เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 26 อย่ากินมากไปล่ะ
บทที่ 26 อย่ากินมากไปล่ะ
ห่างออกไปสิบแปดไมล์ มันมีบริเวณที่เป็นจุดอ่อนของฮวงจุ้ย ไม่มีการบอกว่าโครงสร้างมีอยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่มีหน้าที่เพื่อปกป้องจุดอ่อนนั้นอยู่ ฮวงจุ้ยของมังกรและเสือนั้นเป็นค่ายกลที่ยิ่งใหญ่ก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นตำแหน่งที่ลู่หยุนชี้ให้เห็นก็คือจุดอ่อนของมันด้วยเช่นกัน
ทุกคนกลั้นหายใจขณะที่มองดูเจ้าเมืองหนุ่มสั่งให้ไปยังทิศทางนั่น
“อ๊ะใช่!” ลู่หยุนตบหน้าผากของเขา “ข้าลืมบอกบางสิ่งกับเขา”
ทันใดนั้นขุนนางผู้ซึ่งไม่ได้เดินไปไกลนักพลันหันหลังกลับและอ้าปากเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แล้ว –
กึ่ก
หัวของคนผู้นั้นอยู่ ๆ ก็หลุดออกจากคอและกระแทกกับพื้น เลือดไหลขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่ร่างกายไร้สมองสั่นการนั้นจะโค่นล้มลงกับพื้นเหมือนท่อนซุง
“ข้าลืมบอกให้เขาห้ามพูดใช่ไหม?” ลู่หยุนเก่าด้านหลังศีรษะของเขา “น่าจะไม่ล่ะมั้ง”
ไม่มีใครตอบเขา ทั้งกลุ่มตกใจ ขุนนางคนนั้นตายเร็วเกินไป มันไม่มีลางบอกเหตุเลยแม้แต่น้อย ไม่มีใครคิดหรอกว่าหัวของเขาจะหลุดออกมาแบบนี้
“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?” นายท่านสิบสามจ้องมองไปที่ร่างกายก่อนจะพูดต่อ “เขาเข้าไปในค่ายกลงั้นหรือ? ทำไมข้าถึงสัมผัสการทำงานของมันไม่ได้?”
“นี่มันเกินกว่าที่ข้าคำนวณไว้นิดหน่อย” ลู่หยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าคิดว่ามันน่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นหากเดินหลับตาไปในทางนั้น แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะหันหลังกลับมาและทำท่าจะพูด!”
“อะไรบางอย่างในค่ายกล? มีใครอื่นอีกหรือ?” นายท่านสิบสามขมวดคิ้วและตะคอกออกมาอย่างรุนแรง “เกิดอะไรขึ้นที่นี่? บอกข้ามาเดี๋ยวนี้!”
“ลำดับที่สิบสามแห่งหลางเซียเทียน เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นลำดับที่สิบสามงั้นเหรอ!” ลู่หยุนจ้องมองไปที่เจ้าคนโอ้อวด “เจ้าไม่รู้หรือไงว่าพวกเราอยู่ในค่ายกลแล้ว? จุดที่ข้าชี้ไปคือตำแหน่งที่พวกเราจะหนีออกไปได้ และอาศัยเป็นเส้นทางเพื่อเดินต่อไปยังเนินเขานี่ได้ด้วย”
ค่ายกลที่พวกเขาพูดถึงอยู่ก็คือ ค่ายกลข่มขวัญมังกรและเสือ อย่างไรก็ตามมันก็คือฮวงจุ้ยด้วยเช่นกัน ถึงแม้ลู่หยุนจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ชายหนุ่มก็พอคาดเดาความสามารถของมันได้ นายท่านสิบสามก็ควรจะรู้เช่นเดียวกัน เพราะว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในสุดยอดผู้รอบรู้เรื่องค่ายกล แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้อะไรเลย
“เจ้าตัวปลอม” ลู่หยุนพึมพำภายใต้ลมหายใจของเขา
“ข้า-!” ใบหน้าของนายท่านสิบสามแดงก่ำ “แน่นอนว่าข้าบอกได้เลยว่าเรากำลังอยู่ในค่ายกล แต่เขาตายโดยที่ข้าไม่รู้อะไรเลยต่างหาก!”
