั้นในอนาคตอันใกล้