เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 148 ทูตผู้ถือคำสั่งแซ่ซ่ง
ตอนที่ 148 ทูตผู้ถือคำสั่งแซ่ซ่ง
บุรุษร่างกำยำที่ยืนกลางแท่นบวงสรวง เส้นผมโบกสะบัด ใบหน้าเป็นประกายระยิบระยับภายใต้การส่องแสงศักดิ์สิทธิ์ เขาถือดาบด้วยสองมือ ชูอาวุธเทพโบราณนี้ขึ้นเหนือศีรษะ
ราชสีห์ขาวถูกดึงออกมาแล้ว ตรงจุดเชื่อมกับแท่นบวงสรวง รอยแยกแคบเล็กนั้นปรากฏลำแสงดุจปลาเวียนว่ายนับไม่ถ้วน เหมือนจันทราดวงใหม่ระเบิด แสงสว่างจ้า วนเวียนรอบตัวเจียงหลิน
หัวสิงโตที่แกะสลักบนด้ามดาบ ดวงตามืดหม่นสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ภายในเป็นเปลวเพลิงสีขาวซีดลุกโชน
ตรงด้ามดาบ เคราราชสีห์ปลิวไสว อาวุธเทพที่หลับใหลมาหลายพันปี ในที่สุดก็คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
เหมือนเปิดผนึกที่แตะต้องไม่ได้
เมื่อดึงดาบยาวนี้ เจียงหลินหน้าซีดขาวเล็กน้อย เขารู้สึกว่าแผ่นดินใต้เท้าตนกำลังสั่นสะเทือน ผนังหินโดยรอบสั่นไหว ตำหนักใหญ่สุสานเหนือศีรษะสั่นสะเทือนเช่นกัน น้ำทะเลไหลหลาก พุ่งชนผนังหิน ความรู้สึกกระเทือนส่งเข้ามา อากาศหน้าหลังซ้ายขวามีกลิ่นอายสังหารเก่าแก่ รวมอยู่ที่ดาบนี้ทั้งหมด
ดาบนี้กวัดแกว่งฟันลง!
……
เปรี้ยงๆ
สายฟ้าฉีกฟ้ายามราตรี
พวกนักล่าบนที่ราบสูงเทพสวรรค์ขมวดคิ้ว ตอนนี้หยุดการกระทำโดยไม่ได้นัดหมาย มองภูเขาแดงไกลๆ
กลางฟ้ายามราตรีมืดมิด
ดวงตายักษ์คู่หนึ่งลืมตาขึ้นอย่างเหี้ยมโหด
ลืมตาบนยอดภูเขาแดง
สายลมพัดผ่านดินแดน ใบหญ้าแกว่งไกว สายฝนมากมายถาโถมลงมา กระทบบ่าของผู้บำเพ็ญ แตกเป็นดอกฝนเล็ก ทหารเกราะของสามกรมถือดาบขี่หลังม้า ขมวดคิ้วขึ้น มองไปทางเขตต้องห้ามภูเขาแดง
ทหารม้าสิบกว่าคนที่สวมเกราะเบาอยู่ใต้บัญชากรมปราบปีศาจในสามกรม ผู้นำเป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ดูอายุไม่เกินยี่สิบปี คิ้วและดวงตาดูดีโดยธรรมชาติ มีกลิ่นอายไม่อยู่กับร่องกับรอยสามสี่ส่วน กลิ่นอายในตัวกลับเหมือนเจนจัดสงครามมานาน ตรงเอวห้อยดาบสั้นต่างกันสามเล่ม เขาถือพับไฟ เปลวไฟสีฟ้าสดแกว่งไกวดับและรวมขึ้นมาใหม่กลางพายุฝน ส่องสะท้อนระยะสิบจั้งรอบตัว เปลวเพลิงสีฟ้าเจอน้ำไม่ดับ เป็นวิชาผสมปัญจธาตุของสำนักเต๋า และยังมีวิชาลับ ‘คลุมไฟ’ ของฝ่ายพุทธ
มีคนตะโกนเสียงเบา
“ท่านทูต…”
