เพราะเป็นเทพมังกรเลยไม่มีระบบพิเศษเหมือนเขาอ่ะ! - ตอนที่ 142 มินกับทัม
บทที่ 142 – มินกับทัม
หลังจากคิดมากเรื่องบ้านอยู่นานพอสมควร มิวก็เลือกจะไปอยู่เมืองปีกใต้ ซึ่งเป็นเขตเมืองที่มีคนเอเชียอยู่เยอะ แต่ก็มีคนยุโรปปะปนอยู่
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอเมริกาหรือคนแอฟริกายิ่งมีน้อยเข้าไปอีก เอาเข้าจริงเมืองแห่งนี้ทางฝั่งแอฟริกากับอเมริกาไม่ได้สนใจขนาดนั้น
อาจจะเพราะมีหอคอยอื่นที่ใกล้พวกเขามากกว่าก็ได้ ว่าเรื่องขนาดเมืองเอาเข้าจริงเมืองนี้ค่อนข้างเล็กหากเทียบกับเมืองแห่งหอคอยอื่นน่ะนะ
เพราะมันอยู่กลางทะเล เดินทางยาก… เดินทางยากในที่นี้ไม่ได้หมายถึงยากแบบสมัยก่อนจะมีอารยธรรมจากอีกโลก
แต่หมายถึงมันค่อนข้างเสียเวลาน่ะนะ เพราะด้วยความที่เป็นเมืองอยู่กลางทะเลละนะ
แน่นอนบ้านที่มิวเลือกซื้อ ก็ซื้อได้ในราคาที่ค่อนข้างแพงพอสมควร แต่ก็ไม่ได้เกินงบเธอแต่อย่างใดด้วยแผนการหาเงินของผู้กล้าเอริเนียสุดแสนมือดี
และก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้วนับตั้งแต่ขึ้นบ้านใหม่ มิวค่อนข้างยุ่งในช่วงแรก ไม่ว่าจะเป็นการยืนยันตัวตนในการซื้อบ้าน
ยังดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากหลายฝ่าย เพราะตัวตนของมิวในตอนนี้ไม่ใช่ตัวตนที่จะมองข้ามได้ ว่ากันบางระดับชื่อเสียงของเธออาจจะเหนือกว่าองค์หญิงไร้เสียงไปแล้ว และชื่อเสียงของสาวนางก็ดังก้องโลกไปในไม่ช้า
แต่เพราะไม่มีใครรู้ที่อยู่ของมิวเลยไม่สามารถตามมาวอแวได้ มิวเองก็พยายามไม่พบปะกับผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
บอกเลยว่าสิ่งที่มิวกังวลมันเกิดขึ้นจริง คือการต้องใช้ชีวิตโดยต้องปิดหน้าปิดตา มันเหมือนดาราหรืออาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ
แม้มิวจะไม่เคยเป็นคนดัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะนึกภาพไม่ออก เธอได้แต่นึกเสียใจว่าตัวเองน่าจะศึกษาเรื่องต่างๆ ในโลกนี้ให้มากกว่านี้
และเวลาก็ยังคงไหลผ่านไป มิวไม่ได้ไปไต่หอคอยต่อ แต่เลือกที่จะ ‘รวบรวมข้อมูล’ แทน เพราะว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
เธอรู้ตัวว่าตัวเองยังรวบรวมข้อมูลไม่พอ ดังนั้นแทนที่จะเป็นคนไปฝ่าหอคอยเองเลือกที่จะรอให้คนอื่นฝ่าและรวบรวมข้อมูลอยู่ด้านนอกดีกว่า
ใช่ เวลาที่อยู่ในหอคอยไม่กี่วันนั้นสร้างบาดแผลให้มิวทั้งในแง่ของมุมมองและจิตใจเลย ถ้าหากจะบอกว่าตอนนี้ลึกๆ ในใจเธอมีความกลัวต่อหอคอยก็คงไม่แปลก
หากไม่ใช่เพราะว่าบนสุดของหอคอยมีความปรารถนาที่ทำให้เธอต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอยู่บนนั้น.. บางทีเธอคงจะไปหาทางใช้ชีวิตสบายๆ เงียบๆ
แต่ก็นะ ต่อให้เธอไม่ไปเคลียร์ก็มีคนไปเคลียร์หอคอยแทนแล้วล่ะนะ ..
