เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 33 ซากศพชโลมโลหิต
บทที่ 33 ซากศพชโลมโลหิต
“นั่นสินะ ร่างอะไรจึงใหญ่โตได้ขนาดนี้” ลู่หยุนพูดพึมพำคล้อยตามขณะเดินเข้าไปยังผนัง ก่อนที่เขาจะดึงเอาตัวแมลงศพที่เรืองแสงสีแดงออกมา “มันเป็นตัวหนอนแมลงศพ!” ในมือของชายหนุ่มคือหนอนตัวอ่อนที่ยังไม่โตเต็มวัย
“ไม่ใช่สิ” ลู่หยุนย้ำกับตนเอง “แมลงพวกนี้มันก็แค่เข้ามาวางไข่ไว้ พอตัวอ่อนโตขึ้น จึงได้กลายเป็นหนอนแมลงศพ ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าพวกเรายังไม่ได้เข้ามาอยู่ในร่างของผีดิบอสูรยักษ์ที่ว่านั่น”
“อะไรของเจ้า หนอนแมลงศพอะไรกัน” ฉิงฮั่นถามเสียงสั่น
“นี่คือแมลงศพ หนอนแมลงพวกนี้พอโตเต็มวัย พวกมันจะมีปีกงอกออกมาเอง และเจ้าหนอนปีศาจพวกนี้จะกลายเป็นแมลงศพ” สิ้นคำเจ้าเมืองหนุ่มก็พลันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
แต่ไม่ว่าจะเป็นภายในของร่างอสูรยักษ์หรือผีดิบ พวกเขาต่างรู้สึกถึงลางร้ายที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะ ความเป็นคนช่างสงสัยกลับทำให้ลู่หยุนยิ่งมองหาสิ่งผิดสังเกตต่อไป
“เดินทางต่อดีกว่า ข้าเองอยากรู้เหมือนกันว่าข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่!” ตามวิสัยของโจรปล้นสุสานที่มีสัญชาตญาณชอบขุดค้น มันจึงทำให้เนื้อตัวของเขาเต้นระริกไปทั่วอณูกาย
“เลิกกล่าววาจาเหลวไหลไร้สาระของเจ้าเสียที!” เซียนชุดแดงตวาด “ไม่รอละ ข้าจะจัดการเจ้าตอนนี้นี่แหละ”
“หลี่ชิง!” ฉิงฮั่นร้องปราม
เซียนชุดแดงหัวหดเนื้อตัวสั่นเทา “ข้าขออภัยขอรับนายท่าน!” ถึงท่าทีจะอ่อนลงด้วยความยำเกรงที่มีต่อเจ้านาย หากทว่าก็ยังมีสายตาอาฆาตพยาบาทมองมาที่ชายหนุ่ม
“เอาละ ออกเดินทางได้!” ฉิงฮั่นออกคำสั่ง
ไม่นานนัก มันก็มีเหตุให้ทั้งหมดต้องหยุดเดินอีกครั้ง
“มีอะไรอีกล่ะ!” พวกเซียนโดยรอบต่างประสานสายตา พวกเขาจ้องมายังเจ้าเมืองหนุ่มเสมือนมีคำถาม
“ดูเหมือนจะถึงโลงศพทั้งเก้าแล้วน่ะสิ” ลู่หยุนเอ่ยเสียงเคร่ง “มีวงแปดเหลี่ยมซ้อนอยู่ด้านใน”
เส้นทางเบื้องหน้ากว้างประมาณสามหลากลับบีบแคบลงในช่วงปลาย ตรงจุดนั้นได้ปรากฏโลงศพยาวสีดำขวางเส้นทาง แต่ละโลงมีความยาวเท่ากับความสูงของมนุษย์
ไม่มีใครใส่ใจต่อภาพโลงศพที่จัดวางเรียงรายนั้น แน่ละสิ นอกจากจะเป็นลางบอกเหตุและดูน่าขนลุกขนชันแล้ว มันก็หาได้มีความสลักสำคัญสำหรับคนพวกนี้
หากลู่หยุนกลับไม่ได้คิดแบบนั้น โลงศพทั้งหมดจัดวางแนวราบซ้อนกันนับได้เก้าชั้น รูปวงกลมแปดเหลี่ยมถูกนำมาจัดวาง คล้ายค่ายกลสังหาร ถ้าแม้นประมาทเพียงนิดเดียวคนทั้งหมดอาจตกในอันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิตได้
