เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา - ตอนที่ 57
The Demon Prince goes to the Academy
ตอนที่ 57
ในวันศุกร์
หลังจากเลิกเรียน ทุกคนก็แสดงตื่นเต้นและเริ่มวิ่งเตลิด และคนที่น่ารำคาญที่สุดก็คือเลขที่ 8 โคโน ลินต์
“ในที่สุดก็ได้หยุดแล้ว!”
คนที่วางแผนจะกลับบ้านรีบกลับไปที่หอพักเพื่อเก็บข้าวของ ส่วนคนที่ยังอยู่ก็ไปทำเรื่องของตัวเองเพราะช่วงหยุดยาวกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ฉันจะอยู่ที่หอพักสำหรับวันนี้และออกเดินทางพรุ่งนี้เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว ฉันจะไปพบกับเอเลริส หลังจากที่ฉันใช้รถไฟมานาหลายครั้งเพื่อสลัดการติดตามเท่าที่เป็นไปได้ ฉันวางแผนที่จะแปลงรูปลักษณ์ที่แตกต่างโดยใช้แหวนของซาร์เคการ์ก่อนไปที่ร้านของเอเลริส
ฉันสามารถไปที่แก๊งค์โรตารีได้ แต่ฉันไม่ค่อยอยากไปที่นั่นด้วยเหตุผลหลายประการ ดูเหมือนว่าทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงจะเริ่มสอดส่องสถานที่นั้นแล้ว
นี่ก็ดูเป็นเกียรติเหมือนกันนะ ที่มีคนตำแหน่งสูงๆ มาสนใจองค์กรขอทานมากขนาดนี้
ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นงั้น แต่ผลออกมาดีพอสมควร
ชาร์ลอตต์จะพยายามปกป้องแก๊งโรตารีเพราะมันเป็นเบาะแสเดียวในการตามหาวาเลียร์ ในขณะที่เบอร์ทัสจะพยายามใช้แก๊งโรตารีเป็นบันไดขั้นหนึ่งเพื่อยึดครองโลกใต้ดินของเมืองหลวง ดังนั้นเขาจะไม่ทำอะไรกับมัน
ขึ้นอยู่กับการกระทำของฉัน พวกเขาอาจช่วยฉันได้และเริ่มห่างไกลจากการพยายามทำร้ายฉัน
ในที่สุด การพิสูจน์ว่าฉันมีประโยชน์กับทั้งสองคน ดูเหมือนว่าฉันจะกลายเป็นนักฉวยโอกาส ที่เป็นคนที่เป็นที่ต้องการตัวจากทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิง
ฉันอาจจะเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างป๊อปปูลาร์เลยก็ได้นะ?
ทุกคนตื่นเต้น ทั้งคนที่จะกลับและคนที่จะอยู่ต่อ
แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นสามประการ
เอลเลน อาร์โทเรียส ผู้ซึ่งสุดท้ายจะกลายเป็นผู้กล้าในแบบที่ไม่พบเห็นมาก่อน ยังคงคิดถึงการตายของพี่ชายของเธอต่อไป บางทีเทศกาลนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่เอลเลนจะตื่นเต้นก็ได้
อีกสองคนคือเบอร์ทัสและชาร์ลอตต์
พวกเขาสองคนจะยุ่งมากในช่วงเทศกาลนี้ ต้องรีบไปจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง พวกเขาพยายามไม่แสดงความเหน็ดเหนื่อยได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเหนื่อยพอตัว
“ชาร์ลอตต์”
“…….มีอะไร”
ดังนั้นฉันจึงสามารถเห็นฉากที่หายากได้ ฉันเห็นเขาสองคนคุยกัน ไม่มีใครพูดอะไรถึงมัน แต่ทั้งสองคนพยายามแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันในวิหาร เพราะว่าพวกเขานั้นเข้ากันไม่ได้เลย
ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะเข้ามาในโรงเรียนได้ไม่นาน แต่นั่นจะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพวกเขาคุยกันในวิหารต่อหน้าทุกคน
ทั้งสองเดินคุยกันไปเรื่อยๆ
– ดังนั้น ลำดับของงานต่อไปคือ….
– ฉันจำทุกอย่างได้แล้ว ฉันไม่อยากได้ยินมันอีก
– อย่างที่คาดไว้ เธอฉลาดดี
– ไม่ นายคนเดียวต่างหากที่ฉลาดมาก
-ทำไมดูเหมือนเธอกำลังประชดประชัน ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นคำชม?
