เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา - ตอนที่ 58
The Demon Prince goes to the Academy
ตอนที่ 58
หลังจากการฝึกฝนและการซ้อมอย่างหนักหน่วงของฉัน เอลเลนก็ทิ้งฉันไว้ตามลำพังและมุ่งความสนใจไปที่การฝึกฝนของเธอเอง ส่วนคลิฟฟ์แมนกลับบ้านแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่อยู่ที่โรงยิมในวันนี้
คลิฟฟ์แมน ผู้ชายที่ไม่รู้จักที่ฉันเจอที่โรงยิมค่อนข้างบ่อย
เมื่อเราพบกัน เขามักจะทักทายฉันเล็กน้อย แต่เราไม่ได้พูดคุยอะไรมาก มันถึงจุดที่ฉันสังเกตเห็นเมื่อเขาไม่อยู่ แต่เรายังไม่ได้คุยกันจริงๆ จังๆ
– ฮึบ!
เอลเลนยุ่งอยู่กับการฟันหุ่นไล่กาและฝึกฝนเทคนิคของเธอ จริงๆแล้วไม่มีเหตุผลที่เธอจะมาซ้อมกับฉันเลย การเป็นคู่ฝึกของหญิงสาวคนนี้ได้ต้องมีทักษะในระดับหนึ่ง สำหรับเธอ ฉันเป็นเพียงเด็กน้อยที่เพิ่งเริ่มต้น
ฉันทำอาหารเย็นต่อ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันมักจะลงเอยด้วยการทำอะไรมาเยอะเกินไปสำหรับตัวเอง ยังไงก็เถอะ ฉันเลิกเข้มงวดกับการทำอาหารแล้วหันมาสนใจวิชาดาบมากขึ้น เธอยังคงดูแลฉันแม้ว่าการดวลจะจบลงแล้วก็ตาม
มันไม่แปลกเหรอ?
ฉันแค่เขียนจดหมายฉบับนั้นเพื่อเอาคะแนน แล้วเธอก็ปฏิเสธฉันไปแล้ว ฉันอยากรู้จริงๆว่าเธอคิดยังไงกับฉันกันแน่นะ ตอนนี้เธออยู่ตรงหน้าฉันแล้ว
อันที่จริง ฉันเขียนจดหมายรักฉบับนั้นเพียงเพื่อจะให้โดนทิ้งและได้คะแนนความสำเร็จเท่านั้น
แต่หลังจากนั้น เราก็ลงเอยด้วยการกินข้าวเที่ยงด้วยกัน ฝึกดาบด้วยกัน แล้วก็กินข้าวเย็นด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม เอลเลนไม่ได้ทำตัวสนิทสนมกับฉันเป็นพิเศษ และฉันก็ไม่ได้ทำตัวใกล้ชิดกับเธอเป็นพิเศษด้วยเหมือนกัน
ถึงขนาดที่เธออาจจะเมินเฉยต่อฉันแม้ว่าเราจะบังเอิญเจอหน้ากันบนถนนก็ตาม
ไม่สิ แม้แต่เพื่อนร่วมชั้นที่เกลียดฉันอย่างอีริช, เคเยอร์ หรือแม้แต่แฮเรียต ก็ยังแสดงท่าทีไม่พอใจเมื่อพวกเขาเห็นฉัน แต่เธอกลับไม่แม้แต่จะมองมาที่ฉันเลย?
เราทานของว่างตอนดึกและของว่างตอนเช้าด้วยกันเกือบทุกวัน เราจะเจอกันทุกเช้าเมื่อเราฝึกซ้อมตอนเช้าและเรายังอยู่ที่โรงยิมหลังเลิกเรียนด้วย
แต่เราไม่ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวเลย
ดูเหมือนเราจะสนิทกัน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย
ถ้าเราพบกันข้างนอก ฉันพนันได้เลยว่าเธอจะต้องถามฉันว่าฉันเป็นใครแน่เลย
อย่างไรก็ตาม เธอพยายามที่จะเป็นตัวแทนของฉันในการดวล
เธอสงบนิ่ง…. ฉันไม่รู้อะไรเลย….
ฉันอ่านเธอไม่ค่อยออก….
