เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 2030 ความแตกแยกในกลุ่มบรรพบุรุษ
ตอนที่ 2,030 ความแตกแยกในกลุ่มบรรพบุรุษ
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปว่า “ว่าแต่ว่าท่านพ่อตาเดิมทีก็มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องอยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวด้วยการเลื่อนขั้นพลังด้วยขอรับ?”
ริมฝีปากของจักรพรรดิหลิงจิวกระตุกทันที
มีผู้ใดบ้างอยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว?
แต่ในเมื่อพระองค์ทรงพอจะทราบอยู่แล้วว่าหลินเป่ยเฉินมีความผิดปกติทางสมอง พระองค์จึงไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเขาสักเท่าไหร่
“ขอบเขตพลังที่ข้าตั้งใจจะเลื่อนขึ้นไปนั้นไม่ใช่ขอบเขตพลังทั่วไป แต่มันเป็นขอบเขตพลังที่เรียกว่าขอบเขตจอมเทพบรรพบุรุษ ซึ่งอยู่เหนือกว่าขอบเขตจอมเทพอสงไขย แม้ว่าปัจจุบันนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์จะยังครอบครองความยิ่งใหญ่อยู่เหนือเผ่าพันธุ์อสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจ… แต่ข้าสามารถคาดเดาได้ว่าอีกไม่นานเผ่าพันธุ์มนุษย์จะพบกับภาวะวิกฤตใหญ่ และมีเพียงผู้บรรลุขอบเขตจอมเทพบรรพบุรุษเท่านั้น จึงจะสามารถเปิดวิหารบรรพบุรุษได้อีกครั้ง”
“นี่เป็นทางเลือกเดียวสำหรับข้า หากข้าไม่ทำเช่นนี้ ก็มีแต่ต้องหวังให้ผู้สืบสายเลือดของยี่สิบสี่บรรพบุรุษปรากฏตัวขึ้นมาเท่านั้น แต่น่าเสียดาย… ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถเปิดวิหารบรรพบุรุษได้อีกเลย”
องค์จักรพรรดิหลิงจิวกล่าวช้า ๆ
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
ตอนที่กงซานอิ๋งเฉวี่ยนพยายามเลื่อนขั้นพลังจนได้รับบาดเจ็บก็คงเป็นเพราะเหตุผลนี้เช่นกัน
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่ากงซานอิ๋งเฉวี่ยนมีขั้นพลังต่ำกว่าองค์จักรพรรดิหลิงจิวด้วยซ้ำ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว ผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยาย่อมมีความแข็งแกร่งน้อยกว่าผู้ใช้สายเลือดผู้แปรธาตุ ดังนั้นการที่กงซานอิ๋งเฉวี่ยนพยายามเลื่อนขั้นพลังจึงมีโอกาสสำเร็จได้น้อยมาก
อย่างน้อยจากคำบอกเล่าขององค์จักรพรรดิหลิงจิวก็บอกชัดเจนว่า บรรดาคนใหญ่คนโตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็รับรู้เช่นกันว่าอีกไม่นานเผ่าพันธุ์ของตนเองกำลังจะต้องพบกับวิกฤตครั้งใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามคิดหาวิธีป้องกันที่ดีที่สุด ไม่ได้นิ่งนอนใจเหมือนที่เคยผ่าน ๆ มา
“มีแต่ต้องบรรลุขั้นจอมเทพบรรพบุรุษหรือพ่ะย่ะค่ะถึงจะช่วยเหลือมวลมนุษย์ได้?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
องค์ชายหลิงจิวพยักหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนถูกบรรจุอยู่ในวิหารแห่งบรรพบุรุษ ความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกทั้งยี่สิบสี่ท่านคือเหตุผลที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์กลายเป็นอันดับหนึ่งในเส้นทางดาราจักร หากพวกเราอยากจะรักษาความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สืบทอดต่อไป พวกเราก็ต้องหาทางสร้างตัวแทนยี่สิบสี่บรรพบุรุษขึ้นมาใหม่ให้ได้”
“สิ่งที่กระหม่อมสงสัยอยู่ตรงนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเป่ยเฉินอดไม่ได้ต้องถามออกไปว่า “เหตุใดบรรพบุรุษผู้บุกเบิกทั้งยี่สิบสี่ท่านจึงได้หายตัวไปหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อสร้างความยิ่งใหญ่ในเส้นทางดาราจักร หากว่ากันด้วยเหตุผลและความน่าจะเป็น บรรพบุรุษผู้บุกเบิกทั้งยี่สิบสี่สายเลือดนั้นสมควรแสดงตัวให้ยิ่งใหญ่ มิใช่เร้นกายหายสาบสูญไปเช่นนี้
องค์จักรพรรดิหลิงจิวถอนหายใจ ก่อนตอบว่า “ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตแน่ชัด แต่ดูเหมือนว่าในตอนนั้นในกลุ่มยี่สิบสี่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกได้เกิดการแตกแยก บางท่านหายสาบสูญ บางท่านตกตาย บางท่านเก็บตัวอยู่ในวิหารประจำสายเลือดโดยไม่เคยปรากฏตัวออกมาอีกเลย และไม่มีผู้ใดทราบว่าวิหารนั้นอยู่ที่ใด…”
หลินเป่ยเฉินได้ยินคำตอบก็เกือบจะอุทานคำหยาบออกมา
แม้แต่กลุ่มบรรพบุรุษผู้บุกเบิกก็ยังมีความขัดแย้งภายในกันด้วยหรือนี่?