– เพราะฉันกำลังประชดประชัน
เบอร์ทัสผู้แสร้งทำเป็นใจดี และชาร์ล็อตต์ผู้แสดงท่าทีขวานผ่าซาก
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทศกาล เนื่องจากเป็นงานของจักรพรรดิอย่างเป็นทางการ ทั้งเบอร์ทัสและชาร์ลอตต์จึงต้องปรากฏตัว
ทุกคนต่างจ้องไปที่พี่น้องที่กำลังสนทนากัน ราวกับว่าพวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น
และราวกับว่าไม่ได้สนใจฉากนี้แม้แต่น้อย ฉันเฝ้าดูเอลเลน อาร์โทเรียส เดินออกจากอาคารห้องเรียนอย่างไม่ระมัดระวัง
“หลบไปให้พ้นทางฉัน”
-ปัง!
“เดี๋ยวนี้!”
จากนั้นทุกคนก็หันไปยังฉากที่ A-9 อีริชตีหัว B-3 สการ์เล็ตขณะที่เดินผ่านไป
“ซวยจริงๆ เลยฉันเนี่ย”
เห็นอีริช เดินผ่านไป และ A-10 เคเยอร์ สบถใส่เธอสั้นๆ ก่อนจะเดินตามหลังอีริชไป ฉันสงสัยว่าลุดวิกอยู่ที่ไหน ฉันไม่แน่ใจว่าเขาออกไปแล้วหรือยัง
สการ์เล็ตก้มหน้าลงและไม่พูดอะไรสักคำ นักเรียนคนอื่นๆ ออกไปโดยแสร้งทำเป็นไม่เห็นเธอ
ฉันต้องดูอะไรแบบนี้อีกกี่ครั้งกัน? ตามเนื้อเรื่องเดิมลุดวิกจะขอดวลกับอีริช อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ผิดพลาดมหันต์ไปแล้ว เพียงเพราะฉันเข้าไปแทรกแซงเพียงครั้งเดียว
แน่นอนว่าบุคลิกของลุดวิกไม่ได้เปลี่ยนไป ดังนั้น ลุดวิกจะช่วยสการ์เล็ตในวันหนึ่งแน่ๆ ดังนั้นหากฉันเข้าไปแทรกแซงตอนนี้ อนาคตจะเปลี่ยนไปอีกครั้งและอาจคาดเดาไม่ได้มากขึ้นไปอีก
ผมสีแดงเพลิงและดวงตาสีแดงเพลิง
สการ์เล็ตเงยหน้าขึ้นและสบตากับฉัน
ทุกคนออกไปแล้ว ดังนั้นสการ์เล็ตและฉันจึงเหลือเพียงเราที่โถงทางเดิน
สการ์เล็ตลดสายตาลงอีกครั้งด้วยความกลัวหลังจากที่เราสบตากัน
มีบาปมากมายที่ฉันทำในโลกนี้ สถานการณ์ที่น่าสลดใจนี้เป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน
เธอจะได้รับช่วยเหลือ
ลุดวิกจะเป็นคนช่วยเธอ
การตั้งค่าเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นด้วยความคิดที่เรียบง่ายและไม่ใส่ใจ ทั้งเหตุผลในการกลั่นแกล้งเธอและวิธีแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม ในที่สุดฉันก็ได้เผชิญหน้ากับความจริงที่ฉันสร้างขึ้นด้วยมือของฉันเอง
ความจริงที่แปลกประหลาดนี้ ฉันเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง
“สการ์เล็ต เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
“……?”
ฉันมองไปที่สการ์เล็ต ราวกับว่าฉันกำลังคุยกับเธอ
“สีผมสำคัญตรงไหน? การเก่งที่สุดในวิหารมันสำคัญกว่าไม่ใช่เหรอ?”
สการ์เล็ตเงยหน้าขึ้นและมองมาที่ฉันอีกครั้ง เธอถูกปฏิบัติเหมือนเป็นลางร้ายจากทุกคน เพราะดวงตาและผมสีแดงของเธอ เธอจึงถูกรังแกเพราะมันเป็นเวลานาน พอฉันเข้าหาเธอ เธอก็ถอยหลังไปชิดกำแพงราวกับพยายามจะหนีจากฉัน
ฉันไม่ได้พยายามที่จะคุกคามเธอซักหน่อย
“เธอก็เห็นมันแล้วหนิ ผู้ชนะถูกต้องเสมอ”
สการ์เล็ตมาดูการต่อสู้ของฉันด้วย
“ไม่ได้มาดูเหรอ?”
