เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 2028 เรียกตัวเข้าวังหลวง
ตอนที่ 2,028 เรียกตัวเข้าวังหลวง
“ฮ่า ๆๆ เป็นเพราะนายท่านคนเดียว พวกเราจึงร่ำรวยกันใหญ่โตแล้ว”
หวังจงยิ้มกริ่ม ใบหน้าเป็นประกายด้วยแสงสะท้อนจากกองทองคำ เครื่องเงินและอัญมณีอีกหลายชนิด
เซียวปิงก็ยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน “โชคดีนะที่ข้ารู้ว่าถึงอย่างไรพี่ใหญ่ก็ต้องชนะอยู่แล้ว ข้าจึงเดิมพันลงพี่ใหญ่หมดตัว ฮ่า ๆๆๆ แล้วดูสิ พวกเราได้ของมีค่าตอบแทนกลับมามหาศาลนัก”
“จี๊ด”
อากวงใส่สายโซ่ทองคำที่ลำคอ แขนขาก็ใส่กำไลทองคำเป็นประกายระยิบระยับ นิ้วมือแต่ละนิ้วก็มีแหวนทองคำสวมอยู่เช่นกัน
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจและกล่าวว่า “แต่ทำไมเราถึงได้เป็นเครื่องประดับกลับมาล่ะ บ่อนพนันควรจ่ายเป็นเงินตำลึงทองไม่ใช่หรือ?”
หวังจงอธิบายว่า “บ่าวได้ยินมาว่าครั้งนี้บ่อนพนันขาดทุนย่อยยับ ตำลึงเงินและตำลึงทองในคลังของพวกเขามีไม่พอจ่ายให้แก่ผู้แทงพนัน เพราะฉะนั้น ทางบ่อนพนันจึงนำเครื่องประดับที่ทางผู้แทงพนันนำมามอบให้กับพวกเขามาส่งมอบให้แก่พวกเราแทนขอรับ”
“โอ๊ะ ท่านพี่ มีข้อความเขียนอยู่ด้วยขอรับ”
เซียวปิงหยิบสร้อยทองคำเส้นหนึ่งขึ้นมาดูใกล้ ๆ และกล่าวว่า “มอบเป็นของขวัญให้แก่คุณชายอวี้เหวินซิวเซียน…”
“จี๊ด”
อากวงยกแหวนให้มือของมันขึ้นดูเช่นกัน “จี๊ด”
บนแหวนของมันก็มีข้อความสลักอยู่เช่นกัน
สลักเป็นชื่อของอวี้เหวินซิวเซียน
“นับว่าบ่อนพนันเอาใจใส่ยิ่งนัก” หวังจงกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ถึงกับเขียนชื่อมาให้เลยทีเดียว… เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อนนะ เป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง หากจะเขียนชื่อให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัล ทำไมพวกเขาไม่เขียนชื่อเราล่ะ ในเมื่อเครื่องประดับอัญมณีเหล่านี้เป็นของพวกเรานี่นา ทำไมบ่อนพนันถึงแกะสลักเป็นชื่อของนายน้อย?”
จังหวะนั้น องค์ชายหลิงหวงฉีเดินผ่านประตูรั้วเข้ามาพอดี เมื่อองค์ชายได้ยินสิ่งที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ เขาก็จ้องมองไปยังกองเครื่องประดับเงินทองเหล่านั้นด้วยสีหน้าที่เศร้าสลดยิ่งนัก
“อ้าว องค์ชายมาพอดี… อย่าเพิ่งไปสิขอรับ”
เมื่อหวังจงเห็นองค์ชายหลิงหวงฉีเดินเข้ามา เขาก็โบกมือทักทาย องค์ชายหลิงหวงฉีรีบหมุนตัวกำลังจะเดินกลับไป หวังจงจึงวิ่งตามไปคว้าแขนเอาไว้และกล่าวว่า “ข้าน้อยได้ยินมาว่าองค์ชายเดิมพันฝั่งราชันปริศนาไร้นามไปมากโขเลยนี่ขอรับ หุหุ องค์ชายดูซิว่าพวกข้าได้อะไรกลับมาบ้าง”
องค์ชายหลิงหวงฉีพยายามสะบัดมือของหวังจงออกไป แต่สะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่หลุด สุดท้ายจึงต้องเดินฝืนยิ้มกลับไปหาพวกของหลินเป่ยเฉิน
“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”
องค์ชายหลิงหวงฉีพยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มสุดชีวิต แต่ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด ใบหน้าของเขาจึงเหมือนคนที่กำลังร้องไห้
“ยังจะมีหน้ามายิ้มอีกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกด้วยความโกรธเคือง “ให้ตายเถอะ ไม่ให้กำลังใจกันไม่ว่า นี่ถึงกับไปเดิมพันฝั่งคู่ต่อสู้ของข้าอีก ท่านทรยศสหายร่วมปฏิวัติอย่างไม่น่าให้อภัยยิ่งนัก”