ลู่หยุนทรุดเข่า ใช้นิ้วมือแตะลงตรงพื้น กวาดมือไปมาตามกระบวนท่าแปรเปลี่ยนค่ายกล
“เจ้าจะเล่นตลกอะไรอีก” หลี่ชิงหัวเราะเยาะต่อท่าทีประหลาดของเจ้าเมืองหนุ่ม
“หุบปากของเจ้าถ้ายังไม่อยากตาย” เสียงลู่หยุนพูดลอย ๆ โดยไม่เงยหน้ามอง
“หัวหน้าหลี่ ท่านอย่าไปใส่ใจกับมดปลวกเช่นนั้นเลย เจ้านี่คงแค่อยากแสดงให้คนอื่นเห็นอิทธิฤทธิ์หลอกลวงเท่านั้น ไหนจะซากผีดิบอสูรยักษ์แล้วยังผีดิบพวกนั้นอีก แล้วนี่อะไร ค่ายกลกับวงกลมแปดเหลี่ยม ข้าไม่เห็นว่าไอ้โลงศพนี่จะพิสดารตรงไหน” หนึ่งในสองเซียนผู้ติดตามพูดจาถากถางอย่างสนุกปาก
“เมื่อพวกเจ้าคิดเช่นนั้น…” ลู่หยุนผุดลุกขึ้น พลางปัดฝุ่น “พวกเจ้ามีใครกล้าเดินผ่านโลงพวกนี้บ้างไหมเล่า”
“ทำไมจะไม่กล้า!” หน้าของผู้เป็นเซียนเริ่มแดงก่ำด้วยอารมณ์ พวกเขาหันไปหัวร่อกันเองด้วยความขบขัน
จริงอยู่ว่ามีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่จากทะเลสาบที่ขึ้นมาจับเอาเซียนชุดฟ้าไปกินก่อนหน้า แต่สถานที่นี้ดูอย่างไรก็ห่างไกลจากคำว่าอันตราย เว้นเสียแต่จะยังมีผีดิบซ่อนตัวอยู่ภายในโลงศพเหล่านี้ ไอ้ผีดิบกระจิบกระจ้อยจะทำอะไรเขาได้ หากมีจริงเขาจะเผามันให้กลายเป็นเถ้าถ่านให้หมด
อันที่จริง ที่นี่เหมาะจะเป็นที่เก็บโลงศพมากกว่าจะเป็นที่อยู่ของไอ้พวกผีดิบน่าสะอิดสะเอียนพวกนั้น อย่างมากเขาก็แค่ปล่อยลูกไฟออกมาสักทีหนึ่งก็คงไม่มีปัญหาแล้ว คิดดังนั้น เซียนผู้นี้จึงเดินอาด ๆ สู่ค่ายกลโลงศพเบื้องหน้า
“โอ๊ววว อะไรกัน อ้าคคค!” เสียงร้องแสดงความหวาดกลัวดังก้อง ก่อนที่จะหายไปอย่างฉับพลัน ความเงียบงันเข้าครอบงำทั่วทั้งบริเวณชั่วขณะ
คนที่อยู่ด้านนอก ไม่มีใครรู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลี่ชิงให้รู้สึกขนลุกซู่ทั่วทั้งสรรพางค์กาย ในที่นี้เขาจัดว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีวิชาเข้มแข็งมากที่สุด เกือบแตะถึงระดับเซียนชั้นฟ้าในไม่ช้า แต่พลังของเขากลับปราศาจากความหมายเมื่อเจอเข้ากับเรื่องพวกนี้ เขาไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางโลงศพปริศนาเหล่านี้ได้อย่างไร
“ข้าเตือนแล้วแต่ยังอาสาเดินเข้าหาความตายเองไม่ใช่หรือไง” เป็นทีของลู่หยุนบ้าง “พวกท่านเห็นความน่ากลัวของค่ายกลโลงศพหรือยัง”
