เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 27 โลงสำริดส่วนนอก
บทที่ 27 โลงสำริดส่วนนอก
คนอื่น ๆ ต่างมีท่าทีลังเล แม้ว่าจะเป็นการฝืนใจ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตาม ในเมื่อลู่หยุนมั่นใจในตนเองเสียขนาดนี้
“เจ้ายังวางแผนให้ลู่หยุนเป็นพวกเดียวกับเจ้าอยู่ไหม?” ฉิงฮั่นมองไปที่พี่ชายของเขาอย่างเงียบ ๆ ด้วยเสียงหัวเราะและสูดอากาศ
สายตาของฉิงหงเฉินกะพริบรวดเร็ว “คนที่มีพรสวรรค์คือคนที่ข้าสามารถใช้งานได้!”
“ฮ่า แต่เจ้าสามารถควบคุมเขาได้ไหมล่ะ?” ด้วยความโกรธทำให้ฉิงฮั่นหลับตาและตามหาลู่หยุน
หวือ หวือ
ลมหนาวพัดผ่านหูของพวกเขาเมื่อพวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในค่ายกล ความหนาวเหน็บวิ่งผ่านไปทั่วสันหลัง พวกเขาเริ่มที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่ขุนนางคนนั้นจะตายมาบ้างแล้ว
“นายท่าน!” บางคนตะโกนขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยหัวที่ตกลงมาบนพื้น
“อะไร? ฉิงหงเฉินตายแล้วเหรอ?” ฉิงฮั่นตัวเกร็ง เขาต้องการที่จะลืมตา แต่คำพูดของลู่หยุนก็ผุดขึ้นมาในจิตใจ เขาหยุดลง พร้อมกับพยายามระงับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง ก่อนที่ฉิงฮั่นจะรีบเดินไปข้างหน้าต่อไปทั้ง ๆ ดวงตาทั้งสองข้างยังคงปิดสนิท
“ไม่! อย่าฆ่าข้า!” เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับหัวที่ตกลงพื้น
“หลี่ยูวไฉตายแล้วเหรอ?” โม่วยี่ตัวสั่นเล็กน้อย แต่ท่าทางของหญิงสาวยังคงสงบและไม่ได้รับผลกระทบอะไร
ในที่สุดทั้งกลุ่มก็มาถึงปลายทาง พวกเขาทุกคนลืมตาขึ้น
“ลู่หยุน?” ขุนนางวารีนภาพูดด้วยความไม่เชื่อเมื่อยังเห็นลู่หยุนในสภาพปกติดี “เจ้ายังไม่ตายเหรอ?”
“เจ้ายังไม่ตายฉิงฮั่น!” ฉิงหงเฉินก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นน้องชายของเขาเช่นกัน
“ข้าก็คิดว่าเจ้าตายแล้วเหมือนกัน” ฉิงฮั่นตอบกลับอย่างเย็นชา
โม่วยี่นิ่งเงียบ การได้เห็นหลี่ยูวไฉทำให้นางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขุนนางวารีเมฆาหายไปแล้ว” มีคนนับขึ้น
“เขาเป็นคนเดียวที่ตายจริง ๆ” ฉิงหงเฉินพูดเสียงเข้ม “ เขาน่าจะลืมตาตอนที่ได้ยินเสียงคนตาย เพราะแบบนั้นแหละที่ทำให้เขาหายไป”
ลู่หยุนเงียบปากของเขาโดยไม่พูดอะไรเลย เก้อหลงจัดการพวกที่แข็งแกร่งจนมันหนีหายไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงพวกอ่อนแอเท่านั้น แต่ก็ยังมีคนตายอยู่ดี
นายท่านสิบสามมองย้อนกลับไปอย่างรอบคอบในทิศทางที่พวกเขาจากมา “นี่คือใจกลางค่ายกล” เขากล่าวพร้อมกับชี้ไปที่หญ้าสีม่วงอ่อน “ถ้าเราลงไปที่นั่น เราจะเข้าไปได้โดยที่ไม่ทำให้ค่ายกลทำงงาน”