เธอคงจะไม่ฆ่าฉัน ถ้าฉันถามเธอใช่มั้ย ฉันไม่ใช่ตัวละครหลักหัวทึบจากนิยายบางเรื่องและฉันไม่ได้คาดหวังอะไรแบบนั้นด้วย
ถ้าใครไม่รู้อะไรก็ควรถามสิ
ง่ายแค่นั้นเอง
“นี่”
“ว่า”
เอลเลนมองมาที่ฉัน
“เธอชอบฉันมั้น?”
“ไม่”
“โอเค”
มันไม่ได้เจ็บมากเพราะฉันคาดหวังให้เธอตอบแบบนั้น
ฉันไม่ได้สนใจมากขนาดนั้น
อย่างไรก็ตาม เอลเลนมีปฏิกิริยาแตกต่างไปจากครั้งก่อน เอลเลนมีสีหน้าเคร่งขรึม หันมาทางฉันแล้วถามฉัน
“นายชอบฉันมั้ย?”
“ไม่”
“อืม”
การที่เธอไม่พูดอะไรเช่น “นายเคยบอกชอบฉันเมื่อนานมาแล้ว” แสดงว่าเธอคงจะลืมเรื่องนั้นไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเราจะสนิทกันพอที่จะถามเรื่องเหล่านี้แบบสบายๆ
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะถามเรื่องนี้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ
“นี่”
“อะไร”
“แล้วเราเป็นเพื่อนกันรึเปล่า”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน เอลเลนก็หยุดกวัดแกว่งดาบของเธอและครุ่นคิดเงียบๆ
เธอใช้เวลาประมาณหนึ่งนาที
เอลเลนเปิดปากของเธออีกครั้งขณะที่เธอชี้ดาบไปที่หุ่นไล่กา
“ฉันคิดว่างั้นนะ”
นั่นคือคำตอบของเธอ
* * *
ดูเหมือนว่าเอลเลน อาร์โทเรียส เพิ่งคิดอย่างจริงจังว่าเราเป็นเพื่อนกันหรือไม่เป็นครั้งแรก เพราะงั้นจึงใช้เวลาพอสมควรกว่าเธอจะคิดหาคำตอบได้
อย่างที่พูดไปแล้ว การเรียกเบอร์ทัสว่าเพื่อนดูค่อนข้างแปลกเล็กน้อย เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นความสัมพันธ์แบบลำดับชั้นมากกว่า ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าเอลเลนเป็นเพื่อนคนแรกที่ฉันสร้างในวิหาร มันก็ค่อนข้างตลกดี เธอเป็นคนเงียบขรึมมาก ดังนั้นจึงควรเป็นเรื่องยากที่สุดที่จะเข้าใกล้เธอ อันที่จริง เธอคงใช้เวลาอีกนานกว่าที่เธอจะผูกมิตรกับคนอื่นได้เรื่องราวดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม การได้รู้ว่าเอลเลนไม่สนใจชื่อเสียงของฉันและไม่มีอคติใดๆ เกี่ยวกับฉัน มันค่อนข้างสบายใจ ส่งผลให้เรากลายเป็นแบบนี้
หลังจากเรี่ยวแรงฟื้นตัวขึ้นแล้ว ฉันก็กลับไปทำกิจวัตรตามปกติ นั่นคือฝึกท่าทางและการฝึกความแข็งแกร่ง
เวลานอนมาตรฐานคือ 5 ทุ่ม ฉันจะออกกำลังกายที่โรงยิมจนถึง 3 ทุ่ม จากนั้นฉันก็จะออกมาทานของว่างตอนดึกที่ห้องอาหาร ซึ่งมักจะอยู่กับเอลเลน
ดังนั้นฉันกับเอลเลนจึงฝึกจนถึง 3 ทุ่มเท่านั้นเพื่อที่เราจะยังได้กินอาหาร เราไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนั้น มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ตอนนี้เป็นเวลา 3 ทุ่มแล้ว
ได้เวลาเลิกซ้อมแล้ว
“วันนี้เธอหักโหมเกินไปหรือเปล่า”
วันนี้เอลเลนแตกต่างจากปกติเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะมีพละกำลังไม่เท่าลุดวิก แต่เธอก็ยังมีเกือบพอๆ กัน ปกติเธอเอาชนะหุ่นไล่กาโดยไม่ทันได้หายใจด้วยซ้ำ
