เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 4 เต่าดำหมอบ
บทที่ 4 เต่าดำหมอบ
“ปกป้องฉันงั้นเหรอ?” ลู่หยุนมองเก้อหลงอีกครั้ง
“ระดับการฝึกฝนของข้าถึงระดับปราณเปลี่ยนแปลงแล้ว ถึงแม้มันจะไม่มากแต่ก็ไม่มีใครสู้ข้าได้” เมื่อคิดขึ้นแล้วเก้อหลงก็ก้าวไปข้างหน้าใบหน้าของเขายิ้มกว้าง “ที่สำคัญ ก็เพราะข้าคือราชเลขาของตระกูลเก้อ ทุกคนต้องให้ความเคารพยำเกรงแก่ข้า”
ไอ้แก่นี่แย่แล้วเว้ย! ลู่หยุนคิดในใจ “ ถ้าเป็นแบบนั้น เราต้องรบกวนราชเลขาเก้อด้วยนะ”
……
“ไอ้สารเลวลู่มาโชว์ตัวในเมืองแล้วเว้ย!”
“โอ้พระเจ้า นี่เขายังไม่ตายอีกเหรอ?”
“สวรรค์ทอดทิ้งพวกเราแล้ว! เหตุใดไอ้ชั่วลู่มันยังมีชีวิตอยู่?”
“ยัยปีศาจว่านเฟิงก็อยู่ด้วย!”
“ตาแก่นั่นใครน่ะ? น่าจะเป็นราชเลขาเก้อนะ! ทำไมเขาถึงไปกับเจ้าลู่ล่ะ?”
“ไอ้แก่เก้อ!”
ความโกลาหลครั้งใหญ่ปะทุขึ้นทันทีที่ลู่หยุนปรากฏตัวในเมืองสนธยาพร้อมกับว่านเฟิงและเก้อหลง
ว่านเฟิงนั้น ดูเธอคุ้นเคยกับปฏิกิริยาพวกนี้เป็นอย่างดี เพราะสำหรับตัวเธอแล้ว ความต้องการของเขาคือคำสั่งที่เธอต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งนั่นก็คือการทำให้เจ้าเมืองของเธอกลายเป็นอันดับหนึ่งในการทำลายล้างเมืองนี้
หยาดเหงื่อจาง ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากของเก้อหลง และเขาก็แทบจะควบคุมมันไม่ไหวแล้ว เขาไม่คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เลยสักนิด ลู่ผู้ก่อความหายนะ ใครจะไปคิดล่ะว่ามันจะเลวร้ายได้แบบนี้!
ผัวะ!
ไข่เน่าลอยจากไหนก็ไม่รู้ กระแทกเข้าใส่หัวของเก้อหลงจากด้านหลัง กลิ่นของมันแรงจนทำให้เขาแทบอ้วกออกมา
ในทางกลับกัน ว่านเฟิงเองก็ร่ายกำแพงลมป้องกันเจ้านายของเธอเรียบร้อยแล้ว
“นี่ฉันเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของชาวเมืองสินะ!” ลู่หยุนพูดกับตัวเอง “ ฉันเป็นไอ้สารชั่วแบบนั้นเลยเหรอ?”