ว่าแต่ทำไมสการ์เล็ต ถึงมาดูการต่อสู้ของฉัน?
เธอไม่ได้มาจากชั้นเดียวกัน แต่เธอมาดูการต่อสู้ของฉันกับรุ่นพี่ ฉันยอมรับการดวลกับรุ่นพี่คนนั้นโดยยังไม่มีพรสวรรค์ด้วยซ้ำ
ชัดเจนว่าผลจะเป็นอย่างไร ฉันไม่รู้ว่าเธอมาทำไม
อย่างไรก็ตาม เธอเห็นมันอย่างชัดเจน ฉันสามารถเอาชนะรุ่นพี่คนนั้นได้ในที่สุด
เธอคงเห็นฉันยืนขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งๆ ที่ต้นกำเนิดและพละกำลังของเราต่างกัน
“อย่าอยู่เฉยๆ สิ”
“…….”
จากนั้นฉันก็กระซิบบอกสการ์เล็ต ซึ่งดวงตาของเธอดูเหมือนกระต่ายขี้ตกใจ มันเหมือนกับการล่อลวงอันหอมหวานของปีศาจ
“ฉันควรบอกอะไรเธอหน่อยมั้ย”
“อะไร…. คะ?”
สการ์เล็ตพูดกับฉันค่อนข้างสุภาพเลยแฮะ พอมาลองคิดดูแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันสินะ
อย่างไรก็ตาม ฉันบอกความลับของอีริช เดอ ลาฟาเอรี ให้เธอฟัง
มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น
“หมอนั่นน่ะคนนั้นเป็นคนขี้ขลาด”
เธออยู่ในปีเดียวกันแท้ เธออยากถูกคนอ่อนแอนั่นกลั่นแกล้งไปอีกนานแค่ไหนกัน?
เธอคงพอคิดได้บ้างแหละ
‘ตัวสร้างปัญหาไรน์ฮาร์ทไปไกลกว่าแค่เริ่มการต่อสู้ด้วยตัวเขาเอง เพราะตอนนี้เขายังกระตุ้นให้คนอื่นต่อสู้ด้วย ว่ากันว่าเขาเป็นเมล็ดพันธุ์ปีศาจที่เกิดมาเพื่อสร้างความขัดแย้ง ทำลายมิตรภาพ และทำลายชีวิตอันสงบสุขของผู้อื่นที่วิหาร’
นั่นก็ถูกต้องล่ะนะ
พูดตามตรง ฉันไม่ได้เป็นแค่วายร้ายอีกต่อไป ฉันค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นซุปเปอร์วายร้าย
ถ้าพูดในแง่ของแบทแมน ฉันจะไม่ใช่โจ๊กเกอร์ แต่เป็นเพนกวินมากกว่า
ฉันยังมีโชคที่ไม่เคยมีมาก่อนในการปลุกความสามารถเหนือธรรมชาติในระหว่างการต่อสู้แม้ว่าฉันจะไร้ความสามารถก็ตาม
เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะทะเลาะกับขุนนาง ทั้งๆ ที่เป็นแค่เป็นขอทานและแม้แต่ลงมือกับพวกเขา
ไม่เพียงแต่ฉันสามารถเอาชนะรุ่นพี่ของฉันได้ แต่ฉันยังมีรุ่นพี่ระดับสูงของรอยัลคลาส ที่ไม่รู้เกี่ยวกับบุคลิกที่แท้จริงของฉัน ที่เชื่อว่าฉันเป็นคนดีและชอบธรรม พวกเขาสัญญาว่าจะดูแลฉันหากฉันมีปัญหาอีกต่างหาก
ปัจจุบัน ฉันได้รับการสนับสนุนจากทั้งเบอร์ทัสและชาร์ลอตต์ซึ่งเป็นที่ 1 ของชั้นเรียนและเกือบจะมีอำนาจมากที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่ง ฉันค่อนข้างเป็นอิสระจากอำนาจของพวกเขาซึ่งอยู่เหนือวิหาร พวกเขาทั้งสองไม่มีเจตนาที่จะควบคุมฉันโดยตรง
ฉันไม่มีเคยปัญหากับพวกที่สามารถเอาชนะฉันได้ เอลเลนเป็นคนที่ค่อนข้างแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาปีแรกๆ และไม่มีเพื่อนสนิท ก็มาสอนวิชาดาบให้ฉัน
แน่นอนฉันปะทะกับคนที่มีบุคลิกไม่ดีอย่างรุนแรงที่เลือกต่อสู้กับฉันก่อนเท่านั้น
และตอนนี้ ไม่ว่าปัญหาการกลั่นแกล้งจะใหญ่แค่ไหน ฉันยังกระตุ้นให้เหยื่อต่อสู้กับผู้กระทำความผิดอีก
ชายผู้อยู่เบื้องหลังทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวิหารและคิดแต่เรื่องวุ่นวาย
นั่นคือสิ่งที่ฉันกลายเป็น
“…….”