ลู่หยุนพยักหน้า กองหญ้านั่นคือจุดอ่อนของค่ายกลมังกรและเสือ
“ขุดตรงนี้ แล้วพวกเราจะเข้าไปข้างในภูเขาได้” ลมหายใจของลู่หยุนเร่งตัวขึ้น เนินฝังศพที่ยิ่งใหญ่! มันต้องฝังใครบางคนที่มีพลังเหนือจินตนาการไว้แน่! ความลับที่ไม่ได้รับการแก้ไขมานานหลายปีได้ทำให้มันกลายเป็นสุสานฝังศพขนาดมหึมา! เลือดของชายหนุ่มเดือดด้วยความตื่นเต้นเมื่อคิดว่าตัวเขาจะได้ขุดสุสานเช่นนี้
“ขุด?” เจ้าเมืองวารีนภาเย้ยหยัน “เจ้าคนไร้ประโยชน์คงไม่เคยฝึกมาก่อนสินะ พวกเราน่ะคือผู้ฝึกฝนที่สำเร็จวิชาทั้ง 5 ธาตุ ด้วยวิชาปรับเปลี่ยนดินนี่จะช่วยให้เราลงไปใต้ดินได้โดยไม่ต้องขุดค้น”
ลู่หยุนยักไหล่และทำท่าให้เขาเดินต่อไป
“เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” นายท่านสิบสามส่ายหัวของเขา “มีค่ายกลแปลก ๆ รอบภูเขานี้ที่จะทำงานเมื่อสัมผัสได้ถึงตัวตนของผู้ฝึกตน แม้แต่การใช้วิชาบางชนิดก็เช่นกัน การขุดลงไปคือหนทางที่ปลอดภัยที่สุด”
ใบหน้าของขุนนางวารีนภาเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แต่เขาจะไม่เถียงกับเจ้าแห่งค่ายกล
“ขุดลงไป 135 หลา 7 ฟุต และ 3 นิ้วแล้วค่อยหยุดนะ” ลู่หยุนสั่งด้วยเสียงต่ำ “ห้ามขาดหรือเกินเด็ดขาด!”
“ไปจัดการซะ!” ฉิงหงเฉินออกคำสั่ง
หลี่ยูวไฉจะไม่ทำให้มือของเขาสกปรก ดังนั้นเขาจึงนั่งลงกับพื้นและหยิบเนื้อย่างชิ้นหนึ่งออกมาเคี้ยวอย่างเพลิดเพลินราวกับอาหารว่าง นั่นทำให้เจ้าเมืองที่เหลือทั้งสี่และฉิงฮั่นกลายเป็นกรรมกรของกลุ่ม
ดาบพลังงานพุ่งผ่านอากาศและตัดลงไปในดินจนก่อให้เกิดอุโมงค์เล็ก ๆ ที่นำไปสู่ใต้พื้นดินโดยตรง
“หนึ่งร้อยสามสิบห้าหลาเจ็ดฟุตและสามนิ้ว เรียบร้อย!” หลังจากเวลาผ่านไป 20 นาที เสียงของขุนนางวารีนภาก็ดังก้องมาจากใต้ดิน “ไม่มีอะไรที่นี่”
“นั่นเพราะว่าเจ้ามันโง่ไง” ลู่หยุนดมกลิ่นและหันไปหาโม่วยี่ “คอยอยู่ตรงนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นในใต้ดิน ก็ค่อยมาช่วยพวกเรา”
“รับทราบ” นางพยักหน้า
ใบหน้าของฉิงหงเฉินมืดลง “ นางไม่ได้มากับพวกเราด้วยงั้นเหรอ?”
“ถ้านางมาเราตายกันหมดแน่” ลู่หยุนส่ายหัวเล็กน้อย “ มีของอันตรายอยู่ข้างล่างนั่น พวกเราต้องมีคนอยู่ด้านนอกเพื่อประสานงานกับเรา”
“ข้า ข้าจะอยู่กับนาง!” หลี่ยูวไฉอาสาตัวเอง
“ไม่ เราแค่ต้องการโม่วยี่เท่านั้น” ลู่หยุนตอบเมื่อเขาเข้าไปในอุโมงค์ รอยยิ้มเย็น ๆ ดึงริมฝีปากของชายหนุ่ม ข้าจะดูแลพวกเจ้าทุกตัวในสุสานนี่ให้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว!
