เธอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าพ่อ / เธอเปลี่ยนไปเป็นบอส - ตอนที่ 39: แผนของเหอเยี่ยน
เธอไม่ได้ทำอะไรเลย แต่แม่กลับพูดกับเธอแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีอคติต่อเธอ
เหอเยี่ยนรู้ดีว่าเธอไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีเหมือนกับเวินน่วน ทำให้เธอไม่ได้รับความรักจากแม่สามี แต่การที่แม่สามีพูดแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจ
ย่าเจี่ยนอธิบายว่า “เซี่ยวหลิงกังวลเกี่ยวกับการสอบก่อนหน้านี้ เธอต้องรอจนกว่าเซี่ยวหลิงมีอารมณ์ดีก่อนที่จะเล่นกับเธอ”
เหอเยี่ยนยิ้มและกล่าวว่า “แม่ หนูรู้เรื่องเกี่ยวกับการสอบแล้ว เซี่ยวหลิงอย่ากังวลมากนัก หลานไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารหรือเสื้อผ้าและไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับคะแนนสอบ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกดดันตัวเองมากเกินไปกับสิ่งต่างๆประเภทนี้ ตระกูลของเราสามารถจัดหาของต่างๆให้กับหลานได้”
เหอเยี่ยนมักจะใช้คำพูดเหล่านี้กับเจี่ยนอีหลิงเพื่อปลูกฝังความคิดเพื่อให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องดิ้นรน
เหอเยี่ยนบอกกับเจี่ยนอีหลิงมากกว่าหนึ่งครั้งว่าอีกฝ่ายสามารถพึ่งพิงปู่ย่า พ่อแม่ และพึ่งพิงสามี และพี่น้องได้ในภายหลัง
ในอนาคตเฉพาะอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียวที่ปู่ย่าทิ้งไว้ให้กับเธอก็พอเพียงให้เธอใช้ดื่มกินไปตลอดชีวิต
เจี่ยนอีหลิงเอื้อมมือไปดึงเสื้อของย่าเจี่ยนแล้วกล่าวว่า “หิว”
ทันทีที่ย่าเจี่ยนได้ยินคำพูดของเจี่ยนอีหลิงเช่นนั้น เธอก็รีบสั่งให้คนรับใช้ พ่อครัวจัดเตรียมอาหารมาเสิร์ฟ “มาเร็ว มาทานอาหารเย็นกัน เซี่ยวหลิงหิวแล้ว”
ย่าเจี่ยนพาเจี่ยนอีหลิงไปยังห้องอาหาร หน้าตาของเหอเจี่ยนที่ตามอยู่ข้างหลังก็มืดหม่น
เจ้าเด็กเลวคนนี้ซึ่งเคยเชื่อฟังเธอมาก่อน เกิดเปลี่ยนเป็นอะไรไปแล้ว
ถ้าอีกฝ่ายเรียนเก่งขึ้นมา นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอแน่
ถือโอกาสในตอนที่เข้าไปในห้องน้ำก่อนจะรับประทานอาหารเย็น เหอเยี่ยนก็โทรศัพท์ออกไป
โทรศัพท์ดังขึ้นสักพักหนึ่งก่อนที่จะมีคนรับสาย และเป็นเสียงของหญิงวัยกลางคนที่อยู่ปลายสายฝั่งตรงกันข้าม
เหอเยี่ยนถามว่า “ป้าโม่ เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีดีเจี่ยนอีหลิงเปลี่ยนบุคลิกไปเหมือนกับเป็นคนอีกคน”
น้ำเสียงของเหอเยี่ยนเต็มไปด้วยข้อติเตียน
“นายหญิงสอง ฉัน ฉันไม่รู้ ฉันต้องดูแลนายน้อยสามที่โรงพยาบาลในหลายวันนี้ และฉันก็แทบไม่ได้ข้องแวะกับนายหญิงน้อยเลย” หญิงวัยกลางคนที่ปลายสายฝั่งตรงกันข้ามตอบกลับด้วยเสียงนุ่มนวลและระมัดระวัง
“ถ้าอย่างนั้นป้าได้ปลูกฝังเจี่ยนหยุ่นน่าวให้มีความคิดว่าทั้งมือและชีวิตของเขากำลังจะจบสิ้นลงไปแล้วหรือเปล่า”
“ฉันได้ทำตามนั้น แต่ฉันกลัว กลัวว่าเขาจะจำรายละเอียดในวันนั้นได้ ฉันได้ลองถามหมอ เมื่อคนเรามีอารมณ์รุนแรงความทรงจำก็อาจจะเลอะเลือนได้ แต่ความทรงจำนั้นก็อาจจะดีขึ้นในภายหลัง และถ้าเขาจำได้ เขาอาจจะรู้ว่าฉันโกหกเขา”
เสียงนั้นค่อนข้างจะตะกุกตะกัก เห็นได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายนั้นกลัวจริงๆ
เหอเจี่ยนปลอบโยนหญิงวัยกลางคนนั้นว่า “อย่าตกใจ ถ้าเขาจำขึ้นมาได้จริงๆ ป้าก็บอกเขาไปว่าป้าเห็นผิดไป ยิ่งไปกว่านั้นหากว่าผ่านไปนานๆ แล้วเขายังจำไม่ได้ ก็จะมีแนวโน้มว่าเขาจะจำไม่ได้ เมื่อตอนพวกเขาทะเลาะกันพวกเขาก็ได้สัมผัสร่างกายกันอีกด้วย เมื่อตกบันไดเขาก็จะเกิดความมึนงง เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาตกลงเองหรือว่าเจี่ยนอีหลิงผลักเขา ป้าเป็นคนแรกที่เข้าไปหาหลังจากที่เขาตก ตราบเท่าที่ป้าพูดว่าป้าเห็นเหตุการณ์ตอนที่ป้าวิ่งเข้าไป เขาก็ไม่คิดมากแน่ เขาก็จะได้แต่เพียงโกรธที่น้องสาวที่รักของเขาโหดร้ายต่อเขาเช่นนั้น ยิ่งรักมากก็ยิ่งเกลียดมาก เมื่อมีความรักความเกลียดมากจิตใจก็จะมืดบอด คนหนุ่มสาวที่มีอารมณ์รุนแรงก็มักจะเป็นเช่นนี้”
หญิงวัยกลางคนปลายสายเงียบไป
หลังจากนั้นชั่วขณะ หญิงคนนั้นก็กล่าวว่า “นายหญิงสอง ฉันคิดว่าก็คงเป็นแบบนั้น เจี่ยนอีหลิงน่าจะได้รับบทเรียนมากพอแล้ว พ่อแม่ของเธอก็ใจดีกับฉันมาก พวกเขาไม่คัดค้านเลยที่จะให้ฉันพาลูกสาวมาอยู่ด้วย ทั้งยังเพิ่มเงินเดือนให้ ฉันไม่ต้องการที่จะทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ…”
ใบหน้าของเหอเยี่ยนเปลี่ยนไปในทันที “ป้าโม่ คิดให้ดีในเรื่องนี้ ใครส่งลูกสาวป้าไปโรงเรียนมัธยมเชิ่งหัว ใครเป็นคนหางานเงินเดือนดีแบบนั้นให้ ป้าไม่ต้องการทำงานอีกแล้วเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จัดการกับค่าเล่าเรียนของลูกสาวด้วยตนเองในอนาคตก็แล้วกัน”