สการ์เล็ตยังคงตัวแข็งอยู่เป็นเวลานานหลังจากบอกเธอว่าอีริชเป็นคนขี้ขลาด ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้หรือไม่รู้วิธีต่อสู้ เธอไม่ต้องการสร้างปัญหาใดๆ เธอคิดว่าชีวิตของเธอจะต้องจบลงหากเธอถูกไล่ออกจากวิหาร
พูดตามตรง เธอไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากฉันจริงๆ ล่ะนะ
เพราะว่าเธอเป็นนักสู้ที่เก่งกว่าฉันอยู่แล้ว
พูดตามตรง ในการจัดอันดับการต่อสู้ในปีแรกปัจจุบันสการ์เล็ตจะเป็นหนึ่งใน 5 อันดับแรก แน่นอน แม้ว่าเอลเลนจะเป็นที่หนึ่งโดยมีช่องว่างระหว่างที่หนึ่งและสองค่อนข้างกว้าง เธออาจกระโดดไปมาระหว่างอันดับที่ 2 และ 5 แต่สการ์เล็ตจะอยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุดต่อไปแน่นอน
เธอไม่สามารถทำได้เนื่องจากบาดแผลทางจิตใจของเธอที่เกิดจากการถูกรังแกมาทั้งชีวิต ในความจริงเธอสามารถเอาชนะในการดวลได้อย่างง่ายดาย
* * *
วันนี้ฉันพักอยู่ที่หอพัก ฉันกะว่าจะไปเยี่ยมเอเลริสในวันพรุ่งนี้
ดังนั้นฉันจึงฝึกตามปกติ เอเดรียน่าบอกว่าเธอจะไปวันนี้ เธอเลยแวะมาซ้อมแค่ตอนเช้าเท่านั้น
ทุกคนตื่นเต้นกับวันหยุดนี้ จึงมีนักเรียนจำนวนมากที่รีบออกจากวิหาร
ลุดวิกที่ยังขาดประสบการณ์ วิ่งรอบวิหารวันละครั้งทุกเช้าโดยไม่ขาดตกบกพร่อง แน่นอนว่าเป็นไปได้สำหรับเขาเท่านั้น หนทางของฉันยังอีกยาวไกล
เดิมทีฉันไม่ได้มีความสนใจหรือมีพรสวรรค์ในการออกกำลังกายเลย ตอนนี้ฉันคิดเกี่ยวกับมันแล้ว ฉันก็ไม่ค่อยสนุกกับมันเหมือนเดิม ฉันแค่กัดฟันและก้าวผ่านเพราะฉันรู้สึกผิดบางอย่าง ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้พักผ่อน ฉันมีบางอย่างที่ต้องทำ ดังนั้นฉันจึงต้องพยายามอย่างหนัก
การบังคับที่รุนแรงนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันไปต่อได้
“แฮกๆ….”
อย่างไรก็ตาม หลังจากวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง ณ สถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของแผนกอุดมศึกษาของวิหาร ฉันนั่งลงบนม้านั่งบนเนินเขาซึ่งมีลู่วิ่งเส้นหนึ่งอยู่ ฉันพยายามหายใจ
ฉันสามารถมองเห็นภูมิทัศน์อันกว้างใหญ่ของวิหารได้จากที่นี่ แม้ว่าฉันจะไม่แข็งแกร่งเท่าลุดวิก แต่ความแข็งแกร่งของฉันก็ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ฉันยังสามารถปีนขึ้นไปบนเนินเขาเหล่านี้ได้โดยไม่มีปัญหามากนัก แม้ว่าฉันจะยังหายใจไม่ค่อยออกก็ตาม
“…….”