ไม่มีการตอบ
ดังนั้นคนนั้นจึงเตือนอีกครั้งเบาๆ
“ท่านซ่ง…ท่านซ่ง”
บุรุษหนุ่มแซ่ซ่งถือพับไฟ หรี่ตาลง เขามองเห็นดวงตาเทพเจ้ากลางฟ้ายามราตรีและสายฟ้าคู่นั้นไกลๆ…นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตกใจที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้ แต่เพราะอยู่ห่างเกินไป ความตื่นตกใจในจิตวิญญาณจึงถูกลดลงไม่รู้กี่เท่า
เขาได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนพูดเสียงเบา “ที่นี่มีพลังปีศาจเคลื่อนไหว ไม่ใช่เผ่าปีศาจบุพกาล แต่เป็นผู้บำเพ็ญปีศาจใจกล้าใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ กลิ่นอายพลังถูกซ่อนไว้อย่างดียิ่ง ตอนข้ามดินแดนไม่ถูกสมบัติวิเศษของกรมปราบปีศาจ ‘ตราพลิกฟ้า’ พบ ผู้มีน่าจะมีวิชาลับบางอย่าง อีกทั้งน่าจะมีเพียงคนเดียว…กล้าข้ามปราการใต้ฟ้าเผ่าปีศาจมาที่ราบสูงเทพสวรรค์ ก็มีเพียงยอดปีศาจอัจฉริยะไม่กี่คนในใต้ฟ้าเผ่าปีศาจเท่านั้น”
ผู้ถือคำสั่งหนุ่มของกรมปราบปีศาจถือพับไฟ เปลวเพลิงลุกโชน ตัดสลับกับน้ำฝน ส่งเสียงดับดังซ่า ควันลอยโขมงขึ้น
“ดูท่าผู้บำเพ็ญปีศาจอัจฉริยะนั่นไปภูเขาแดงแล้ว…คนแซ่หลี่สองคนยังอยู่ในนั้น”
ท่านทูตหนุ่มแซ่ซ่งหรี่ดวงตาแคบยาว ก่อนเอ่ยราบเรียบ “พวกเจ้าขี่ไปภูเขาแดงก่อน ไปหนุนสององค์ชาย จะชักช้าไม่ได้ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี มีปัญหาอะไรก็ไม่ต้องกังวล ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ข้าจะใช้วิชาลับแจ้งทางเมืองหลวง หากเป็นยอดปีศาจใต้ฟ้าเผ่าปีศาจสร้างปรากฏการณ์ของภูเขาแดงจริงๆ…เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เหมือนว่าเกินกำลังกรมปราบปีศาจระดับทมิฬแล้ว”
หลายสิบคนที่ขี่หลังม้าไม่มีความสงสัยและกังวล กรมปราบปีศาจมีแบ่งเป็นระดับฟ้าดินทมิฬและอำพัน ปกติจากบนลงล่าง ฟ้าดินทมิฬ สอดคล้องกับหัวหน้ากรม รองหัวหน้ากรมและผู้ถือคำสั่งประจำการ กรมปราบปีศาจดูแลเรื่องเล็กใหญ่ของแดนอุดร ที่นี่ภูเขาสูงเส้นทางยาวไกล เมืองหลวงยกอำนาจให้ทั้งหมด ทุกอย่างจะเป็นไปตามคำสั่งของคนใหญ่คนโตทุกคนของกรมปราบปีศาจ มีน้อยมากที่จะเขียนรายงานเบื้องบน