“ค่ายกล? มันคืออะไร?” หลี่ชิงยังไม่วายทำเสียงเย้ย มีท่าทีไม่เชื่อถือ “ข้าไม่สันทัดเรื่องค่ายกงค่ายกลอะไรของเจ้า แต่ข้าเชื่อหลักความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุผล ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก ค่ายกลบ้าค่ายกลบอ พรรค์นั้น! อาจเป็นแค่โลงศพโบราณที่มันบังเอิญระเบิดแตกออกก็เพียงเท่านั้น เจ้าหัวเราะขำขันอะไรนักหนา”
ในโลกแห่งเซียน ค่ายกลเป็นสิ่งสลับซับซ้อนยิ่ง เขาเชื่อกับตนเองมาโดยตลอดว่าสิ่งที่เห็นมิใช่สิ่งที่เป็น และค่ายกลก็เป็นเช่นนั้น
“เต๋า ก่อกำเนิดจากสามัญแห่งสรรพสิ่ง” ลู่หยุนกล่าวแย้ง “ว่ากันว่าค่ายกลที่ถูกสร้างอันแรกเป็นเพียงแค่ก้อนหินรูปร่างประหลาดที่หล่อหลอมรวมกันจนกลายเป็นจุดกำเนิดของโลก”
ชายหนุ่มเคยศึกษาจากตำราทางศาสนา แม้ในตำราจะกล่าวถึงศาสตร์ฮวงจุ้ยมากกว่าค่ายกล แต่พื้นฐานหลักการก็เหมือนกัน
เต๋า…คือความเรียบง่าย” ฉิงฮั่นรู้สึกเสมือนผนังเบื้องหน้าแตกออก “เต๋าคือ … ความเรียบง่าย!” ยิ่งครุ่นคิด ให้ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นพลุ่งพล่านขึ้น
“ถ้าท่านคิดว่าค่ายกลเป็นสิ่งง่าย ทำไมท่านไม่ลองเข้าไปให้เห็นด้วยตาตนเองเล่า” ลู่หยุนไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาของฉิงฮั่นผู้กำลังครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง เพราะมั่วแต่ให้ความสนใจกับคำพูดของหลี่ชิง
เซียนผู้นั้นไม่อาจตอบโต้ ได้แต่ยืนหน้าแดงก่ำ
น่าแปลก ทำไมข้าไม่รู้สึกโมโหต่อชายผู้นี้กัน ทั้งที่เขาเป็นผู้นำพาปัญหามากมายมาให้ข้าแท้ ๆ ลู่หยุนคิดพลางนิ่วหน้า หันไปมองฉิงฮั่น ทันได้เห็นแววตาปิติยินดีแว่บหนึ่งก่อนค่อยเลือนหาย
ฉิงฮั่นประสงค์จะฆ่าเขาเสียจนถึงขนาดส่งคนเข้าไปในเขตปกครองสนธยา ทำไมจึงมัวลังเล เจ้าหลี่ชิงคงจะทำหน้าที่จัดการแทนเป็นแน่ แต่เป็นเพราะไม่มีคำสั่งการจากนายของมัน ดังนั้นมันจึงไม่ลงมือ มิฉะนั้นเจ้าเมืองเช่นเขาคงหัวหลุดจากบ่าเสียนานแล้ว
“ถ้าใจไม่กล้าพอ เจ้าจงหุบปากให้สนิท” เจ้าเมืองหนุ่มกลับมาวางท่าจริงจัง พูดเนือย “ตามข้ามา ระวังด้วย ห้ามเดินออกนอกเส้นทาง” กล่าวจบสาวเท้าเดินฝ่ากลางโลงศพสองโลง เข้าสู่ค่ายกลทันที
ฉิงฮั่น ยู่อิง และคนร่างอ้วนที่ภายในคือยู่เฉิง ก่อนจะตามมาด้วยสองเซียน พวกเขาพากันย่องอย่างเบากริบเดินเรียงแถวตามมาเบื้องหลัง ต่างระแวดระวังเท่าที่จะทำได้ ขณะที่กำลังเดินเข้าสู่แนวค่ายกล อุณหภูมิทั่วทั้งบริเวณลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ความหนาวเหน็บบาดลึกถึงกระดูกจนทุกคนพากันเนื้อตัวสั่นเทา
ลู่หยุนใช้ความพิเคราะห์อย่างถ้วนถี่ ก่อนนำพาทั้งคณะย่องผ่านโลงศพไปตามทางเดิน
“เจ้าพาเดินไปทางโน้นก็ปลอดภัยแล้ว ทำไมจึงพาย้อนกลับมาทางเก่าอีก?”