ไม่มีเหตุการณ์ใดที่เหมือนกับสถานะที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันหรือประสิทธิภาพโดยรวมของฉัน ความสามารถเหนือธรรมชาติของฉันตื่นขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะมีพลังที่จะพลิกโลกกลับหัวกลับหางในทันใด
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ฉันไม่สามารถแม้แต่จะวิ่งได้อย่างถูกต้องหากไม่มีการสนับสนุนของเอเดรียน่า แต่ตอนนี้ฉันมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะวิ่งขึ้นเนินเขาและมองลงมายังวิหารได้ มันไม่ได้รวดเร็วมาก แต่เพียงพอที่จะรู้สึกถึงการเติบโตของฉันและผลลัพธ์ของการฝึกฝนของฉัน
ฉันเติบโตขึ้นทีละน้อย เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ชีวิตแฟนตาซีที่ฉันฝันถึงเลย
การเติบโตของฉันค่อนข้างช้า และแม้ว่าวิกฤตจะยังอยู่อีกยาวไกล แต่ก็ยังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“เฮ้อ….”
เรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องราวชีวิตมากกว่าเรื่องที่ฉันเขียน
สิ่งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการอธิบายแบบลวกๆ ว่าจู่ๆ ตัวละครก็แข็งแกร่งขึ้นหลังจากฝึกฝนมาหลายปีหรือหลายทศวรรษ
ฉันต้องเติมเต็มสัปดาห์ เดือน และปีเหล่านี้ด้วยร่างกายของฉันเอง
มันขึ้นอยู่กับฉันที่จะฝึกหนักในช่วงหลายเดือนที่ฉันอธิบายไว้ในนิยาย
“……ฉันหิวน้ำจัง”
แต่ก่อนอื่นขอดื่มน้ำก่อนแล้วค่อยวิ่งต่อ
* * *
ฉันเป็นแบบ A
“มาเลย”
แบบ A เป็นการตั้งค่าล่วงหน้าที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิด ได้แก่ การใช้ดาบและการเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย
-แก้ง!
“เฮ้อ….”
ฉันถอนหายใจเมื่อเห็นดาบหลุดออกจากมือ
“ฝึกความแข็งแรงในการจับของนายกัน”
“ฉันมันถึงจุดที่ฉันไม่รู้สึกถึงมือของฉันอีกต่อไปแล้วล่ะ ตอนนี้”
แม้ว่าฉันจะใช้พลังเหนือธรรมชาติของฉัน ฉันก็ยังทำอาวุธของฉันหลุดมือหลังจากโดนเธอโจมตี
“งั้นใช้ความสามารถของนายด้วย”
“……ฉันใช้มันไปแล้ว”
“อา”
เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำให้ฉันรู้สึกอ่อนแอ ฉันทรุดตัวลงบนพื้นขณะที่ฉันหยิบดาบฝึกหัดขึ้นมา มือของฉันไร้ความรู้สึกและฉันก็ลำบากในการถือดาบอย่างถูกต้อง
“นี่มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?”
“แปลกอะไร?”
เอลเลนเอียงศีรษะตามคำพูดของฉัน
“ฉันรู้เพราะฉันรู้สึกได้ แต่เธอแข็งแกร่งกว่าปี 3 อีก ฉันแทบจะไม่สามารถเอาชนะเธอได้ด้วยโชคเลยงั้นเหรอ?”
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันลงเอยแบบนี้แม้ว่าเธอจะอ่อนข้อกับฉันมากก็ตาม ฉันสามารถรับประกันได้ว่าถ้าเธอสู้กับมายาร์ตัน ในวันนั้น การดวลจะจบลงภายใน 5 วินาที ฉันไม่ได้พูดเกินจริง เพราะเธอคืออาร์โทเรียสนักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ พูดตามตรง เธอมีพรสวรรค์ที่ดีกว่า รากัน อาร์โทเรียส ซะอีก
หากได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมเอลเลน อาร์โทเรียสจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดยิ่งกว่าเขาเสียอีก
“อะไรของนายอีก?”
แข็งแกร่งก็คือแข็งแกร่งล่ะนะ
“ฉันคิดว่าเธอไม่ได้ดูอ้วนขึ้นเลย แม้ว่าจะกินไปเยอะขนาดนั้นก็ตาม มีคนแบบนี้ด้วยสินะ”
ผู้ที่มีการเผาผลาญสูงมากหรือผู้ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารดี คนที่จะไม่เพิ่มน้ำหนักมากนักแม้จะกินเยอะก็ตาม ฉันลุกขึ้นและชี้ไปที่แขนและข้อมือของเอลเลน
“ฉันหมายความว่าเธอมีพละกำลังมากขนาดนั้นได้ยังไงในเมื่อร่างกายเธอเป็นแบบนี้น่ะ”
มายาร์ตันเป็นคนตัวใหญ่ อย่างไรก็ตาม เอลเลนไม่มีกล้ามเนื้อ และในทางเทคนิคแล้ว เธอมีรูปร่างที่ค่อนข้างสมส่วน
เป็นเรื่องลึกลับอย่างยิ่งที่เธอสามารถสร้างพลังดังกล่าวจากร่างกายที่ผอมบางเช่นนี้ได้ มันแปลกมากเมื่อดูจากร่างกาย!