“ท่านแย่กว่านั้น 10 เท่าเลย!” เก้อหลงพูดแห้ง ๆ ในขณะที่เช็ดคราบไข่เน่า
“ว่านเฟิง เจ้าไปซื้อกระดาษเหลือง ข้าวเหนียว แล้วก็พลั่วมาให้หน่อย ” พวกเขาถอนหายใจเมื่อเดินทางมาถึงโรงชา ลู่หยุนยื่นรายการซื้อของให้กับเธอ
“รับทราบเจ้าค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นออกเดินทางสู่ตลาดทันที
หนึ่งแสนปีก่อน ได้เกิดหายนะอันยิ่งใหญ่โลกแห่งเซียน ทำให้พวกเซียนจำนวนมากล้มตายไปพร้อม ๆ กับเส้นฝึกตนที่หายสาบสูญ หลังจากนั้นอีกหนึ่งแสนปีต่อมาโลกนี้ก็ค่อย ๆ ซ่อมแซมตัวเอง มีเซียนเพียงไม่กี่คนแล้วในตอนนี้ นั่นหมายความว่าเมล็ดพันธุ์วิเศษทุกชนิดจะฟื้นกลับมา
ผู้ฝึกตนเองก็ไม่ได้กินมันจนเข้าถึงระดับเซียนได้ ดังนั้นพวกเขาจึงยังต้องการสารอาหารตามปกติอยู่
“กระดาษเหลืองและข้าวเหนียว?” เก้อหลงถามด้วยความสงสัย
ลู่หยุนกวาดสายตาไปที่ราชเลขา “ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ? เจ้ามาที่นี่เพื่อมาดูแลฉันไม่ให้เป็นอันตรายใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นก็อย่าถามในสิ่งที่เจ้าไม่ควรจะรับรู้”
การมีเก้อหลงอยู่ข้างเขา เพียงแค่นี้ก็ทำให้หงุดหงิดพอสมควรแล้ว มันจะดีกว่านี้ถ้าตาแก่นี่เป็นสาวสวย แต่ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่อยู่ดีล่ะนะ!
ริมฝีปากของเก้อหลงบิดเบี้ยวเล็กน้อย เขาเลือกที่จะนิ่งเฉย
ว่านเฟิงกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับถุงข้าวเหนียว กองกระดาษสีเหลือง พลั่วและจอบ
“เรากำลังจะออกจากเมือง” ลู่หยุนประกาศเมื่อเขาครอบครองสองสิ่งแรก
“ออกจากเมืองเหรอ?” เก้อหลงดีใจสุด ๆ การออกจากเมืองนั่นหมายถึงความตาย มันจะเป็นการเดินทางไปสู่ความตายของไอ้เจ้านี้อย่างแน่นอน
แต่ยังไม่ทันที่เก้อหลงจะทำอะไร ว่านเฟิง เธอก็วิ่งไปทางประตูทางทิศตะวันออก มือของเธอคว้าตัวลู่หยุนเอาไว้และวิ่งไปตามแรงลม
ตำหนักเจ้าเมืองอยู่ที่ใจกลางเมือง มหานครแห่งนี้กว้างใหญ่กว่า 100 ไมล์ ด้วยพลังของลู่หยุนในตอนนี้ เขาไม่สามารถไปถึงประตูเมืองได้ภายในเวลาอันรวดเร็วแน่
ว่านเฟิงหยิบยันต์ออกมาเร่งความเร็วของเธอกว่าเดิม 10 เท่า
“ตามพวกเขาไป!” เก้อหลงกัดฟันและรีบวิ่งตามไป “นังเด็กนั่นไปถึงระดับปราณรวมตัวได้ตั้งแต่อายุยังน้อย! นี่มันอัจฉริยะชัด ๆ ถ้าเลี้ยงดูดี ๆ ล่ะก็เธอจะต้องเข้าสู่ระดับแกนกลางได้ภายในวันเดียวแน่ ไปจับพวกมันมา!” เก้อหลงประเมินสภาพของว่านเฟิงได้จากพลังที่ถูกปล่อยออกมา
เพื่อที่จะปกปิดตัวตนของเธอไว้ ว่านเฟิงจึงใช้พลังแค่ระดับปราณรวมตัวเท่านั้น พลังที่แท้จริงของเธอสูงกว่าเก้อหลง และไม่มีทางที่เขาจะยอมรับมันง่าย ๆ แน่
“แต่หลังจาก 6 เดือนนังนั่นก็จะต้องตายไปพร้อม ๆ กับไอ้สารเลวนั่นแล้วนี่หว่า…“ เก้อหลงลู่บมือของเขาอย่างละโมบ “ถ้าข้าเก็บพลังหยินจากนางได้ ข้าก็จะได้พลังของนาง! บางทีข้าอาจจะเข้าสู่ระดับแกนกลางได้แน่!”