“เมื่อไม่เชื่อใจข้า อยากไปตามทางของเจ้า งั้นก็ตามใจ” ลู่หยุนยังคงเดินหน้าต่อไป
หลี่ชิงรู้สึกขัดเคือง เขาได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยังคงต้องเดินตามต่อไปทั้งที่ไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ไว้ให้ออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ ข้าจะเฉือนเจ้าเป็นชิ้น ๆ ต่อให้นายของข้าฉิงฮั่นจะร้องขอชีวิตให้เจ้า ข้าก็จะไม่หยุด คอยดู! ภายใต้ความคิดอย่างมุ่งร้าย เขาไม่เคยสยบให้ใครแม้แต่นายท่านของตนเอง
“ข้านึกออกแล้ว!” เสียงหนึ่งในบรรดาเซียนร้องขึ้นอย่างปิติยินดียิ่งนัก
“เกิดอะไรขึ้น” ทุกคนในกลุ่มหยุดหันไปมองเซียนคนที่ร้องขึ้นเมื่อครู่
“โลงศพนั่น…ทำมาจากไม้หยกศักดิ์สิทธิ์อย่างไรเล่า! เนื้อไม้ชนิดนี้มีส่วนผสมของเนื้อหยกเกรดระดับเก้า คุณภาพดีที่สุด! เลยทีเดียว” สีหน้าของเซียนอาบไปด้วยความตื่นเต้นยินดี พลางเอื้อมมือออกไปลูบไล้โลงศพหลังที่วางอยู่ตรงเบื้องหน้า
“อย่าแตะ!” ลู่หยุนตวาดห้ามเสียงหลงตามสัญชาตญาณเมื่อพบเห็นใครที่มักทำสิ่งโง่เง่าสิ้นคิดเช่นนี้
แกร้กกก
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ฝาโลงศพแง้มเปิดออก ร่างโชกชุ่มด้วยเลือด หากปราศจากเนื้อหนังได้ยื่นส่วนที่เป็นมือของมันคว้าหมับที่คอของเซียนคนนั้น ก่อนจะกระชากทั้งตัวหายผลุบลงไปภายในโลงอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย นี่มันตัวอะไรกัน! ท่านเจ้าเมือง ช่วยข้าด้วย!” เสียงร้องโหยหวนของเซียนแผ่วเบาลง กลับมีเสียงขบเคี้ยวกร้วมดังกลบเสียงร้องจนหมดสิ้น
“ซากศพชโลมโลหิต!” เสียงลู่หยุนร้องตะโกนเตือนคนที่เหลือ “ทุกคนรีบออกไปจากที่นี่ เร็ว! อย่าหันไปมอง!” เขาหันหลังกลับ กระโจนเผ่นออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงกรีดแหลม
ทั้งหมดต่างพากันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตตามหลังชายหนุ่มไปติด ๆ
“ไอ้นั่นมันตัวอะไร ปีศาจ! หรือว่าอสุรกาย! อย่าให้มันจับข้าได้เชียวนะ!” ไม่มีใครรู้ได้ว่ายู่เฉิงทำอย่างไรกับหลี่ยูวไฉ แต่เจ้าอ้วนนั่นก็อยู่ในอาการหวาดกลัวเช่นเดียวกัน
ภาพอันน่าสะพรึงของส่วนหัวของไอ้ซากศพยื่นโผล่พ้นฝาโลงศพที่แง้มเปิดออก เลือดชุ่มโชกแดงฉาน นัยน์ตากลวงโบ๋ มองจ้องกลับมาทางมนุษย์
“ฮี่ ฮี่ ๆๆๆๆ…” เปล่งเสียงหัวเราะ เนื้อหนังของคนที่มันเพิ่งกัดกิน ปลิวกระจัดกระจาย
“อย่าหันกลับไปมอง!” หลังรวบรวมสติปชัญญะได้ ลู่หยุนก็พลันตะโกนออกไป