ทหารม้าสิบกว่าคนขี่ม้าไปเร็วมาก ชักดาบออกมาเงียบๆ พวกเขาเองก็สัมผัสได้ถึงพลังปีศาจ พวกเขาขี่เส้นทางไปภูเขาแดงจนชินแล้ว ที่นั่นมีเผ่าปีศาจบุพกาลเยอะมาก ปกติจะไม่ชักดาบสังหาร แต่ครั้งนี้สถานการณ์ต่างออกไป พวกเขาเตรียมลงมือแล้ว สังหารเผ่าปีศาจบุพกาลที่ขวางหน้าทั้งหมด
ผู้บำเพ็ญกรมปราบปีศาจพวกนี้ แม้จะมีเพียงสิบกว่าตน แต่ก็ฝึกมาอย่างชำนาญ หากลงมือจะไม่ต้องกังวลอะไรเลย สามารถสร้างความเสียหายในพื้นที่นี้ได้น่าดูทีเดียว จัดอยู่ในระดับทมิฬ ช่างดูน่าคับอกคับใจยิ่งนัก
เพราะหัวหน้าของพวกเขา บุรุษหนุ่มแซ่ซ่งคนนี้ไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียง
บุรุษหนุ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในทันที เทียบกับคนใหญ่คนโตคนอื่นของกรมปราบปีศาจแล้ว โต้ตอบได้ไวมาก รองหัวหน้ากรมที่อยู่ใกล้ภูเขาแดงพวกนั้น ตอนนี้กำลังงุนงง ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น จิตใจยังจมอยู่กับดวงตามหึมาคู่นั้นบนยอดภูเขาแดง คิดว่าสององค์ชายสร้างปรากฏการณ์ภูเขาแดงขึ้น
ทูตผู้ถือคำสั่งแซ่ซ่งยืนอยู่กับที่ ไม่ได้มุ่งหน้าตามผู้ใต้บัญชาตนไป แต่หยิบยันต์หยกแผ่นหนึ่งมาจากกระเป๋าเอว
หากมีคนเห็นจะต้องตกใจมากแน่
ยันต์หยกนี้ล้ำค่ามาก ภายในแฝงแสงดาราและไอวิญญาณไว้มหาศาล หลังบีบแตกก็จะปกคลุมผู้ใช้ กลับไปในเขตแดนที่แน่นอน องค์ชายสามต้าสุยหลี่ไป๋หลินก็เคยใช้ยันต์ล้ำค่าเช่นนี้ที่หน้าอารามรู้กรรมภูเขาสู่ซาน
ทูตผู้ถือคำสั่งหนุ่มคนนี้ มียันต์หยกแบบนี้เกือบสิบแผ่นในกระเป๋าเอว หากเขายินดี ก็จะมีนอนในกระเป๋าเอวได้ร้อยแผ่น ต่อให้เป็นองค์ชายต้าสุย ในบางความหมาย ก็อาจจะไม่ได้ทรัพยากรมากเท่าเขา
เขามองผู้ใต้บัญชาตนที่ขี่ม้าไปไกลพวกนั้น หนึ่งในนั้นมีร่างหญิงสีแดงเด่นตามาก
เขาส่ายหน้า
บีบยันต์นี้แตก เปลวเพลิงห่อหุ้มบุรุษหนุ่มแซ่ซ่ง
เขามีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
มาที่ราบสูงเทพสวรรค์หลายปีแล้ว เขาไม่คิดกลับใต้ฟ้าต้าสุย เป็นคนเร่ร่อนอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่ไม่ดีอะไร แต่ในปรากฏการณ์เมื่อครู่นี้ เขารู้สึกได้ถึงคลื่นแปลกประหลาด…เขาเคยเห็นกระบี่โบราณเล่มหนึ่งในคัมภีร์เต๋าของมารดาตน ได้สัมผัสท่วงทำนองมหามรรคของกระบี่เซียนนั้น มันคล้ายกันมาก
เขาต้องนำคำพูดหลายอย่างกลับไปใต้ฟ้าต้าสุย
คำพูดพวกนี้ต้องออกจากปากเขาเท่านั้น เพราะมีเพียงเขาที่มีคุณสมบัติ
…………..