ส่วนเรื่องของครอบครัวมิว มิวใช้เวลาสืบอยู่พักใหญ่ต่อจากก่อนเข้าหอคอย แต่ก็อย่างที่คิด ที่นี่น่าจะเป็นโลกคู่ขนานที่คล้ายกับโลกเดิมของเธอ
เพราะร่องรอยของครอบครัวเธอเหมือนจะไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว อาจจะเพราะการปรากฏขึ้นของประตูบอร์เดอร์ทำให้พวกเขาหายสาบสูญไปก็ได้
แต่ไม่ว่ามิวจะลองสืบหาร่องรอยอะไรก็ไม่เจอ เธอจึงได้แต่ตัดใจว่านี่คงไม่ใช่โลกเดิมจริงๆ แม้มันจะมีอะไรหลายอย่างเหมือนมากก็ตาม
แน่นอนว่าด้วยความสามารถมิวในตอนนี้ที่สามารถควบคุมพลังต่างๆ ของมังกรได้มากกว่าเดิมแล้วเธอสามารถบินข้ามทะเลไปได้
และเธอก็เดินทางไปลงพื้นที่สืบ แต่ก็อย่างที่ว่าไม่เจอร่องรอยอะไร
“นั่นสินะ มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
มิวถอนหายใจเบาๆ ถ้านี่เป็นโลกเดิมจริงๆ ทุกอย่างคงจะง่ายกว่านี้ และมันง่ายจนดูแทบจะเป็นไปไม่ได้ในแง่ชีวิตจริงเลย
มิวเดินกลับบ้านเพราะพึ่งไปตรวจสอบและคุยกับคาเอะมาในหลายๆ เรื่อง ก็นะเรื่องกิลด์ผู้ใช้อารยธรรมก็เป็นรูปร่างแล้ว
และชื่อเสียงของมิวก็ได้สร้างผลประโยชน์ต่อกิลด์ของเธอแบบมีตัวเลขชัดเจน และอัตราการบาดเจ็บของผู้ใช้อารยธรรมก็ลดลงอย่างมาก
นอกจากนี้ก็มีกิลด์อื่นๆ เกิดขึ้นอีกมากมายที่พร้อมช่วยเหลือผู้ใช้อารยธรรม ก่อให้เกิดเป็นการแข่งขันของกิลด์ขึ้น
ซึ่งเมื่อมีการแข่งขันผู้ได้รับผลประโยชน์คือคนที่ต้องพึ่งพากิลด์อย่างผู้ใช้อารยธรรม ทำให้ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน
การไต่หอคอยก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ต่อให้ไม่เป็นผู้ใช้อารยธรรมก็สามารถเป็น ‘ผู้ใช้ระบบ’ ได้
ใช่แล้ว การปรากฏตัวใหม่ของระบบนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งนิ่งใหญ่ของโลกเลย แต่ผู้คนไม่ได้แตกตื่น แต่ปรับตัวเข้ากับมันอย่างว่องไว
เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมามีเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นเยอะมาก จู่ๆ มีระบบพิเศษเหมือนในนิยายขึ้นมาก็ไม่น่าใช่เรื่องตกใจขนาดนั้น
แต่เรื่องเหล่านั้นจะขอละไว้กล่าวถึงในภายหลัง.. เพราะมิวตอนนี้กำลังเดินผ่านสวนสาธารณะ และในสวนสาธารณะก็มีเด็กผู้หญิงสองคนกำลังเล่นกันอยู่
ในมือมิวถือขนมประจำถิ่นของญี่ปุ่นมาให้ เพราะเธอพึ่งบินไปญี่ปุ่นมา..
“มิน ทัม นี่มันจะค่ำแล้วนะ กลับบ้านได้แล้วนะ”
มิวพูดออกไปแบบนั้น ทั้งสองที่กำลังคุยกันด้วยสีหน้าที่ชื่นบานก็ตกใจ พร้อมหันมาทางมิว
“อะ.. อา คุ– พี่มิว?! พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
สาวน้อยผมสีเทาไว้ผมทรงทวินเทลกล่าวขึ้นอย่างตกใจและประหม่า อันที่จริงตอนแรกเธอเกือบเรียกมิวว่า ‘คุณ’ แต่ก็เหมือนนึกขึ้นได้ว่าสัญญากันไว้แล้ว
“ก็พึ่งมาถึงนี่แหละ ทำไมเหรอ”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร เนอะมิน เนอะ”
สาวน้อยผมสีเทาทวินเทลหันไปคุยกับผู้หญิงผมสีเหลือง หน้าตาดูใสซื่อ.. หากเทียบกับผู้หญิงร่าเริงผมสีเทาทวินเทลใกล้ๆ
เธอคนนี้ดูเป็นคนเงียบๆ ขึ้นมาเลย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอเป็นคนเงียบๆ นะ ก็แค่ผู้หญิงผมเทาพูดบ่อยเฉยๆ เท่านั้นเอง
“ชะ.. ใช่แล้ว”
มินสาวน้อยผมสีทองพยักหน้าตอบรัวๆ มิวเอียงคอแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไรมากนัก
“ช่างเถอะ ฉันซื้อขนมท้องถิ่นของญี่ปุ่นมาฝากพวกเธอด้วย กลับไปกินที่บ้านกันเถอะ”
มิวพูดแบบนั้นก็กวักมือเรียกทั้งสอง.. ผู้หญิงผมสีเหลืองชื่อมิน สาวน้อยคนนี้มีนิสัยที่ค่อนข้างใสซื่อ อ่อนต่อโลก คงเป็นเพราะพ่อแม่เธอเลี้ยงเธอค่อนข้างดีนั่นแหละ
ต่างจากผู้หญิงผมเทาที่ร่าเริง ดีดอยู่ตลอดเวลาอย่างผู้หญิงผมเทาไว้ทรงทวินเทล เธอเป็นเด็กร่าเริงแต่ก็เป็นเด็กที่ดี เข้ากับคนอื่นได้ง่ายมาก
มิวรู้จักทั้งสองคนตอนพึ่งย้ายมาใหม่ๆ ตอนรู้จักกับมินมันค่อนข้างแปลกคือมิวซื้อของไปทักทายเพื่อนบ้านและคนที่ออกมาตอนกดกริ่งก็คือมิน
ตอนนั้นสาวน้อยคนนี้เห็นเธอก็อึ้งจนเป็นลมไปเลยแหละ พอตื่นมามิวถึงได้รู้ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นแฟนตัวยงของเธอนั่นเอง
พอมาเจอมิวตัวจริงก็เลยตื่นเต้นจนหน้ามืดไปเฉยเลย
ส่วนทัมก็เป็นคนย้ายมาใหม่หลังมิวได้มาอยู่ไม่นาน ใช่ ตอนแรกมินกับทัมไม่ได้รู้จักกันตั้งแต่แรกนั่นแหละ
ทัมเป็นคนร่าเริงอยู่แล้วเธอเป็นคนมาทักทายมิว และเหตุการณ์ซ้ำแต่สลับตำแหน่งก็เกิดขึ้น ทัมที่เห็นมิวก็ตกใจจนสลบไปหน้าบ้านมิวเลย
แน่นอนทัมคือแฟนคลับมิวอีกคน.. ด้วยเหตุนี้มิวก็ได้รู้จักกับเพื่อนบ้านตัวน้อยสองคนที่อายุประมาณ 12 ปีเห็นจะได้
ทางมิวเองก็เห็นว่ามีเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ใกล้กันเลยน่าจะแนะนำให้รู้จักกัน และนั่นเองก็ทำให้พวกเธอทั้งสองรู้จักกัน
ผ่านมาร่วมเดือนทั้งสองคนกลายเป็นเพื่อนสนิทตัวติดกันไปไหนมาไหนด้วยกันซะแล้วล่ะ .. แต่มีสิ่งหนึ่งที่มิวไม่รู้
ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทั้งสองคนคุยกันเกือบจะเป็นเรื่องของมิวประมาณ 9 ใน 10 ส่วนเลยก็ว่าได้
ใช่แล้ว พวกเธอนั้นคือ แฟนคลับติ่งตัวยงของมิวนั่นเอง
ในขณะที่ทั้งสามคนเดินทางกลับบ้านนั้นเองมิวก็สงสัย
“จะว่าไป.. พวกเธอไม่ไปโรงเรียนกันเหรอ?”
วันนี้เป็นวันอังคารนี่น่า.. ไม่สิ พอมานึกๆ ดูมิวก็ไม่เห็นพวกเธอไปโรงเรียนตลอดเดือนที่ผ่านมาเลยแฮะ?
“เอ๋ หนูไม่ได้เรียนแล้วนะ?”
ทัมตอบ ก่อนที่มินจะพยักหน้า
“อืม หนูก็เหมือนกันค่ะ”
มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็แทบจะหันขวับมาหาทั้งสองคน
“พวกเธออายุเท่าไหร่?”
“12 ค่ะ”
ทั้งสองตอบพร้อมกันจนเสียงแทบจะซ้อนกัน มิวถึงกับขมวดคิ้ว ทำไมเด็กอายุแค่ 12 ปีถึงต้องออกการเรียนล่ะ
มิวรู้ดีว่าการเรียนมันสำคัญมาก ต่อให้ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไปและมีงานมากมายที่ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งใบการศึกษา
แต่การเรียนรู้ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น.. ยิ่งสำหรับเด็กแล้ว.. นี่จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ เพราะพวกเขาคืออนาคตของโลก
ในเมืองนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีโรงเรียนนะ .. เอาเข้าจริงมันมีครบหมดนั่นแหละ ก็เพราะมันคือเมืองเมืองหนึ่งนี่น่า
ความจริงก็คือคาเอะเหมือนจะมีหุ้นส่วนกับโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองนี้อยู่ ซึ่งคาเอะก็คือเพื่อนร่วมธุรกิจกับเธอ มิวจึงรู้เรื่องเบื้องลึกทางด้านต่างๆ ของเมืองนี้ที่เกี่ยวข้องกับคาเอะโดยตรงอยู่หลายส่วน