องค์ชายหลิงหวงฉีได้แต่กัดฟันกรอด
“หวังจง เอาสมบัติออกมาทั้งหมด ให้องค์ชายได้เห็นหน่อยว่าข้าได้อะไรกลับมาบ้าง”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ
หวังจงหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกระซิบว่า “นายน้อยขอรับ แต่สมบัติทั้งหมดเป็นของบ่าว เป็นของอากวง เป็นของเซียวปิงนะขอรับ มันไม่ใช่สมบัติของนายน้อยนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตอบหน้าตาเฉย “นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสักหน่อย ข้าเป็นคนชนะการประลอง เพราะฉะนั้น ของของพวกเจ้าก็คือของของข้า”
หวังจงรู้สึกเหมือนจะเป็นลม
องค์ชายหลิงหวงฉีสะดุ้งโหยง
หากนำสมบัติออกมาทั้งหมด ความจริงเรื่องที่เขาแอบนำสมบัติทั้งหมดไปแทงพนันก็อาจจะถูกเปิดโปงขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นองค์ชายหลิงหวงฉีจึงรีบห้ามปรามโดยเร็วว่า “ไม่ต้องยุ่งยากหรอก ข้ารู้ว่าพวกเจ้าร่ำรวยแล้ว… ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะมีคำสั่งเรียกตัวเจ้าให้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิในวังหลวง”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ขณะทวนคำซ้ำว่า “องค์จักรพรรดิ… องค์จักรพรรดิเรียกข้าเข้าเฝ้าด้วยเหตุอันใด?”
องค์ชายหลิงหวงฉีตอบว่า “เจ้าสามารถสังหารราชันปริศนาไร้นามได้สำเร็จ มันจึงเป็นการพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของเจ้า บัดนี้ ราชสำนักตั้งความหวังกับเจ้าเอาไว้ไม่น้อย ฝ่าบาทรู้สึกสนใจในตัวเจ้าและอยากจะพบเจอเจ้าขึ้นมาแล้ว”
“ฟังดูน่าจะเป็นเรื่องดีใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน
องค์ชายหลิงหวงฉีกล่าวว่า “ย่อมต้องเป็นเรื่องดี ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัส องค์หญิงไข่มุกขาวคอยดูแลอย่างใกล้ชิด อาการบาดเจ็บของพระองค์จึงดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่สิ่งที่ฝ่าบาททรงเป็นกังวลก็คือการประลองเลือกคู่ครองครั้งนี้ หากพระองค์ทรงเรียกตัวเจ้าเข้าพบ นั่นก็หมายความว่าพระองค์ทรงเชื่อมั่นในตัวเจ้าแล้ว”
“จริงหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด “งั้นเรายังรออะไรกันอีก? รีบไปกันสิขอรับ”
นี่แทบไม่ต่างจากการได้รับความช่วยเหลือจากกรรมการในการแข่งขันแล้ว
…
เมืองเหลียนจินฉู่
วังหลวง
พระราชวังเป็นอาคารที่ก่อสร้างด้วยโลหะชนิดพิเศษมีความสูงเทียมฟ้า
สีสันของตัวอาคารเป็นสีทองผสมเงิน พระราชวังแห่งนี้นับเป็นอาคารที่สูงเป็นอันดับสองรองลงมาจากวิหารแห่งผู้แปรธาตุ ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกอาคาร ไม่ว่าจะเป็นตามเส้นทางเดินน้อยใหญ่ ทุกสถานที่ล้วนมีเวรยามเฝ้ารักษาการอย่างแน่นหนา
ท้องพระโรงมีลักษณะเป็นห้องทองคำสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่
และภายใต้การนำทางขององค์ชายหลิงหวงฉี เมื่อผ่านการซักถามจากราชองครักษ์และจัดการปลดอาวุธออกจากร่างกายเรียบร้อยแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ได้เดินเข้าสู่ตำหนักขององค์จักรพรรดิหลิงจิวทันที
ในตำหนักขององค์จักรพรรดิหลิงจิวนั้นมีอุณหภูมิพอเหมาะพอเจาะ ไม่ร้อนมากเกินไปและไม่เย็นมากเกินไปเช่นกัน
ทางเดินปูด้วยทองคำล้ำค่าดูหรูหราและสวยงาม