บนที่ราบไกลลิบ ทหารม้าสิบกว่าคนขี่ไปรวดเร็วยิ่ง
พวกเขาขมวดคิ้ว กระจกจับปีศาจในอกเสื้อสั่นไหวไม่สงบนิ่ง ภายในกระจกเป็นค่ายกลค้นหาพลังปีศาจ ตอนนี้ปั่นป่วน นั่นหมายความว่าเผ่าปีศาจบุพกาลบนภูเขาแดงเริ่มคลุ้มคลั่งกันแล้ว
เข้ามาในเส้นทางภูเขาแคบ วานรยักษ์ตัวหนึ่งกระโดดปีนหินผา ห้อยอยู่บนหินด้านหนึ่งของหุบเขา ฝ่าเท้าดูดผนังหิน สองมือปาหินยักษ์หลายพันชั่งสองก้อนติดต่อกัน จากนั้นออกแรงที่ฝ่าเท้า เหยียบแตกเป็นใยแมงมุมยักษ์ คำรามด้วยความโกรธพร้อมกับโผเข้ามา
สตรีสาวในทหารม้าสิบกว่าคนสวมเกราะแดง นำธนูเขามังกรออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ม้าดีขนแผงคอแดงยกเท้าส่งเสียงร้อง นางดึงเขามังกรด้วยกำลังน่าตกใจ ธนูบัวแดงสองดอกพุ่งออกไป คันศรส่งเสียงสั่นไหวดัง ‘ผุๆ’ หินยักษ์สองก้อนที่ปาลงมาพลันแตกกระจาย นางพลิกตัวโดดขึ้นไปบนอานม้าอย่างนุ่มนวล วางกล่องธนูลงบนหลังม้า พลันดีดตัวพุ่งออกไป
ทันทีที่หินยักษ์ระบิด หญิงสาวเหยียบหลังม้าเบาๆ พุ่งไปเหมือนลูกธนู เศษหินตรงหน้ากระจาย สองข้างซ้ายขวานางมีเสียงระเบิดดังสนั่น วานรขาวยักษ์ที่พุ่งมาทางกลุ่มทหารม้าเหล็กคำรามด้วยยความโกรธ กระแทกตัวลงมา หากโดนเข้านางคงกลายเป็นกองเศษเนื้อ
หญิงสาวชักสองดาบตรงเอวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เหยียบแขนวานร ขนวานรสีเงินแผ่ประกายสายฟ้า ส่องใบหน้าเฉยชาของนางระยิบระยับ นางพลิกสองดาบออกเป็นดอกไม้ดาบ พลันแทงเข้าที่แขนของวานรขาวดุจหินใหญ่ นางพุ่งทวนอากาศขึ้นไป เหยียบร่างเขาเล็กวานรขาว ดาบยาวสองเล่มลากเลือดเนื้อไปเหมือนไถนา เพียงลมหายใจเดียว เขาเล็กลูกหนึ่งกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง
หมอกฝนหุ้มฝุ่นฟุ้งกระจาย ถูกทหารม้าเหล็กทิ้งไว้ข้างหลัง แขนลอยสองข้างถูกฟันทิ้งกลางอากาศ เมื่อเสียงตกพื้นดังขึ้น หญิงที่เก็บดาบสองเล่มไม่ได้ปักดาบเข้าฝักในทันที แต่ก้มหน้าวิ่งไปกลางม้าเหล็ก รักษาความเร็วเท่ากับม้าแดงของตน สองมือลากดาบ
ปล่อยให้น้ำฝนกระทบหน้าดาบ แสงดาราแนบกับดาบ ระเหยเลือดสีแดงไปจนหมดแล้ว ขั้นตอนนี้กินเวลาไปราวสิบลมหายใจ ลมหายใจนางยังคงไม่สุด หลังหน้าดาบสะอาดแล้วถึงพลิกดาบปักเข้าฝัก ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งจับหลังม้าและพลิกตัวขึ้นไป
นางออกมือได้น่าตกใจอย่างยิ่ง
อีกสิบกว่าคนที่เหลือเห็นจนชินตาแล้ว บุรุษหนุ่มแซ่ซ่งไม่อยู่ ต่างก็ยอมรับให้นางนำกลุ่มเล็กในใจ
หญิงคนนี้อยู่กรมปราบปีศาจ แต่ไม่ขึ้นตรงกับใคร ขึ้นตรงแค่กับทูตผู้ถือคำสั่งแซ่ซ่ง