“มานี่เลย” ฉิงฮั่นถอนหายใจแล้วเข้าอุโมงค์ทันที
“เจ้า -” หลี่ยูวไฉตะลึง หันไปมองโม่วยี่ ก่อนจะตามพวกเขาเข้าไป “เจ้าต้องดูแลมันให้ดี ห้ามให้ใครทำลายมันนะ!”
หญิงสาวไม่อยากจะตอบอะไรทั้งนั้น
“โอ้ สวรรค์เบื้องบน!” อาการตกตะลึงแผ่ซ่านไปทั่วอุโมงค์นี้ “มีอาวุธและสมบัติอมตะมากมายอยู่ที่นี่ นั่นอะไรน่ะ? เม็ดยาเซียน!”
“มีสมบัติที่นี่จริง ๆ ด้วย!” หลี่ยูวไฉเพ้อฝันเรื่องศักยภาพของเขา เขารีบวิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว
“ค่ายกลเคลื่อนย้าย” ประสบการณ์ของยู่อิงช่วยเพิ่มพูนความรู้ของลู่หยุนเป็นอย่างมาก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงรู้ว่ามีของแบบนี้อยู่ในโลกเซียน
เนินฝังศพแห่งนี้ทรงพลังมากกว่าสุสานของยู่อิง ที่นั่นเคยมีคนขุดมันไปแล้ว นั่นย่อมหมายถึงโลงศพภายในถูกดัดแปลงอย่างแน่นอนและรูปแบบทั่วไปของสุสานก็เปลี่ยนไป
สุสานของยู่อิงถูกบุกรุกโดยผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเซียน ทว่าพวกเขาไม่สามารถแงะเปิดโลงศพของนางได้ ดังนั้นกลิ่นของสุสานของนางจึงยังคงอยู่ แต่กับเนินดินฝังศพนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เคยมีคนเปิดโลงศพเมื่อห้าพันปีก่อนหรือแม้กระทั่งก่อนหน้านี้
สิ่งที่ลู่หยุนกำลังตามหาอยู่คือลูกแก้วค่ายกลตามที่โม่วยี่บอกเขาก่อนหน้านี้ เนื่องจากค่ายกลนอกภูเขายังคงตั้งตระหง่านอยู่ ดังนั้นตัวควบคุมค่ายกลเองก็น่าจะต้องอยู่ในนี้ เขาไม่สนใจโลงศพหรือของอะไรพวกนั้นหรอก
สิ่งที่อยู่ปลายอุโมงค์หายไป
“นี่คือค่ายกลเจ็ดเท่า เจ็ดส่วนของมันสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายได้” ค่ายกลนี้ถูกวางอย่างซับซ้อนอยู่ใต้ดิน ถ้าลู่หยุนไม่ได้ตั้งใจสังเกตก็คงไม่นึกถึงมัน
การคำนวณที่แม่นยำของชายหนุ่มทำให้เขาสามารถวางอุโมงค์ให้ตรงเข้ากับตำแหน่งค่ายกลเจ็ดเท่า นี่จึงช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการเดินเข้าไปในค่ายกลของเขาเป็นอย่างมาก ลู่หยุนจำการจัดวางของฮวงจุ้ยได้ทั้งหมดแล้ว
ภาพกะพริบตรงหน้าเขา แล้วจากนั้นปราสาทก็ปรากฏออกมา กองขุมทรัพย์กระจายไปทั่วบริเวณ แถมยังมีขุมทรัพย์เซียนเต๋าที่ยู่อิงพูดถึงแต่ไม่สามารถหยิบมันมาได้ด้วย
สิ่งที่อยู่ตรงกลางห้องโถงก็คือโลงสำริดขนาดมหึมา
“โลงสำริดส่วนนอก!” ลู่หยุนรู้สึกขนลุกซู่ มีอยู่สองสิ่งที่นักขุดสุสานไม่อยากจะพบเจอที่สุด หนึ่งคือโลงไม้ปรภพ สองคือโลงสำริดส่วนนอก