“ในเมื่อพวกมันอยากจะออกจากเมืองไปก็ดี เหอะ ถ้างั้นก็คงไม่มีใครที่จะได้รับของขวัญชั้นเยี่ยมแบบนี้นอกจากข้าอีกแล้วล่ะ!” เปลวไฟแห่งความโลภลุกโชนขึ้น ว่าแล้วเขาก็รีบวิ่งออกไป
เมืองสนธยา ประตูตะวันออก
ยามเฝ้าเมืองทั้งสองกำลังทำเรื่องให้ลู่หยุนและว่านเฟิงออกจากเมือง แต่อันที่จริงแล้วนั่น การออกจากเมืองของพวกเขาคงเป็นเรื่องอยากพอสมควร เพราะมีชนชั้นสูงมากมายได้ใช้อำนาจห้ามให้เจ้าเมืองออกจากที่นี่
“ช้าก่อน! ท่านจะไปไหนกันหรือ?” ชายในเครื่องแบบทหารนายหนึ่งกระโดดลงมาจากกำแพงเมืองหยุดพวกเขาทั้งคู่
“เจ้าเมืองคนนี้อยากจะออกจากเมืองเท่านั้นเอง มีปัญหารึเปล่า?” ลู่หยุนตะโกนอย่างเย็นชาใส่เขา
“ไม่มีเลยขอรับ!” ทหารเริ่มมีความหวาดกลัว “มันมี…”
“ไม่ต้องห่วง ท่านหยิง ตาแก่คนนี้จะปกป้องท่านเจ้าเมืองเอง” เก้อหลงวิ่งตามมาทันและพูดกับยามเฝ้าเมือง
“ถ้าเป็นตามที่ท่านราชเลขาพูดล่ะก็! อนุมัติได้!” นายทหารหยิงหัวเราะและหลีกทางให้กับเขา
มีข่าวลือว่าหลานสาวของตาแก่นั่นตายด้วยน้ำมือของลู่หยุน ถ้าหากเก้อหลงไปกับเขาด้วย เขาจะต้องหาทางจัดการลู่หยุนแน่! นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมพวกชนชั้นสูงหลาย ๆ คนถึงให้เขาอยู่ใกล้กับลู่หยุน
ไม่มีใครกล้าพอที่จะฆ่าเจ้าเมืองอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่กับเก้อหลง ใบหน้าชั่วร้ายปรากฏบนหน้าของนายทหารหยิงเมื่อเขามองลูหยินเดินทางออกไป
ทั้งสามเดินทางไปยังเขาแดงสนธยาหลังจากออกจากเมือง
“ท่านกำลังจะขึ้นไปบนเขาใช่ไหม?” ใบหน้าที่มีสีสันแห่งความสุขของเก้อหลง เมื่อเขานึกถึงจุดหมาย
ภูเขาอยู่นอกเมืองและเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ฉันกำลังจะดำเนินการนี้! ข้าจะจัดการลู่หยุนก่อน แล้วก็จัดการว่านเฟิง เพื่อที่จะได้กลายเป็นระดับแกนกลาง!
แต่การฆ่าลู่หยุนหมายความว่าข้าจะไม่สามารถอยู่ในเขตสนธยาได้อีกต่อไป ตาเฒ่านั่นต้องการให้ข้าจับตามองเด็กเปรตนี่ มากกว่าจะให้ข้าจัดการมัน บางทีข้าอาจจะเป็นแพะรับบาปเรื่องนี้หลังจากที่มันตายก็ได้
…ถ้าอย่างนั้นข้าจะต้องฆ่าเขาโดยที่ไม่มีใครรู้ ถ้าข้าเข้าสู่ระดับแกนกลางได้หลังออกจากเมืองไป ทั้งโลกเซียนก็จะต้องฟังคำสั่งข้า!