นี่คือเหตุผลที่พวกเขากล้ามุ่งหน้าไปภูเขาแดงอย่างไม่เกรงกลัว
ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มที่อัจฉริยะที่สุดในกรมปราบปีศาจ และไม่ใช่เพราะหญิงคนนี้มีกำลังรบคนเดียวเหนือกว่าคนส่วนใหญ่ในรุ่นเดียวกัน
แต่เพราะทูตผู้ถือคำสั่งท่านนั้นที่ไม่อยู่ข้างกายเขาตอนนี้เคยเอ่ยไว้ประโยคสั้นๆ
‘ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง’
หากมีคนรู้ว่าบุรุษหนุ่มแซ่ซ่งคนนั้น โยนตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มเล็กอักษรทมิฬกรมปราบปีศาจทิ้งไปข้างหลังแล้ว ยังมีตัวตนอะไรอีก ก็จะรู้ว่าคำพูดนั้นของเขามีน้ำหนักเพียงใด
ใต้ฟ้าต้าสุย สำนักเต๋าฝ่ายพุทธ แดนประจิมบูรพา ต่างฝ่ายต่างฝังรากลึก
หอสามวิสุทธิ์สำนักเต๋าอยู่แดนประจิม เขาวิญญาณฝ่ายพุทธอยู่แดนบูรพา แต่แดนประจิมดันมีวัดเสียงอัสนีเล็ก แดนบูรพายังมีอารามมารดาราชาประจิมบ่อสวรรค์ สองสำนักใหญ่นี้เกื้อกูลกัน ความรุ่งโรจน์ในโลกต่างแบ่งกันไปคนละครึ่ง
ใต้ฟ้าต้าสุยยังมียอดฝีมือที่ไม่ปรากฏอีกมากมาย
สำนักเต๋ามีเจ้าบ่อสวรรค์ เจ้าอารามแห่งอารามมารดาราชาประจิม คนหนึ่งสืบทอดมรดกของผู้สูงศักดิ์สวรรค์สองท่าน
เขาวิญญาณมีแขกฝ่ายพุทธ สืบทอดเปลวเพลิงนิพพานของพระโพธิสัตว์โบราณ หลังพิสูจน์มรรคผลแล้ว จักรพรรดิก็เชิญเข้าเมืองด้วยตนเอง
ยอดฝีมือนิพพานสองคนที่นั่งอยู่ทิศหนึ่งของใต้ฟ้าต้าสุย กระทืบเท้าทีก็สะเทือนเมฆลมแปดทิศนี้ จิตใจสงบนิ่งว่างเปล่า จุดนี้เป็นเรื่องดี มีคนใหญ่คนโตอ่อนโยนเพิ่มมาอีกสองคน ใต้ฟ้าก็จะลดคลื่นลมลงไปมาก ทำให้จักรพรรดิในเมืองหลวงสบายใจ
แต่กลับมีจุดเหมือนกันที่บังเอิญมาก…
คือพวกเขาปกป้องลูกของตัวเองมาก
และยังมีที่บังเอิญกว่า
พวกเขาให้กำเนิดบุตรคนเดียวกัน
ขอบเขตนิพพานสองคนแบ่งเป็นยอดฝีมือของสำนักเต๋าและฝ่ายพุทธ หลังจากครองคู่และกำเนิดทารกก็ไม่ได้ตามใจ และไม่ก่อความวุ่นวาย นี่เป็นเรื่องดีที่ทำให้คนใหญ่คนโตมากมายโล่งอก ทารกนั่นเริ่มเติบใหญ่ขึ้น ข้างกายมีหญิงรับใช้ติดตาม หลังเติบใหญ่ สองคนก็ไปแดนอุดรด้วยกัน
คนแซ่ซ่ง ไปกรมปราบปีศาจอย่างเงียบเชียบมาก เป็นทูตผู้ถือคำสั่งที่ไม่ใหญ่และไม่เล็ก
ข้างกายมีแม่นางน้อยหลับนอนเตียงเดียวกัน ถือดาบคู่ สวมเกราะแดง
……
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ทูตผู้ถือคำสั่งแซ่ซ่งกลับมาเมืองหลวง
ดังนั้นเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ภูเขาแดง จึงไปถึงในวังอย่างราบรื่นในเวลาครึ่งก้านธูป
………………………