เครื่องประดับตกแต่งทุกอย่างหากไม่ทำขึ้นมาจากเงินก็ต้องทำจากทองคำ
วัตถุเหล่านี้ต่างก็เป็นตัวแทนแห่งความร่ำรวย และในตำหนักที่พักขององค์จักรพรรดิหลิงจิว การตกแต่งเป็นไปอย่างหรูหราก็จริง แต่ก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความงดงามทางศิลปะ
องค์ชายหลิงหวงฉียืนรออยู่ด้านนอก
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปในห้องบรรทมเพียงลำพัง
สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือหลิงเฉินกำลังยืนอยู่ข้างเตียงนอนทองคำหลังใหญ่
นางสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีทองคำ ที่เอวผูกรัดด้วยเข็มขัดเงิน เรือนร่างยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสง่างาม คิ้วหนาตาโต ผมสีดำยาวสลวย บัดนี้ ความสง่างามของหลิงเฉินแทบไม่ต่างไปจากธิดาสวรรค์แล้ว
นางก้มหน้าต่ำ ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ต่อหลินเป่ยเฉินที่เดินเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า สายตาของนางยังคงจ้องมองไปยังคนที่นอนอยู่บนเตียงนอนด้วยความวิตกกังวล
บนเตียงนอนทองคำหลังใหญ่นั้น มีชายชราผมขาวหนวดขาวผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่
ชายชราผู้นี้มีใบหน้าเป็นสีขาวซีด ท่าทางเหนื่อยล้า ร่างกายแทบไร้พลังปราณ
อาการบาดเจ็บโดยรวมมีความคล้ายคลึงกับกงซานอิ๋งเฉวี่ยนอยู่หลายส่วน
องค์จักรพรรดิหลิงจิวนอนห่มผ้าคลุมทองคำ ดวงตาที่อ่อนโยนนั้นเบิกโต ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อเห็นหลินเป่ยเฉิน ชายชราพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงลุกขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงนอนหอบหายใจเท่านั้น
ให้ตายเถอะ นี่คือองค์จักรพรรดิหลิงจิวผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเกิงจินจริง ๆ หรือ?
“เจ้าคงเป็นบุรุษที่เฉินเอ๋อร์คิดถึงทุกวันทุกคืนสินะ”
องค์จักรพรรดิหลิงจิวจ้องมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า แววตาปรากฏความอิจฉาเล็กน้อย
ไม่มีผู้ใดเยาว์วัยตลอดกาล
ไม่มีผู้ใดเยาว์วัยตลอดไป
แม้แต่ราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งสายเลือดผู้แปรธาตุ ก็ยังมีวันเวลาแห่งความชราและร่วงโรย
โดยเฉพาะเมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส ฟื้นฟูก็ยิ่งยากลำบาก องค์จักรพรรดิจึงนึกอิจฉาคนหนุ่มยิ่งนัก
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
หลินเป่ยเฉินประสานมือคำนับเล็กน้อย
“หากเจ้าปรากฏตัวขึ้นมาเร็วกว่านี้ เฉินเอ๋อร์ก็คงไม่ต้องถูกบังคับให้จัดการประลองเลือกคู่ครองเช่นนี้หรอก” เสียงขององค์จักรพรรดิหลิงจิวแหบแห้งขณะกล่าวต่อไปว่า “เจ้ามันหล่อเหลามากเกินไป… ไม่ต้องคาดเดาข้าก็พอดูออก เจ้าคงเป็นที่หมายปองของสตรีไม่น้อยเลย”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสบายใจมากขึ้นจึงกล่าวว่า “กระหม่อมก็มิได้อยากคุยโวโอ้อวดหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ แต่ทุกวันนี้ สตรีทั่วอาณาจักรเกิงจินต่างก็ใฝ่ฝันที่จะได้หลับนอนกับกระหม่อม แต่กระหม่อมก็ปฏิเสธทุกคน เพราะกระหม่อมรักเฉินเอ๋อร์เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
องค์จักรพรรดิหลิงจิวไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ ออกมา