เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 15 ค่ายกลมังกรทอง
บทที่ 15 ค่ายกลมังกรทอง
“ข้ารวยแล้ว! ข้ารวยแล้ว! 1 แสน 5 หมื่น ศิลาวิญญาณสำหรับขนมน่ากินทั้งสองนางนี่! ใครจะไปคิดล่ะว่าข้าจะทำให้ตัวเองเป็นเศรษฐีได้เพียงชั่วข้ามคืน แบบนี้ต่อให้ข้าหลุดจากตำแหน่งราชเลขาไป ข้าก็ยังมีกินมีใช้ตลอดชีวิต!” ราชเลขาเซียพึมพำกับตัวเองพร้อมลูบนิ้วไปด้วย
“เอ๋? แล้วท่านจะมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ ท่านเจ้าเมือง? ท่านควรจะหลีกไปทันทีทันได้แล้วนะ ในฐานะของลูกน้อง ข้าไม่อาจแตะต้องท่านได้หรอก โอ้ ไม่ ไม่ ไม่ นี่มันเสียมารยาทเกินไปแล้ว ข้าน่ะเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ที่มีผู้ฝึกฝนมากมาย ดังนั้นข้าจึงไม่อาจทำอะไรที่มิบังอาจบังควรได้”
ราชเลขาแก่คนนี้ไม่สามารถควบคุมความพึงพอใจของตนเองได้อีกต่อไป “แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าใครจะมิอาจทำได้ นายท่าน ท่านรู้ไหมว่าเขาผู้นี้เป็นใคร? นี่คือตาแก่จาก กลุ่มขันธ์ มันจะดีไม่น้อยเลยถ้าหากเขาได้ทำร้ายท่าน” *1*
“ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะไปซื้อฐานหินงั้นเหรอ?” ลู่หยุนถามอย่างเย็นชา
“หึ หึ หึ ข้ากำลังจะออกจากที่นี่ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ทำไมข้าจะต้องซื้อมันมาด้วยล่ะ?” เซียหลางหัวเราะออกมา
“เป้าหมายหลักของข้าคือการรวบรวมศิลาวิญญาณเพื่ออนาคตของข้าเอง แน่นอนอยู่แล้วล่ะ! ในเมื่อนี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ดังนั้นนายท่านก็ไม่ควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยว”
‘ตาแก่’ ที่ถูกพูดถึงนั้นไม่ได้สนใจในการสนทนานี้สักเท่าไหร่ ดวงตาของเขามองไปยังยู่อิง
“ว่านเฟิงมีรากพลังสวรรค์อยู่ แต่อีกนางนึงกลับมีถึงระดับเซียน! รากพลังเซียนสามารถเข้าสู่ระดับเซียนทองคำได้ อย่างน้อยที่สุดหากข้าใช้นางเป็นตัวแทนและเอารากนั้นมาใช้กับตัวข้าเอง ข้าก็จะกลายเป็นระดับเซียนได้หรือไม่?” ชายแก่มองความเป็นไปได้
ราชเลขาเซียเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่ได้ยิน “นั่นไม่ใช่ที่เราตกลงกันไว้ตาแก่! ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าจะต้องเสียเพิ่มเป็น 2 พันศิลาวิเศษ!” เขารีบพูดต่อ “แถมว่านเฟิงอีก รวมเป็น 3 แสน!”
“นั่นเล็กน้อยมาก มันยังคงอยู่ในการคำนวณของข้า เอาล่ะ 3 แสนก็แล้วกัน” ตาแก่พยักหน้าตกลงเสร็จสรรพ
“ช้าก่อน!” ลู่หยุนเปล่งเสียงดังในระดับต่ำ “ใครให้สิทธิ์เจ้าในการขายคนของข้ากันท่านราชเลขาเซียหลาง?”
“เจ้าเมืองคนก่อนไงเล่า” ราชเลขายิ้ม “ก่อนที่เขาคนนั้นจะจากไป ข้าได้แนะนำให้เขาบอกกับข้าให้ดูแลนายท่านก่อนจะมีอายุ 16 ปี ว่านเฟิงและนางที่อยู่กับนายท่านเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลลู่ จริงหรือไม่? ดังนั้นข้าจึงสามารถขายพวกนางได้”
ว่านเฟิงหน้าซีด หัวใจของหญิงสาวเต็มไปด้วยความกลัว นี่ไม่ใช่ราชเลขาผู้อ่อนโยนอย่างที่เคยเป็น!
“ข้ายังอายุไม่ถึง 16 อีกเหรอ?” ลู่หยุนขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าพ่อที่ตายไปของเขาได้ไว้วางใจผิดคนเสียแล้ว “ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งรีบคิดไปไกลเลยว่านเฟิง”
“รับทราบเจ้าค่ะ” ว่านเฟิงกัดริมฝีปากของนาง และพยักหน้าอย่างเด่นชัด
“หุหุ ข้าเองก็แค่พูดเช่นเดียวกับพ่อของท่าน เขาพาว่านเฟิงมาให้เพื่อที่จะเป็นภาชนะของท่าน! รากพลังของนางมีความหมายกับสายเลือดต้องสาปเช่นท่าน น่าเสียดายที่ไม่อาจทำมันได้ เพราะมันคงไม่ได้ผลกับท่านแน่ ๆ” เซียหลางพยายามเสแสร้งสุดชีวิตด้วยรอยยิ้มน่าเกลียด
ว่านเฟิงลดหัวของนางลง หญิงสาวแทบจะตัวซีดแล้วในตอนนี้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากความก็ได้มีฝ่ามือใหญ่จับไปที่ตัวของนาง มันอุ่นเสียจนทำให้หญิงซึ่งกำลังตัวสั่นเทาอยู่ผ่อนคลายลง
“เอาล่ะ หยุดพูดกันได้แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าจะพูดแทนเจ้าเมืองหนุ่มคนนี้ไม่ได้ทั้งหมดสินะ แต่มันก็ไม่เป็นอะไรหรอก ข้าจะพานางทั้งสองไปด้วยกันเนี่ยแหละ คนของข้าจะมาพร้อมกับศิลาในวันหลังก็แล้วกัน” ตาแก่เริ่มทนไม่ไหว มีเถาวัลย์จำนวนมากพุ่งเข้ามารัดว่านเฟิงกับยู่อิงเอาไว้
“ต้นไม้วิญญาณจากกลุ่มขันธ์ที่เคยสร้างปัญหาในเมืองหลวงสนธยางั้นเหรอ? เจ้ากล้าดียังไง!” ใบหน้าของยู่อิงเต็มไปด้วยความรู้สึกอันตราย
หญิงสาวลอยขึ้นไปบนอากาศ เสื้อสีขาวของนางสะบัดไปตามแรงลม ดาบ 7 เล่มพุ่งเข้าตัดเถาทั้งหมดเป็นชิ้น ๆ จากนั้นหญิงสาวก็ชี้นิ้วไปยังตาแก่พร้อมด้วยแสงสีเขียว
“ระดับแก่นดั้งเดิม!” ดวงตาของตาแก่เริ่มซีดเซียว ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นพึงพอใจ “อย่างนี้นี่เอง! เยี่ยมไปเลย หากข้าพรากความบริสุทธิ์จากเจ้าได้ ข้าจะต้องไปถึงระดับจิตวิญญาณเป็นแน่!”
ชายแก่ไม่ได้หมายความถึงตัวเอง แต่เขาพูดถึงเถาวัลย์พันปีเหล่านี้ต่างหาก
เพี้ยะ เพี้ยะ!
ร่างของตาแก่เริ่มแปรเปลี่ยน ผิวของเขาแห้งขึ้นจนกลายเป็นเปลือกไม้หนา เพียงชั่วพริบตาเขาก็กลายเป็นต้นไม้ยักษ์สูงกว่า 30 เมตร และยิ่งโตขึ้นไปอีก
แกร่ก แกร่ก แกร่ก!