วันนี้เธอหายใจติดขัด และฉันเห็นได้ว่าร่างกายของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ ฉันสังเกตว่าเธอฝึกหนักกว่าปกติ
ฉันไม่อยากเป็นแมวที่สนใจเสือ แต่สภาพของเธอค่อนข้างแปลก
“ทำไมไม่หยุดและพักผ่อนซักหน่อยล่ะ”
“……ฉันจะฝึกอีกหน่อย”
เอลเลนพูดโดยไม่หันมามองฉันด้วยซ้ำ ถึงเธอบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน แต่การไปวุ่นวายกับเธอต่อไปคงจะแปลก เธออาจจะบอกฉันว่าอย่าเสแสร้งเข้าใกล้หรืออะไรทำนองนั้น
“ถ้าเสร็จแล้วก็รีบพักผ่อนนะ ฉันจะไปแล้ว”
เอลเลนไม่ตอบฉันขณะที่ฉันออกจากโรงยิม
* * *
เห็นได้ชัดว่าแทบไม่มีนักเรียนเหลืออยู่ในหอพัก และคนที่ยังอยู่ก็คงเข้านอนแล้วเพราะใกล้จะเคอร์ฟิวแล้ว
พอมาคิดดู วิหารให้สภาพความเป็นอยู่เหมือนดังอยู่ในฝัน
พวกเขาซักผ้า จัดหาอาหาร แจกเงินค่าขนม เตรียมทุกอย่างที่คุณต้องการ และแม้แต่เตรียมครัวที่มีอุปกรณ์ครบครันให้คุณใช้ได้ตามสะดวก
พวกเขายังให้คุณสี่เหรียญทองเป็นเงินค่าขนมต่อเดือน แน่นอน มันเป็นแค่เงินทอนเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเด็กๆ จากบ้านที่ร่ำรวย แต่มันเป็นเงินจำนวนมากสำหรับฉัน หากมีการฝึกอบรมหรือการวิจัยส่วนบุคคล พวกเขาจะให้การสนับสนุนเพิ่มเติมแก่คุณด้วยซ้ำขึ้นอยู่กับเนื้อหา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็เหมือนกับทุนวิจัย
อันที่จริง การจบการศึกษาจากวิหารเพื่อมีชีวิตที่ดีนั้นไม่สำคัญเลย แท้จริงแล้ว คนๆ หนึ่งสามารถมีชีวิตที่สุขสบายเพียงแค่ได้เป็นนักเรียนวิหารแล้ว
นี่ไม่ใช่โรงเรียนในฝันที่ไม่มีใครอยากจบงั้นเหรอ? ไม่อยากอยู่เป็นศิษย์วิหารไปจนแก่ตายเลยงั้นเหรอ? สิ่งนี้จะนำไปสู่การผัดวันประกันพรุ่งที่ไม่สิ้นสุด
นี่ไม่ใช่ข้อผิดพลาดในการตั้งค่าอื่นใช่มั้ย มีใครอยากจะเข้าร่วมวิหาร และรอยัลคลาสเพียงเพื่อผลประโยชน์เหล่านี้เพียงอย่างเดียวบ้างนะ
ฉันไปที่ห้องครัวในขณะที่มีความคิดแปลกๆ เหล่านี้
แม้ว่าฉันจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากพลังศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่ฉันก็ยังออกกำลังกายอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะไม่ถึงระดับของลุดวิกหรือเอลเลนก็ตาม ดังนั้นฉันยังต้องกินมาก ฉันยังรู้สึกว่าสิ่งที่ฉันกินไม่ได้กลายเป็นไขมันเฉยๆ
ฉันทำอาหารกินเองเป็นประจำ ชีวิตฉันดีขึ้นมากตั้งแต่เริ่มใช้ชีวิตในวิหาร มีส่วนผสมมากมายและหากต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษก็สามารถขอได้และพวกเขาจะจัดหาให้ทันที
ฉันเบื่อที่จะกินอะไรเดิมๆ ตลอดเวลา ฉันเลยทำนู่นนี่นั่น ฉันไม่อยากขาดแคลนของกินเหมือนเอลเลน ฉันเลยทำอาหารกินเอง
คนที่มักจะกินแต่แฮมเบอร์เกอร์และพิซซ่าซักวันคงจะเบื่อบ้างแหละ
การใช้ชีวิตตามกิจวัตร แต่ฉันก็ไม่ต้องการให้อาหารของฉันเหมือนกันทุกวันจนเป็นกิจวัตร
ฉันดูส่วนผสมที่เก็บไว้ในตู้กับข้าวในครัวและคิดว่าฉันจะทำอะไรดี
นี่ไม่เหมาะกับแนวคิดของฉันจริงๆ แต่….