ฉันยิ่งไม่ชอบมันมากขึ้นไปอีก เพราะฉันคิดว่าฉันรู้เหตุผลของมันแล้ว
มันเป็นเพราะฉัน
ชัดเจนมาก…. เธอควรจะมีพรสวรรค์ที่ดีที่สุดในโลก มีทักษะที่ยอดเยี่ยม และเป็นผู้ไร้เทียมทานเต็มตัว แต่ฉันเขียนบรรยายเธอว่า “สาวสวย” ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงดูเป็นแบบที่เห็น มันควรจะเป็นคนที่ดูมีกล้ามเนื้อที่สวยงามสูง 188 ซม แต่นั่นก็ดูไม่เป็นเด็กสาวอีก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้างหน้าฉันถึงมีเด็กคนหนึ่งสูง 163 ซม. และหนัก 40 กก. แต่มีพละกำลังของรถถังมนุษย์ ความแตกต่างทางกายภาพนี้เกิดจากมาตรฐานที่ไม่สมจริงของฉันล้วนๆ
เธอดูอ่อนแอทุกที่ราวกับว่าเธอไม่มีกล้ามเนื้อ อันที่จริงแล้ว ผิวที่แขนของเธอดูเรียบเนียนราวกับผิวของทารก แทนที่ควรจะต้องผึ่งแดดและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เธอไม่กระชับด้วยซ้ำ จริง ๆ แล้ว เราสัมผัสร่างกายกันมาบ้างในขณะที่เราฝึก ดังนั้นฉันจึงพบว่าเธอเป็นคนนุ่มนิ่ม
แน่นอนว่า ถ้ามีใครเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์ มันเป็นไปได้ที่จะมีพลังที่เกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาโดยใช้การเสริมพลังเวทย์มนตร์..
อย่างไรก็ตาม เธอยังไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไรด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายของเธอเพียวๆ
ฉันเป็นพระเจ้า
ฉันทำลายกฎฟิสิกส์ของโลกนี้ด้วยข้อความเพียงไม่กี่บรรทัด เอลเลนขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำบ่นของฉัน
“พอดีครอบครัวของเราแข็งแกร่งน่ะ”
นี่คือความน่าจะเป็นของส่วนนั้นเสริมนั้นสินะ เส้นใยกล้ามเนื้อในครอบครัวของคุณทำจากลวด อดาแมนเทียมหรือยังไง?
เอาจริง ๆ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่ก็ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
เกิดมาอย่างนั้นแล้ว ฉันจะทำอะไรกับมันได้?
ฉันไม่เคยสร้างฉากแบบนั้นมาก่อน แต่ครอบครัวของเธออาจจะเป็นลูกหลานของมังกรหรืออะไรทำนองนั้น นี่คือโลกที่ความน่าจะเป็นที่ฉันมั่วได้รับการเสริมเหตุผลเข้าไป
สุดท้ายก็เป็นฉันเองที่ละเมิดกฎของที่นี่ ดังนั้นฉันจึงไม่มีสิทธิ์บ่น ฉันสามารถยอมรับมันได้ มีการจำกัดว่าการเติบโตจะบรรลุผลได้จากการฝึกฝนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเราจะเสริมร่างกายโดยใช้พรสวรรค์หรือทักษะ
ถ้าใครสามารถทำสิ่งนี้ได้ในระยะยาว ก็จะเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์ด้วยการปรับปรุงร่างกายด้วยเวทมนตร์
“จับมันอีกครั้ง”
“ฮึบ!”
-แก้ง!
“…….”
เธอกำลังเล่นเบสบอลอยู่งั้นเหรอ?
เมื่อเห็นดาบฝึกหัดของฉันบินไปอีกด้านหนึ่งของโรงยิม ฉันก็รู้สึกสลดใจ
มันไม่ใช่โฮมรัน แต่เป็นฮิท
เพจผู้แปล Lemon FT