ดาบของยู่อิงตัดกิ่งไม้สักสองสามกิ่งออกไป แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ! ยอมแพ้เสียเถิดเด็กน้อย! ไม่มีใครที่อยู่ในระดับเดียวกันจะสามารถทะลวงการป้องกันของต้นไม้วิญญาณได้หรอก” เสียงของตาแก่เริ่มแห้งเป็นเหมือนต้นไม้ เขาไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว
แต่ถึงกระนั้นเขาก็เป็นถึงผู้ฝึกฝนระดับแก่นดั้งเดิม
เท้าของตาแก่เจาะทะลวงไปยังพื้นหินเบื้องล่างของสวนหย่อมเพื่อปลูกตัวเองลงไปยังดินเบื้องล่าง ในตอนนี้ต้นไม้ยักษ์ไม่มีสิ่งที่เหมือนตาแก่นั่นเลยแม้แต่น้อย ใบไม้ของมันปกคลุมไปครึ่งตำหนักและดูเหมือนจะมีใบหน้ามนุษย์ปรากฏขึ้นบนเปลือกไม้
“เจ้านี่เอง เจ้าปีศาจเฒ่า! ข้าไม่อาจทำอะไรได้เมื่อเจ้ากลับไปยังกลุ่มขันธ์เมื่อ 2 พันปีก่อน แต่ตอนนี้เจ้ากลับปรากฏตัวออกมาแล้ว!”
ระหว่างทางกลับไปที่เมือง ยู่อิงก็กำลังคิดอยู่แล้วว่านี่ก็ผ่านมา 2 พันปีแล้วหลังจากที่นางถูกซุ่มโจมตี และในวันนี้เมื่อได้เจอกับเจ้าปีศาจตรงหน้า ดวงไฟสีเขียวก็พลันลุกโชนในดวงตา
ตู้ม! ยู่อิงกระแทกร่างของนางเข้าใส่ต้นไม้นี่เพื่อแลกหมัดกับศัตรูเก่าของตน
“เจ้าเป็นใคร!” ต้นไม้แก่พูดด้วยความตะลึง
‘ช่างโชคร้ายยิ่ง! ข้าไม่คิดว่าไอ้เด็กบัดซบนี่จะพาตัวนางนี่ที่มีแก่นดั้งเดิมกลับมาด้วย ต้องขอบคุณที่ยังมีเจ้าต้นไม้นี่อยู่ ไม่งั้นข้าน่าจะตายไปแล้ว! เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าของเซียหลาง ถึงข้าจะเป็นระดับแก่นทองคำ แต่ข้าก็ไม่อาจเข้าร่วมการต่อสู้ของพวกระดับแก่นดั้งเดิมสองคนได้หรอก! แบบนี้ข้าคงต้องซ่อนตัวจนกว่าตาแก่นั่นจะจัดการจนนางจนหมดสภาพ’
‘แต่ก่อนหน้านั้นข้าควรจะพาว่านเฟิงหนีไปด้วยตัวเอง ด้วยพลังของนาง ที่ข้าสอนไปแค่วิชาต่อสู้ระดับพื้น ๆ ให้เท่านั้น ฮ่าๆๆๆ นางไม่รู้กระทั่งวิธีการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ’ เมื่อคิดได้ดังนั้นราชเลขาเซียจึงเดินเข้าไปหาลู่หยุนและเหยื่อของเขา
“ยังไงเสียนายท่านก็จะต้องตายในอีก 6 เดือนอยู่ดี นายท่านที่ยอดเยี่ยมของข้า ทำไมไม่ตอบแทนข้าหน่อยล่ะ? ข้ารับใช้ตระกูลท่านมาหลายร้อยปีแล้วถูกหรือไม่?” เขาหยุดลงตรงหน้าทั้งสองคน “3 แสนศิลาวิเศษก็มีค่ามากพอให้ข้าเกษียณได้แล้ว”
สีหน้าของว่านเฟิงเปลี่ยนไปทันที สาวใช้ตัวน้อยยืนอยู่ระหว่างลู่หยุนและราชเลขาเซีย ดาบของนางถูกชักออกมา
“ชิ เจ้าโตขึ้นมาก! เจ้ากล้าที่จะชักอาวุธขึ้นต่อกรกับข้าแล้วงั้นเหรอ หา? โอ้ นั่นมันอาวุธวิญญาณใช่ไหม?“ เซียหลางตาโตด้วยความโลภ “โฮ่ๆ ข้าจะต้องเอามันไปด้วย นี่น่าจะมีค่าไม่น้อยเลยทีเดียว!”