ฉันหยิบถุงขนมปังออกมา
ฉันคิดจะทำแซนวิช
มีคนสองคนในวิหารที่ฉันรู้สึกขอบคุณ
เอเดรียน่าซึ่งเพิ่งหันไปสู่ด้านมืดและกลายเป็นเหมือนแม่ชีในโบสถ์ ไม่สิ การเรียกแม่ชีว่าเข้าด้านมืดมันก็มากไปหน่อยแฮะ แต่นั่นก็คือความรู้สึกของฉันอยู่ดี
และอีกคนเอลเลน อาร์โทเรียส
พูดตามตรง ฉันมักจะบอกเอเดรียน่าว่าฉันรู้สึกขอบคุณเธอ แต่ฉันไม่ได้ทำแบบเดียวกันกับเอลเลน เพราะธรรมชาติของความสัมพันธ์ของเรา เธอแค่กินสิ่งที่ฉันทำและฝึกในโรงยิมด้วยกันแค่นั้น
ไม่ว่าฉันจะเหนื่อยแค่ไหน ฉันก็เป็นเหมือนเด็กม.ปลายทั่วๆ ไป ที่มีความสุขที่ได้มีเพื่อนคนแรก
ฉันคิดว่าฉันรู้สึกประทับใจเล็กน้อย….
ฉันรู้สึกตื้นตันใจที่ได้ยินว่าเราเป็นเพื่อนกัน
ฉันทำแซนวิช มันง่าย ฉันไม่ต้องใช้ความพยายามมากเพื่อทำมัน ฉันคิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าทำเยอะๆ เพราะเธออาจจะกินเยอะ
ฉันใส่ผักในปริมาณปานกลาง ชีสและแฮมจำนวนมาก นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นระเบิดแคลอรี แต่ฉันและเอลเลนไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก เราออกกำลังกายมากเกินไปจนไขมันแทบจะสูญสลาย
ฉันพบตะกร้าอาหารในครัวด้วย ดังนั้นฉันจึงเก็บแซนวิชที่ทำเสร็จใหม่ๆ ไว้ในนั้นและไปที่โรงยิม
“……อะไรน่ะ?”
และฉันก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อยกับภาพตรงหน้า
เอลเลนนอนอยู่ตรงหน้าหุ่นไล่กา เศษดาบฝึกหัดหักวางอยู่ข้างๆ เธอ
“นี่! อย่ามานอนเอาตรงนี้สิเฟ้ย!”
แม้ว่าฉันจะพูดอย่างนั้น แต่ฉันกำลังรีบวิ่งไปหาเธอ
* * *
รอยัลคลาสของวิหารเป็นหนึ่งในที่ทีาการศึกษาที่เข้มข้นที่สุดในจักรวรรดิ นอกเหนือจากที่ฉันได้กล่าวไปแล้ว ยังมีบริการและสิทธิพิเศษมากมายอีก
ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นแบบไหน เพราะตอนเขียนไม่ได้ระบุไว้เฉพาะเจาะจงอะไร
ฉันแค่เขียนว่า: บริการดีมาก!