“นั่นเป็นเพราะเจ้ามันโง่ไง” ลู่หยุนชี้ไปที่ขุนนางวารีนภา “เจ้าไปที่หุบเขานั่นซะ ห้ามพูด ห้ามหมุนตัวกลับมา ห้ามหยุดจนกว่าแกจะไปถึงที่นั่น”
ขุนนางจากวารีนภาผู้เป็นเป้าหมายในการชี้ได้แต่กัดฟันแน่น ในตอนนี้เขาต้องการฆ่าลู่หยุนใจจะขาด อย่างไรก็ตามฉิงหงเฉินส่ายหัวให้กับความคิดนี้
“ทำไมเจ้าไม่ไปด้วยตัวเองล่ะ?” ท่าทีของขุนนางเปลี่ยนไป “เจ้ากำลังพยายามให้ข้าไปตายเพื่อให้ได้คู่หมั้นของข้าใช่ไหมล่ะ?”
โม่วยี่ขบริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร
“โอ้ แย่งคู่หมั้น? น่าสนใจดีนี่” ฉิงหงเฉินบอกได้เลยว่าขุนนางคนนั้นแค้นลู่หยุนมาก แต่เชสก็ไม่คิดว่าลู่หยุนจะเป็นคนเจ้าเสน่ห์แบบนั้นหรอก
“โฮ่? แย่งคู่หมั้นงั้นเหรอ?” ลู่หยุนเองก็ยิ้มออกมาบาง ๆ “นายอำเภอจัดงานแต่งงานให้เจ้า ถ้าเขาสามารถแต่งงานกับเจ้าเมืองวารีทมิฬ ถ้างั้นในฐานะของเจ้าเมืองสนธยา ข้าก็มีอำนาจในการยกเลิกมันเช่นกัน”
“เจ้า!” ขุนนางจากเมืองวารีนภาเริ่มโวยวาย “เจ้ากับข้าจะเป็นศัตรูกันไปตลอดชาติ เจ้ากล้าแย่งนางไปจากข้า! เจ้ามีเวลาอีกแค่ครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีอำนาจอะไรทั้งสิ้น!”
ลู่หยุนหันไปหาหลี่ยูวไฉด้วยรอยยิ้ม “หลี่ยูวไฉบอกเขาซิ ว่าข้ามีสิทธิ์อะไรบ้าง”
นายอำเภอร่างอ้วนได้แต่นิ่งเงียบ ลู่หยุนหมั้นหมูตัวผู้ให้เขา! แม้แต่ตอนนี้เอง เจ้าหมูนั่นก็ยังมีอยู่ในตำหนักของเขา
“ก็ได้ ถ้าแกอยากให้ข้าไป งั้นข้าก็จะไปให้” ลู่หยุนไม่ต้องการเสียลมหายใจเถียงกับเจ้าเมืองขี้โวยวายคนนี้
มันน่าหัวเราะสำหรับหลี่ยูวไฉ ที่จัดการให้หมั้นโม่วยี่หมั่นกับบขุนนางคนนี้ อย่างไรก็ตามหญิงสาวเองก็ขัดขืนไม่ได้ แม้ว่านางจะเป็นระดับเซียนสูงส่งก็ตาม อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น
แต่ไม่ว่าความจริงจะซับซ้อนเพียงใด ทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขตราบใดที่ขุนนางวารีนภาและหลี่ยูวไฉตายมันเสียตรงนี้
“ไม่ ไม่ใช่เจ้า!” ฉิงหงเฉินรีบออกไป ลู่หยุนดูเหมือนจะรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดีเพราะงั้นจะปล่อยให้ไปไม่ได้ อีกอย่าง ถ้าเขาไปก็เท่าว่าเขาหนีจากการควบคุมของฉิงหงเฉินด้วย ดังนั้นชายหนุ่มจึงชี้ไปที่เก้อหลง “เจ้าเป็นคนไปซะ”
“มีอะไรที่ข้าต้องระวังไหมนายท่าน?” เก้อหลงมองลู่หยุนด้วยสีหน้าน่าสมเพช
“เอ่อ…” ลู่หยุนเกาหัว “ อย่ากินมากเกินไปก็แล้วกัน”
“น้อมรับบัญชา” เก้อหลงตอบกลับแล้วรีบไปยังหุบเขา
“อย่ากินมากไปงั้นเหรอ?” พี่น้องฉิงถึงกับสับสนทันทีที่ได้ยินลู่หยุนพูด