หลี่ชิงที่กำลังตื่นกลัวหันกลับมาทันที ในที่สุดทั้งหมดสามารถทะลวงฝ่าค่ายกลออกไปจนได้ ลู่หยุนทิ้งตัวลงกับพื้น หอบฮั่กด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ไอ้ซากศพอาบเลือดตนนั้น ใช่มันจริงจริง! ใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมากันแน่ เขาหันไปทางโลงศพที่เพิ่งรอดพ้นความเป็นความตายกันมาอย่างหวุดหวิด ซากศพชโลมโลหิต เป็นสิ่งลี้ลับที่ไม่เคยมีบอกไว้ในตำราเล่มใด เคยได้ยินก็แต่ตามเรื่องเล่าลือกันในหมู่โจรปล้นสุสานเท่านั้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตายเช่นนี้ ขณะเดียวกัน แม้แต่ในตำราของอาจารย์ที่เคยพร่ำสอน มันก็ไม่มีบันทึกไว้ ไม่มีใครเคยรู้ ไม่มีใครเคยเห็น ทว่าด้วยสัญชาตญาณของโจรปล้นสุสาน เขากลับสัมผัสได้ถึงภยันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา
“ไปซะ!” ยู่เฉิงตวาดเสียงดังไปทางร่างโงนเงนที่อาบโชกไปด้วยเลือดซึ่งปรากฎขึ้นไม่ห่างออกไป
“อะไร” ความยุ่งยากยังไม่ทันจางหาย ลู่หยุนหันไปทางวิญญาณผู้ติดตาม
“ไอ้พวกผีตายซากนั่นมันตามมา เพราะเจ้าหลี่ชิงดันหันไปมอง เคราะห์ดีที่เมื่อห่างออกจากโลงศพไม่ได้เพราะจะอ่อนกำลังลง ดังนั้นข้าจึงพอจะสกัดมันเอาไว้ได้เจ้าค่ะ” ยู่เฉิงถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก
“เจ้าทำได้ดีมาก” คราวนี้ลู่หยุนถอนใจบ้าง ใครก็ตามที่หันไปมองเจ้าซากศพอาบเลือด ไม่มีใครจะรอดชีวิตกลับมาได้ คงไม่มีใครตามไปช่วยได้ทันแม้คนผู้นั้นจะเป็นพวกเซียนก็เถอะ
“เจ้าพูดกับใคร” ฉิงฮั่นถาม หน้าตาของเขาตอนนี้ซีดเซียวปราศจากสีเลือดเหมือนกัน ภาพที่เซียนต้องมาตายไปต่อหน้ายังติดตาไม่หาย ผสานเข้ากับกลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้ง ทำให้เมื่อเห็นว่าลู่หยุนกำลังพูดกับอากาศธาตุ มันก็ทำเขาอดขนลุกขนชันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ข้ากำลังพูดกับผีไง” ลู่หยุนตอบ พลางพ่นลมออกทางจมูก “เจ้ายังสติดีอยู่ใช่ไหม ไม่กลัวไอ้ของพวกนี้หรือไง”
แม้ริมฝีปากจะซีดจนเขียว แต่ฉิงฮั่นก็ยังคงสั่นหัวปฏิเสธ
“เจ้านี่…” หลี่ชิงมาดหมายจะปลิดหัวลู่หยุน แต่แล้วเขากลับชะงักทันควัน
“ข้าสามารถพิชิตภูตผีได้ แค่ขู่เข้าหน่อย พวกมันก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ หรือจะให้กำจัดพวกมันเลยก็ยังได้ แต่ไอ้พวกซากผีอาบเลือดพวกนี้…” สีหน้าบ่งบอกความไม่มั่นใจปรากฏแว่บขึ้น
ไม่มีใครบอกได้ว่าพวกซากศพชโลมเลือดเหล่านี้เป็นใคร เขายังเคยคิดว่าผีดิบที่เหาะเหินเดินอากาศได้น่าประหลาดใจแล้ว จะว่าไปของพวกนั้นก็แค่ทำให้เขาประหลาดใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เคราะห์ยังดีที่ยู่เฉิงสามารถจัดการปัดรังความไปได้ เรื่องนี้ทำให้เจ้าเมืองหนุ่มได้รู้ว่าเจ้าผีตายซากพวกนั้นจะไร้เรี่ยวแรงเมื่ออยู่ห่างจากถิ่นของมันซึ่งเป็นแหล่งพละกำลังที่แท้จริง
“ไปกันต่อได้หรือยัง” ลู่หยุนหันไปถามฉิงฮั่น แววตาเด็ดเดี่ยว
“ออกเดินทางกันเลย! ข้างหน้ามีตำราค่ายกลโลกานิมิตรอข้าอยู่ ข้าต้องไปเอามันมาให้ได้!”