แน่นอนฉันรู้จักบริการบางอย่าง หนึ่งในนั้นคือบริการนักบวช ผู้ซึ่งสามารถใช้คาถาฟื้นฟูและประจำการในสถานที่เฉพาะตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน มันเหมือนกับครูพยาบาล ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวจากครูพยาบาลคือพวกเขาสามารถรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสได้ด้วย ไม่ใช่แค่ปฐมพยาบาลเท่านั้น
ฉันจำไม่ได้จริงๆ แต่ฉันอาจได้รับความช่วยเหลือจากนักบวชพวกนี้หลังจากการดวลครั้งสุดท้ายในตอนนั้น ฉันแบกเอลเลนไว้บนหลังและเรียกนักบวช
ฉันไปที่ห้องพักฟื้นที่ฉันเคยนอน และวางเอลเลนตามคำสั่งของนักบวชหญิง ขณะที่ร่ายคาถาศักดิ์สิทธิ์ เธอถามฉันเกี่ยวกับสถานการณ์
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เธอดูหมดแรงหรืออะไรทำนองนั้น เธอนอนอยู่บนพื้นโรงยิม”
นอกจากหน้าผากจะมีบาดแผลเล็กน้อยแล้ว ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไร แต่เธอทำดาบฝึกหัดของเธอพัง ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง
“ฉันดีใจที่คุณพบเธอได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ทำได้ดีมาก”
แม้ว่าเธอจะสลบไปเพราะความเหนื่อยล้า แต่มันอาจจะเป็นอันตรายหากพบเธอช้าเกินไป นักบวชหญิงจึงชมเชยฉัน
เธอถามชื่อและเกรดของฉันกับเอลเลน ฉันเลยตอบไป
“ปีแรก ไรน์ฮาร์ท และ เอลเลน คุณเอพินเฮาเซอร์เป็นครูประจำชั้นของคุณใช่มั้ย”
“ครับ”
“ทำได้ดีมาก ไรน์ฮาร์ท ฉันจะเขียนความดีให้คุณ”
อะไรล่ะนั่น
ฉันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น ครูในเครื่องแบบมองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้มใจดี มันเป็นรอยยิ้มที่มีเมตตาซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนเคร่งศาสนาอย่างแท้จริง
โห นึกว่าเทพมาจริงๆ อ๊ะ ฉันขอโทษ ฉันลืมเกี่ยวกับรากเหง้าของฉัน….(ปีศาจ)
“ฉันได้ยินมาว่าคุณเป็นเด็กมีปัญหา แต่ดูเหมือนว่าคุณแตกต่างจากข่าวลือไปมาก”
โอ้ ชื่อเสียงของฉันไปถึงอาจารย์แล้ว อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเธอจะประทับใจมากที่ฉันยอมแบกเพื่อนร่วมชั้นไว้บนหลัง
นักบวชหญิงตรวจดูอาการของเอลเลนและบอกว่าเธอจะตื่นในไม่ช้า เธอบอกฉันว่าฉันกลับไปได้แล้ว แต่ฉันเลือกจะอยู่เคียงข้างเธอ
ครูมองฉันด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับว่าเธอรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่
ไม่ มันไม่ใช่แบบที่คุณคิดนะ
เหมือนที่ครูบอกฉัน เอลเลนค่อยๆ ลืมตาขึ้นหลังจากผ่านไปประมาณ 10 นาที
“อึก…”
เอลเลนยกเปลือกตาขึ้น ส่งเสียงครวญครางต่ำๆ แล้วหันมามองฉันและนักบวชหญิง แล้วเบิกตากว้าง
“……?”
เธอดูเหมือนจะงุนงง
พระพุทธรูปหินองค์นั้นดูลุกลี้ลุกลนอย่างมาก
มันเป็นฉากที่มีค่ามาก ดังนั้นฉันจึงพยายามบันทึกมันลงในความทรงจำทันที
“อา….”
เอลเลนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่ ถ้าเธอนอนในที่แบบนั้น เธออาจตายได้ เธอยังอายุน้อยอยู่เลย เธอต้องการที่จะกลับชาติไปเกิดใหม่แล้วรึไง”
“พรึ่ด!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน นักบวชหญิงก็หัวเราะออกมา และเอลเลนก็หันหน้าหนีจากฉัน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธออายมาก อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่เราสองคนที่นี่ อาจารย์ที่เสแสร้งเป็นนักบวชก็อยู่ด้วย
“เอลเลน ถึงแม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้น แต่ไรน์ฮาร์ทก็ยังแบกคุณไว้บนหลังของเขา เขามาที่นี่ด้วยใบหน้าที่ซีดเผือกและพูดว่า “อาจารย์ ทำอะไรซักอย่างทีสิ!” ด้วยนะ”
“ครู…. ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้น…. ”
ไม่นะ! คุณจะบอกเธอทำไมเนี่ย เอลเลนชำเลืองมองมาที่ฉันเมื่อได้ยินสิ่งที่ครูพูด คุณไม่คาดคิดว่าฉันจะทำอย่างนั้นงั้นเหรอ?