“ฮะ! ข้าคิดไว้แล้วว่าที่นี่จะต้องมีอะไรหลอกหลอนอยู่ แต่มันกลับกลายเป็นอาหารอันโอชะเสียได้ ไปเลยหัวบินของข้า!” เก้อหลงตะโกนออกมาจากตำแหน่งของเขาในทิศตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ท่าทางที่ดูหวาดกลัวของทุกคน ชายชราจัดแจงถอดหัวของเขาเองแล้วเหวี่ยงมันออกไปสุดแรง
“เขา – เขาเป็นคนหรือเป็นผีเนี่ย?” หลี่ยูวไฉโพล่งออกมาด้วยความตกใจพร้อมขยี้ตาตัวเองอย่างแรง
ลู่หยุนตีไปที่หน้าผากของเขา ตาแก่นี่ดูเหมือนจะสูญเสียการควบคุมเหมือนม้าที่บ้าคลั่งจนบังเหียนขาดเสียแล้ว เมื่อเขาเห็นอะไรก็ตามที่น่ากินเขาก็จะอยากกินไปหมด
“ผี … ” ฉิงฮั่นพึมพำ
“จริงๆแล้วนั่นไม่ใช่หัวของเขา” ลู่หยุนพูดอย่างจริงจัง “ นั่นเป็นสมบัติของเขาที่ดูเหมือนหัวน่ะ… อืม? โม่วยี่ เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ? ทำไมจับหัวของข้าไว้ล่ะ?”
เจ้าเมืองหนุ่มดึงมือที่ละเอียดอ่อนของโม่วยี่ออกจากหัวและหวีผมที่ยุ่งเหยิงของเขา หญิงสาวทดลองจับผมของลู่หยุนแล้วดึงขึ้นด้านบนเพื่อตรวจสอบว่าหัวของเขาถอดออกได้เช่นกันหรือไม่
“เยี่ยม” โม่วยี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เจ้ายังเป็นมนุษย์”
“แน่นอนสิ” ลู่หยุนทำเสียงหงุดหงิดรำคาญ
หึ่ม
การสั่นสะเทือนที่รุนแรงมาจากระยะไกลตามด้วยเสียงเชียร์ดีใจของเก้อหลง “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ! นายท่าน ข้าคนนี้เข้าสู่ระดับแกนกลางแล้ว! โอ้? มีของที่อร่อยกว่าโผล่มาอีกแล้ว! แกหนีข้าไม่พ้นหรอก!”
เสียงโห่ร้องดีใจของเขาดังขึ้น จนเกือบจะลืมคำสั่งของลู่หยุนไปแล้ว
ชายหนุ่มล้างคอของเขาก่อนจะพูดออกมา “ทีนี้ตาแก่นั่นก็ฝึกใช้วิชาหัวบินจนสำเร็จเซียนแล้วสินะ เขาน่าจะใช้หัวนั่นกินพลังหยินไปจนหมด นี่แหละคือเทคนิคพิเศษของโลกเซียน”
ชายหนุ่มหันไปหาฉิงหงเฉินด้วย ‘ความจริงใจ’ ที่ยิ่งใหญ่ “แน่นอนว่าเจ้าต้องเคยได้ยินมันมาก่อนสินะ นายน้อยห้า?”
“หืม?” หลังจากหยุดพูดชั่วคราวฉิงหงเฉินก็กะพริบตาและหัวเราะออกมา “ แน่นอน แน่นอน ข้าเคยอ่านมันมาในตำราประวัติศาสตร์ มันมีวิชานั้นอยู่ในโลกของเราจริง ๆ” ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงและไม่อาจทนโกหกต่อไปได้อีก
ฉิงฮั่นที่เห็นแบบนั้นก็ทำท่าทีเย้ยหยันออกมา
“เอาล่ะสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือค่ายกลมันถูกข้ารับใช้ของข้าล่อลวงไปแล้ว ตอนนี้พวกเราสามารถไปยังหุบเขาได้ จำไว้ด้วยว่า ห้ามพูด ห้ามหยุด และห้ามลืมตา” ลู่หยุนเดินออกไปโดยไม่ให้เวลากับคนอื่น ๆ “ไปกันเถอะ”