“เจ้ามาถึงทางตันแล้วเซียหลาง” ลู่หยุนตบบ่าว่านเฟิงอย่างมั่นใจ มันถึงเวลาที่เขาจะผลักดันสาวรับใช้คนนี้เสียที “ชีวิตของเจ้าไม่มีค่าให้อยู่ต่อแล้ว ต่อให้องค์จักรพรรดิจะเข้ามาห้ามก็ตาม”
ในสุสานนั่น ว่านเฟิงได้ปกป้องเขาต่อให้นางจะหวาดกลัวมากแค่ไหนก็ตาม และแม้ว่านางจะทำได้ไม่ค่อยดีนัก แต่หญิงสาวก็ยังคงฝืนตัวเอง และพยามใช้ ‘สัมผัส’ ของนามจนกว่าพวกเขาจะปลอดภัย
ลู่หยุนจะสามารถปฏิบัติกับสาวใช้ของเขาแย่ ๆ แบบนั้นได้อย่างไร? เมื่อคิดถึงทั้งหมดแล้ว สำหรับเซียหลางที่คิดจะขายนาง… เมื่อคิดดังนั้นแล้วดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความอาฆาต
“เจ้าคิดว่าตำแหน่งเจ้าเมืองมีความสำคัญมากสินะ เจ้าต้องการความช่วยเหลือไหมล่ะ? เจ้าคิดว่าจะมีคนขานรับคำสั่งของเจ้าเหรอ? เจ้ากำลังจะกลายเป็นหมาข้างถนนในอีกไม่นานแล้ว!” เซียหลางสบถ “ ข้าตัดสินใจจะทิ้งตระกูลลู่ ต่อไปนี้ข้าไม่ใช่ลูกน้องของเจ้าอีกต่อไป ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีก ตายซะ!”
ท่าทีของเขาดุร้ายขึ้น ก่อนที่ชายแก่จะเอื้อมมือฝ่ามือออกไปตะปบเข้าใส่ลู่หยุน
“หลบไป!” ลู่หยุนพาว่านเฟิงที่ตื่นตระหนกมาอยู่ข้างหลังเขา ก่อนที่จะยื่นมือออกไปข้างหน้า ทันใดนั้นมังกรสีดำ 9 ตัวปรากฏขึ้นมารอบ
โครม!
ฝ่ามือของเซียหลางสัมผัสกับร่างของลู่หยุน มังกรสีดำสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะกระแทกส่งราชเลขาแก่เสียจนกระเด็นลอยออกไป
“เป็นไปได้ยังไงกัน?!” ดวงตาของเซียหลางเบิกกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ ลู่หยุนใช้วิชาต่อสู้ได้!
เด็กชายที่มีสายเลือดที่ซ่อนเร้นซึ่งขัดขวางเขาจากการฝึกฝน สามารถใช้พลังที่เขาไม่สามารถเข้าถึงได้ นี่มันบ้าอะไรกัน!