“ดูเหมือนว่าคุณฝึกซ้อมหนักเกินไป อย่าออกแรงมากจนเกินไปแบบนี้ เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ…. ฉันขอโทษด้วย”
ด้วยคำพูดเหล่านี้ นักบวชหญิงออกจากห้องพักฟื้น โดยบอกเราว่าเธอจะรายงานเรื่องนี้หลังจากโรงเรียนปิด
“ทำไมไปนอนตรงนั้นล่ะ”
สำหรับคำถามของฉัน เอลเลนจ้องไปที่เพดานอย่างว่างเปล่า
“ในขณะที่ฉันกำลังฝึกฝนเทคนิคของฉันและเอาชนะหุ่นไล่กา ดาบฝึกหัดของฉันก็หัก…. ฉันคิดว่าฉันคงล้มไปข้างหน้าและศีรษะก็ไปกระแทกกับมันเข้าน่ะ”
เอลเลนดูเหมือนจะจำได้อย่างชัดเจนว่าเธอเป็นลมไปได้อย่างไร
ความเหนื่อยล้าไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นเพราะเธอเอาหัวโขกหุ่นไล่กา ดูเหมือนถูกกระทบกระเทือนเฉียบพลัน
สาเหตุน่าจะมาจากความอ่อนล้าและการถูกกระทบกระแทก
ฉันไม่รู้ว่าใครจะหามเธอออกไปถ้าฉันไม่อยู่ที่นั่น ตอนนี้ฉันโล่งใจละเพราะเห็นว่าเธอสบายดี
“นี่ ฉันช่วยเธอไว้ไม่ใช่เหรอ?”
“……”
“ฉันช่วยเธอนะ”
ฉันบอกว่าฉันกลับแล้ว เมื่อเห็นว่าเธอไม่เป็นไร แต่แล้วมันก็เกิดขึ้น ถ้าฉันไม่กลับมาแบ่งแซนวิชที่ฉันทำให้เธอล่ะก็ เธออาจถูกพบเป็นศพในวันรุ่งขึ้นก็ได้
เด็กสาวที่มีความสามารถดีที่สุดที่โลกนี้ ได้เกือบตายหลังจากเอาหัวโขกหุ่นไล่กา….
่างเป็นสถานการณ์ที่ไร้สาระอะไรขนาดนี้ เอลเลนนอนลงและมองมาที่ฉันเงียบๆ ก่อนที่เธอจะผงกศีรษะเล็กน้อย
“……ใช่”
ไม่ใช่เสียงปกติของเธอ แต่เป็นเสียงที่เบาลงเล็กน้อย น่ารัก เสน่ห์ของตัวละครที่เคร่งขรึมจะปรากฏขึ้นเมื่อแนวคิดของพวกเขาพังทลายลง
วันนี้เอลเลนหักโหมเกินไปแน่นอน เธอกวัดแกว่งดาบโดยไม่หยุดพัก เธอฝึกฝนอย่างเข้มข้นยิ่งกว่าเดิมอย่างมาก
คนที่มักจะควบคุมตัวเองได้ดีกลับขาดสติไป และในที่สุดหลังจากที่เธอพยายามเหวี่ยงดาบฝึกหัดของเธอแม้จะใช้แรงทั้งหมดจนหมดแล้ว เธอก็ลงเอยด้วยการเอาหัวไปชนกับหุ่นไล่กา
ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าทำไมเธอถึงทำแบบนั้น แต่ฉันรู้
ผู้หญิงคนนี้มีสภาพจิตใจที่สั่นคลอนมากขึ้น แตกต่างจากตัวตนปกติของเธออย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นฉันจึงไม่ถามเธอว่าทำไมเธอถึงทำฝืนตัวเองแบบนั้น
“ทำไมไม่ยืนขึ้น”
“……?”
เนื่องจากเธอได้รับการรักษาด้วยพลังจากศักดิ์สิทธิ์มา เธอก็น่าจะหายเป็นปกติแล้ว ไม่มีเหตุผลที่เธอจะนอนลงต่อไป
“มากินแซนวิชกันเถอะ ฉันทำมาเยอะเกินไปน่ะ”
“อา โอเค”
เอลเลนกระโดดขึ้น เธอดูมีปฏิกิริยาทันทีเมื่อฉันพูดถึงอาหาร ฉันพนันได้เลยว่าเธอคงจะกินอาหารทั้งหมดอีกแน่ๆ
“ฉันทำให้เธอเชียวนะ ดังนั้นเธอควรจะขอบคุณฉันบ้างสิ”
แน่นอนว่าฉันไม่ลืมที่จะคุยโม้เหมือนเคย