ทั้งหมดรีบเดินทางไปยังตีนเขา
ภูเขาแดงสนธยามีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นสีแดงสดทั่วทั้งเขต ด้วยสาเหตุที่ว่ามันเป็นสุสานของเซียน นั่นก็ทำให้มันเป็นสถานที่ที่เป็นลางร้าย ไม่มีใครกล้าเข้ามาที่นี่เลย แม้แต่เซียนเองก็ตาม
แม้ว่านักผจญภัยหลายคนพยายามที่จะสำรวจหลุมฝังศพ และหาโอกาสแสวงโชคอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีใครทำมันได้สำเร็จ
แม้แต่เซียนก็ตายที่นี่
ดังนั้นแม้ว่าภูเขาจะอยู่ใกล้กับเมืองสนธยาแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ปราศจากสิ่งมีชีวิตด้วยเช่นกัน
“เต่าดำหมอบอยู่บนเนินเขาเพื่อกำราบโชคลาภของภูเขานี้ ภาพของเต่าดำเกิดจากงูและเต่ารวมกันกลายเป็นลักษณะของหยินแบบสุด ๆ มันปรากฏเป็นพื้นที่สีดำ กับดักแห่งความตาย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่มีใครมาที่นี่” ลู่หยุนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความสงสัยขณะที่เขามองภูเขา
ทั้งโลกนี้มีการแบ่งฮวงจุ้ยอยู่ 4 แบบ ค่ายกล พื้นที่ แบบรัศมี และแบบรัศมีครอบคลุมทั่วโลก
เต่าดำหมอบที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คือตัวอย่างที่ดีของฮวงจุ้ยแบบพื้นที่ บนโลกนั้นฮวงจุ้ยแบบนี้หมายถึงความภักดีและความยิ่งใหญ่ นั่นก็หมายความว่าใครก็ตามที่ถูกฝังอยู่ในเขาลูกนี้จะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
มังกรแบกโลงในเมืองเองก็คือตัวอย่างสำหรับฮวงจุ้ยแบบรัศมี
“สถานที่แห่งนี้เงียบสงบและไร้ผู้คน เป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการฆ่าใครสักคนและฝังศพ” ลู่หยุนพูดอย่างฉับพลัน
“เอ๊ะ?” หัวใจของเก้อหลงแทบจะหยุดเต้น “ ท่านเอาอะไรมาพูดว่าข้าจะสังหารท่าน?”
“แกส่งหลานสาวสุดรักให้มาเกลี้ยกล่อมฉัน แต่ก็จบลงที่ถูกฉันทรมานจนตาย เธอบอกว่าแกเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของเธอ ทำไมแกถึงไม่อยากจะล้างแค้นให้กันล่ะ?” ลู่หยุนส่ายหัวเล็กน้อย
จริง ๆ แล้วลู่หยุนเองก็รู้สึกเศร้าพอสมควรที่ได้ยินเรื่องนี้จากว่านเฟิง ลู่หยุนคนก่อนไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเอาซะเลย เขามีความกล้าก็จริงแต่ว่ามันไม่ใช่แบบนี้โว้ย! ใครมันจะกล้าทำร้ายหญิงสาวสุดสวยงามแถมยังเวอร์จิ้นแบบว่านเฟิงได้อีกล่ะ??
การเกิดมาในสายเลือดต้องสาปนี้ทำให้เขาอ่อนแอกว่าคนทั่วไป บวกกับการที่มีมังกรแบกโลงศพอยู่ในเมืองนี้มันยิ่งทำให้พลังงานปีศาจมากมายแผ่ออกมา นี่ยังไม่ต้องพูดถึงราชเลขาเซียที่จับให้เขาอยู่กลางรูปแบบการปฏิเสธหยินทั้ง 9 นั่นด้วยนะ
โชคดีมากที่เจ้าของร่างคนก่อนผไม่ได้กลายเป็นขันที แต่ถึงอย่างงั้น ลู่หยุนคนเก่าที่มักพุ่งไปหาว่านเฟิงอยู่บ่อยครั้ง เขาก็ไม่เคยทำอะไรเธอได้เลย
ตระกูลเก้ออยู่ใต้บัญชาของตระกูลลู และเก้อหลงเองก็แนะนำหลานสาวให้กับลู่หยุน ช่างน่าเสียดายที่มันเป็นการเดินหมากที่ผิดพลาดสำหรับเขา การส่งนางไปให้กับเจ้าเมืองคนนี้ถือเป็นการหยามเกียรติมาก! และด้วยความโกรธามันทำให้เจ้าเมืองคนก่อนจัดการทำร้ายหญิงสาวจนถึงแก่ความตาย
“หึหึหึหึ ในเมื่อรู้แล้วล่ะก็ จงตายเสียเถอะ!” เก้อหลงหัวเราะอย่างแรงกล้าแล้วเรียกดาบขึ้นมาในมือของเขาโดยที่ไม่มีใครรู้ที่มาของมัน