พลังอันแข็งแกร่งทำให้เซียหลางไม่สามารถต้านทานได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ชายแก่กระเด็นลอยออกไป ในขณะที่ลู่หยุนยืนนิ่งอยู่กับที่ รอบ ๆ ปรากฏเงาที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับโล่คอยปกป้องเจ้านายของมันเอง
“ไอ้สารเลว! เจ้ากลายเป็นผู้ฝึกฝนตอนไหนกัน แถมเจ้ายังมีวิชาการต่อสู้ด้วย!” เซียหลางพาตัวเองขึ้นมาจากพื้นดินด้วยแรงอาฆาตแค้น
‘ข้าจะกลับมาใหม่หลังที่ตาแก่นั่นจัดการผู้หญิงคนนั้น!’ เมื่อคิดแบบนี้ เขาก็รีบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต แสงสีเหลืองหม่นลุกติดจากดาบใต้ฝ่าเท้าของเขาและพุ่งออกไปยังชานเมือง
“เจ้าจะหนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นแหละ!” ลู่หยุนพูด และทันใดนั้นมือของเขาก็มีตราประหลาดปรากฏขึ้น เจ้าตรานั่นได้สร้างฝูงมังกรสีทองจำนวนมากออกมาจากนิ้วของเขา
ตู้ม!
เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอย่างฉับพลันทั่วทั้งตำหนัก มังกรทองเก้าตัวลุกขึ้นจากพื้นดินของตำหนักนี้ก่อนจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าล้อมรอบใจกลางของมัน
“ค่ายกลมังกรทอง! ใครเป็นคนใช้มันกัน?” พวกผู้ฝึกตนที่ถูกทหารทมิฬจับตัวไปหวาดผวากับมังกรทองตัวนี้
“ลู่หยุน! เขาแน่ๆ! คนบ้าแบบเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่?!” พวกตระกูลเก้อตกอยู่ในความตะลึง
ค่ายกลมังกรทองไม่เพียงแต่ถูกใช้เพื่อปกป้องตำหนักเจ้าเมืองเท่านั้น หากแต่มันยังมีระดับครอบคลุมไปทั้งเมืองด้วย พูดอีกนัยนึงก็คือใครก็ตามที่อยู่ภายใต้ตัวมังกรทองตัวนี้ แม้แต่ตระกูลเก้อเอง ก็ยังสามารถถูกทำลายจนย่อยยับได้ถ้าลู่หยุนต้องการ
“ข้าประมาณเจ้าเด็กนี่ต่ำไป มันเก่งและเด็ดขาดกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะ” เมื่อกลับถึงบ้าน เฟิงลี่ก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความเกรงกลัวอย่างมากกับมังกรเก้าตัวบนท้องฟ้า “เขาใช้อาวุธสำคัญของทั้งเขตสนธยาแล้วใช่ไหม? ข้าว่านี่มันก็ออกจะเกินไปหน่อย”
เขาพูดถึงค่ายกลมังกรทอง และ กองทหารทมิฬทางทิศเหนือ ที่ปรากฏตัวขึ้นในค่ำคืนนี้
“ค่ายกลมังกรทอง! เจ้ากำลังพยายามจะฆ่าข้าสินะ เจ้าเด็กน้อย!” คำพูดสุดท้ายของเซียหลางถูกพ่นออกมาด้วยความสั่นเทาก่อนที่มังกรตัวหนึ่งจะกลืนกินเขาจนกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อ
“หลบไป ยู่อิง!” เลือดไหลออกจากปากของลู่หยุน พลังของมังกรทองมันเกินกว่าที่ร่างกายของเขาจะรับไหว ถ้าไม่มีคัมภีร์เป็นตายและมังกรดำแบกโลงนั่นที่ช่วยไว้ ป่านี้ชายหนุ่มน่าจะไม่เหลือพลังชีวิตแล้ว
“ตายซะ!” ลู่หยุนคำรามแล้วตวัดแขนลงมา
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
ทันใดนั้นเงาขนาดมหึมาของมังกรเก้าตัวก็พลันกระแทกเข้ากับปีศาจต้นไม้ยักษ์ที่กลางสวนหย่อมในทันที
…………………………………
*1 กลุ่มขันธ์ คำนี้ต้นฉบับอังกฤษใช้คำว่า Skandhas ซึ่ง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแปลว่ายังไงดี คือถ้าไปหากูเกิ้ลจะได้เป็นคำว่า ขันธ์ 5 ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธนั่นแหละ*