มนุษย์เรานี่ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีกันเลยจริง ๆ
ดูอย่างบรรพบุรุษผู้บุกเบิกพวกนี้สิ ขนาดมีความแข็งแกร่งไร้เทียมทานถึงเพียงนั้น สุดท้ายก็ยังมีเรื่องราวให้ขัดแย้งกันจนได้
และนี่ก็คือต้นตอของปัญหาที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องพบกับวิกฤตอันน่าเศร้า
บรรพบุรุษผู้บุกเบิกทั้งยี่สิบสี่คนหากไม่ตายก็ทยอยหายตัวไป
จนกระทั่งไม่เหลืออยู่เลยสักคนเดียว
“แล้วองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ไม่จัดการอันใดบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถามอีกครั้ง
องค์จักรพรรดิหลิงจิวส่ายศีรษะ ก่อนจะตอบว่า “คนธรรมดาอย่างข้าจะไปเดาความคิดของพระองค์ท่านได้อย่างไร”
ประเสริฐ
ตอบเช่นนี้ก็ไม่ต้องคุยอะไรกันต่อแล้วกระมัง?
องค์จักรพรรดิหลิงจิวกล่าวต่อไปว่า “คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในการประลองครั้งนี้ของเจ้าก็คืออสูรผลาญดาราต่วนซิง ว่ากันว่ามันผู้นี้สามารถกลืนกินดวงดาวหลายล้านดวงได้ในลมหายใจเดียว การดูดกลืนพลังของมันน่าสะพรึงกลัวมาก เจ้าต้องระวังเอาไว้ให้ดี แต่ด้วยความช่วยเหลือจากไข่มุกผูกชะตาที่ข้าให้เจ้าไปนั้น มันจะช่วยทำให้เจ้าหยุดยั้งการดูดพลังของต่วนซิงได้ในระยะหนึ่ง เจ้าก็จงใช้ช่วงเวลานั้นจัดการมันให้ได้ โปรดอย่าทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างพร้อมกับกล่าวว่า “กราบเรียนท่านพ่อตา หากท่านห่วงใยกระหม่อมถึงเพียงนี้ เหตุไฉนท่านไม่ส่งคนไปลอบสังหารต่วนซิงเลยล่ะขอรับ หากทำเช่นนั้นทุกอย่างก็จะจบลงอย่างมีความสุขแล้ว”
องค์จักรพรรดิหลิงจิวแทบพูดอะไรไม่ออก
“การประลองครั้งนี้มีผู้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก แม้แต่คนจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเดินทางมารับชมด้วยตนเอง การที่ข้ามอบไข่มุกผูกชะตาให้กับเจ้าก็ถือเป็นการละเมิดกฎแล้ว หากเรื่องราวนี้เล็ดลอดออกไปให้ผู้อื่นรับรู้ เจ้าคิดว่าตนเองจะมีภาพลักษณ์เป็นอย่างไรเล่า?”
องค์จักรพรรดิอธิบายด้วยความอดทน
หลินเป่ยเฉินยังคงยิ้มแย้มอย่างสบายใจ “ไม่เป็นไรขอรับ ท่านพ่อตา กระหม่อมทราบดี ท่านพ่อตาอย่าเพิ่งกริ้วเลย ลองเสวยโอสถเสริมธาตุฟ้าก่อนเถอะขอรับ ท่านสามารถส่งคนมาหากระหม่อมได้ทุกเมื่อ หากอยากจะเสวยอีกครั้ง”
องค์จักรพรรดิหลิงจิวหยุดชะงัก ก่อนจะโบกมือไล่เป็นสัญญาณให้หลิงเฉินส่งแขก
หลินเป่ยเฉินกับหลิงเฉินเดินออกมาจากห้องบรรทมของจักรพรรดิ
องค์จักรพรรดิหลิงจิวมองแผ่นหลังของเด็กทั้งสองพร้อมกับยิ้มกว้าง
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าตนเองมองข้ามบางอย่างไป
องค์จักรพรรดิหลิงจิวรู้สึกว่าตนเองหลงลืมบางอย่าง
เขาลืมอะไรไปนะ?
อ้อ จริงด้วยสิ
ไข่มุกผูกชะตาทั้งสามสิบหกเม็ด!
เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้หลินเป่ยเฉินทั้งหมด เมื่อสักครู่นี้ก็ลืมทวงกลับมาเสียสนิท
เมื่อองค์จักรพรรดิหลิงจิวเงยหน้ามองอีกที เขาก็พบว่าหลินเป่ยเฉินวิ่งหนีไปด้วยความรวดเร็ว พร้อมกันนั้นก็ยังได้ฉุดมือหลิงเฉินวิ่งตามไปด้วย ต่อให้อยากจะไล่ตามก็ไล่ตามไม่ทันอีกแล้ว…
บัดซบ พลาดท่าให้เจ้าหนุ่มนี่จนได้!
องค์จักรพรรดิรู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก
แต่บุตรสาวบุญธรรมของเขากำลังจะแต่งงาน ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น เพราะฉะนั้นองค์จักรพรรดิหลิงจิวจึงต้องอดทนต่อไป
…
ด้านนอกท้องพระโรง
หลินเป่ยเฉินมองซ้ายมองขวาเมื่อพบว่าไม่มีใคร ก็รีบจับมือหลิงเฉินมากุมด้วยความคิดถึงคะนึงหา
มือของนางยังคงอบอุ่นและมีกลิ่นหอมเช่นเคย
หลิงเฉินไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้เขาจับมือต่อไปขณะกำชับว่า “อสูรผลาญดาราต่วนซิงคงไม่ใช่ผู้ที่ท่านจะรับมือได้ง่าย ๆ ได้โปรดอย่าประมาทเด็ดขาดนะเจ้าคะ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “อย่าห่วงเลย ต่อให้ไม่มีไข่มุกผูกชะตาคอยช่วยเหลือ ข้าก็ยังสามารถสังหารมันได้ไม่ต่างจากสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง… นี่ เจ้าน่ะไปเตรียมตัวแต่งงานกับข้าให้ดีเถอะ”
แต่หลิงเฉินยังคงมองหน้าเขาด้วยความเป็นกังวล “ข้าบอกแล้วไงว่าท่านไม่ควรประมาท ยิ่งท่านมั่นใจมากเพียงใด ท่านก็อาจจะตกหลุมพรางของพวกมันได้มากเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินบีบมือของนางแนบแน่น แล้วตอบรับคำด้วยความเต็มใจ “ข้าจะไม่ประมาท เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย”
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือ
แต่เมื่อเขาจะพลิกฝ่ามือดูว่าเจ็บเพราะอะไร หลิงเฉินกลับบีบมือแน่น ไม่ยอมให้เขาเปิดฝ่ามือออกดู
หืม?
นางแอบส่งอะไรให้เขากันนะ?
หลินเป่ยเฉินนึกสงสัยอยู่ในใจว่าสิ่งที่อยู่ในมือตนเองนั้นคืออะไร
เขาจึงเก็บมันเข้าไปในพื้นที่ฝากไฟล์ของแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์เป็นการชั่วคราว
ก่อนที่จะแยกจากกัน หลินเป่ยเฉินกับหลิงเฉินก็ไม่ลืมที่จะสวมกอดกันอย่างอ่อนโยน
“ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”
หลิงเฉินกระซิบใส่ข้างหูเขา
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
แต่เมื่อเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หลิงเฉินก็หมุนตัววิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิเรียบร้อยแล้ว
หลินเป่ยเฉินทำได้เพียงตะโกนไล่หลังไปว่า “ข้าจะต้องแต่งงานกับเจ้าให้ได้”
แต่เมื่อชายหนุ่มหมุนตัวเดินจากมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที รอยยิ้มร่าเริงสลายหายไป สีหน้าของเขาเคร่งขรึมตึงเครียด
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
หลิงเฉินทำตัวผิดปกติ
นี่ไม่ใช่โรคสองวิญญาณกำเริบอย่างแน่นอน
แต่เหมือนนางพยายามบอกใบ้อะไรเขาบางอย่าง
นางพยายามจะบอกอะไรนะ?
เมื่อเดินกลับออกมาที่เฉลียงทางเดินด้านนอก หลินเป่ยเฉินก็พบว่าองค์ชายหลิงหวงฉีมายืนรออยู่ก่อนแล้ว
รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
“เห็นเจ้ายิ้มมีความสุขถึงเพียงนี้ คงมีเรื่องราวดี ๆ เกิดขึ้นแล้วใช่หรือไม่?”
องค์ชายหลิงหวงฉีหยอกเย้า
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างและตอบรับว่า “ใช่แล้วขอรับ นับว่าองค์จักรพรรดิมีสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก เมื่อพระองค์ทรงเห็นหน้าข้า พระองค์ก็รู้แล้วว่าข้าเกิดมาเพื่อเป็นราชบุตรเขย องค์จักรพรรดิถึงกับร่ำไห้ขอร้องให้ข้าแต่งงานกับเฉินเอ๋อร์ ข้าเองก็ขัดคำสั่งของพระองค์ไม่ได้ ข้าจึงต้องรับปากไปขอรับ”
เมื่อองค์ชายหลิงหวงฉีได้รับฟังคำตอบดังนั้น เขาก็ไม่สนใจหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป