เกิดใหม่เป็นไอหนุ่ม NTR ในเกมเอโรเกะ แต่ฉันไม่มีวันแย่งเธอมาเด็ดขาด - ตอนที่ 12.2 ปกป้องอายานะ
- Home
- เกิดใหม่เป็นไอหนุ่ม NTR ในเกมเอโรเกะ แต่ฉันไม่มีวันแย่งเธอมาเด็ดขาด
- ตอนที่ 12.2 ปกป้องอายานะ
เมื่ออายานะมาค้างที่บ้าน คำถามที่ว่าเธอจะนอนห้องไหนดูเหมือนจะไม่จำเป็นอีกต่อไป ตอนนี้ฉันเตรียมฟูกไว้ข้างเตียงนอนของฉัน และสร้างสภาพแวดล้อมให้อายานะนอนหลับได้สบาย
“ฉันอยากนอนกับโทวะคุง…”
“ฮ่าฮ่า ฉันก็คิดอย่างนั้นแหละ แต่วางไว้เผื่อก็ไม่เสียหายนิ ที่จริงเตียงฉันมันอาจจะแคบไปหน่อยสำหรับสองคนนะ”
“อืม…การนอนกอดโทวะคุงมันไม่อึนอัดเลยสักนิด และฉันก็ไม่อยากสละความสุขแบบนั้นไปง่ายๆด้วย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ขนาดนั้นเลยแหละ”
อายานะกำมือแน่นเพื่อเน้นย้ำความตั้งใจของเธอ และผมก็หัวเราะเบาๆ
“…ฟูมุ”
แต่ฉันกอดอกและคิดอยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันชวนเธอให้มาค้างที่ห้องของฉันตั้งแต่ฉันมาเป็นโทวะ และมันเป็นเรื่องจริงที่ตอนนี้ฉันรู้สึกตื่นเต้นและอยากอยู่ใกล้ชิดเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันกลับรู้สึกตื้นตันใจที่เธออยู่ที่นี้….ที่จริงตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะคิดแบบนี้ แต่ฉันก็รู้สึกมีความสุขจริงๆที่ได้สบตากับเธอ
“มีอะไรเหรอ?”
อายานะถามด้วยรอยยิ้มที่สื่อว่าการถูกมองอย่างตั้งใจแบบนี้ทำให้เธอมีความสุข
รอยยิ้มของเธอไม่เพียงแต่น่ารักเท่านั้นแต่ยังมีเสน่ห์เย้ายวนอีกด้วย ในชุดนอนสีชมพูของเธอ สัดส่วนที่งดงามเน้นย้ำเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ เผยให้เห็นด้านที่แตกต่างไปจากชุดนักเรียนหรือเสื้อผ้าลำลองที่เธอเคยใส่โดยสิ้นเชิง
“เปล่าหรอก…แต่ที่สำคัญกว่านั้นดูเหมือนเธอจะเข้ากับแม่ของฉันได้ดีจริงๆ นะ”
“โอ้…ใช่แล้ว พวกเราคุยถูกคอกันนะ”
แน่นอนว่าฉันไม่พลาดสีหน้าหดหู่ชั่วขณะของเธอ ฉันตบที่ว่างข้างๆเตียงแล้วบอกให้เธอมานั่งตรงนี้ และเธอก็ลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆฉันในทันที
“อายานะ”
“ค่ะ♪”
ฉันย้ายมือของฉันซึ่งในตอนแรกวางอยู่บนไหล่ของเธอ ไปที่หัวของเธอและลูบเบาๆ ขณะที่ฉันพูดต่อ
“ฉันพอเดาออกว่าแม่คุยอะไรกับเธอบ้างแหละ แม่เป็นห่วงเธอมาก เช่นเดียวกับฉันเพราะงั้น…อย่าลืมเรื่องนี้นะ”
“แน่นอน ฉันดีใจมากที่คุณแม่คิดแบบนั้น”
แม้เสียงของอายานะจะดูไม่สดใสเหมือนเคย แต่เธอก็ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่เรายังสบตากันอยู่ จู่ๆอายานะก็สะดุ้งเหมือนนึกอะไรออก แล้วเธอก็หยิบสมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนฟูกขึ้นมาเช็คดูอะไรสักอย่าง
“ฉันนึกว่าแม่อาจส่งข้อความหรืออะไรบางอย่างมาให้ฉัน แต่เหมือนจะไม่มีอะไรอย่างงั้นเลยล่ะ”
“….อา”
ปกติอายานะจะอยู่ที่บ้าน ดังนั้นการที่ไม่มีข้อความจากแม่ของเธออาจตีความได้ว่าเธอกำลังเมินอายานะอยู่ หรือตกใจกับสิ่งที่อายานะพูดอยู่ ตอนนี้เราไม่มีทางรู้ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ขณะที่อายานะกำลังดูโทรศัพท์ของเธออยู่ ก็มีสายเข้ามา
“อ่า…”
“ไม่รับเหรอ?”
“อืม………โอเคจ้ะ”
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรแบบนั้นในตอนแรก แต่ฉันก็อดเป็นกังวลไม่ได้ว่าใครกันที่โทรมา
ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะบอกว่าฉันไม่สนใจเลย แต่ฉันบอกกับตัวเองว่าไม่ต้องกังวล ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าฝ่ายที่โทรมาจะเป็นคนที่ฉันกังวลที่สุด
“มีอะไรเหรอ – ชูคุง?”
ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ปลายสายจะเป็นชู และบทสนทนาก็ดูเหมือนเป็นการพูดคุยแบบสบายๆกันตามปกติ
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้อายานะมีสีหน้าอย่างไรเพราะเธอหันหลังให้ฉัน แต่จากน้ำเสียงของเธอ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังเจอเรื่องที่ยุ่งยากเข้าแล้ว
“มีธุระอะไรหรือเปล่า? แค่อยากคุยเฉยๆเหรอ?…นี้ชูคุง ฉันคิดว่านายต้องเพลาๆเรื่องนี้หน่อยนะ”
ดูเหมือน ชูคงแค่อยากคุยกับอายานะเฉยๆ
ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ ฉันเลยไปหยิบมังงะมาอ่าน แต่ระหว่างนั้นเอง ฉันก็ได้เรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง
“…ฉันไม่ชอบแบบนี้เลยแฮะ”
แม้ว่าตอนแรกฉันจะบอกว่ารับโทรศัพท์ได้ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกเสียใจแล้ว
ฉันรู้สึกว่าตัวเองใจแคบกว่าที่คิดไว้มาก ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกขัดแย้งกันอยู่ในใจ ด้านหนึ่งคือไม่อยากให้อายานะคุยกับผู้ชายคนอื่นตอนที่อยู่กับฉัน และอีกด้านหนึ่งคือรู้สึกว่าชูกำลังมาก้าวก่ายเวลาของฉันกับอายานะ
“ฉันกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้เหรอ? ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ..…”
ตอนนี้ในหัวฉันมีเสียงของปีศาจและนางฟ้ากระซิบอยู่ข้างหูของฉัน พวกมันเถียงกันอยู่ภายในตัวฉัน และฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะเลือกตอบสนองต่อเสียงกระซิบของปีศาจ
ฉันลุกขึ้นแล้วเดินไปหาอายานะ แล้วกอดเธอจากข้างหลังขณะที่เรานั่งอยู่บนฟูก
“อะ!?”
“…”
อายานะสะดุ้งตัวด้วยความตกใจ แต่สักพักเธอก็ผ่อนคลายลง
เมื่อฉันอยู่ใกล้เธอแบบนี้ แม้จะได้ยินเสียงของชูลอดผ่านโทรศัพท์เบาๆ แต่ฉันก็ไม่สนใจปล่อยให้เสียงนั้นเลือนหายไป ขณะที่ฉันกอดอายานะไว้แน่น
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แล้ว…เราจะคุยกันต่อไหม?”
อายานะแม้จะประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้บ่นหรือคัดค้านอะไร
“คืนนี้ฉันยังไม่นอนใช่มั้ย? อืม….การคุยโทรศัพท์นานๆมันเหนื่อยเหมือนกันแล้วอีกอย่างฉันอยากจะพักผ่อนก่อนนอนหนะ”
ฉันแน่ใจว่าชูไม่ได้คิดว่าอายานะอยู่บ้านฉันด้วยซ้ำ ฉันไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดเดียวที่ได้ใกล้ชิดกับอายานะแบบนี้ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ ขณะที่เธออยู่ในอ้อมแขนของฉัน
“อืม…”
เสียงของอายานะที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เล็ดลอดออกมา ขณะที่เธอดูเหมือนจะเพลิดเพลินกับการสัมผัสของฉันจากด้านหลัง
ขณะที่ฉันสัมผัสเธออย่างยั่วยวนจากด้านหลัง ฉันก็นึกถึงฉากที่คล้ายๆกันจากในเกมส์ได้ แต่ฉันพยายามนึกอยู่ว่ามันคือเกมส์อะไร และในตอนนั้นอายานะก็บอกราตรีสวัสดิ์ชูและตัดสายไป
“อายานะ?”
“พอแล้ว! โทวะคุง! ฉันทนไม่ไหวแล้ว!”
จากนั้นเธอก็ทำให้ฉันประหลาดใจด้วยการโน้มตัวเข้ามาจูบฉัน จูบแรกของเธอเริ่มอย่างอ่อนโยนแทบจะเหมือนการจุ๊บ แต่มันค่อยๆเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ลิ้นของเราประสานกันอย่างรวดเร็ว
เมื่อริมฝีปากของเราแยกออกจากกัน น้ำลายสีเงินก็เชื่อมต่อพวกเราอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะขาดออก
“ทำแบบนี้ระหว่างคุยโทรศัพท์…โทวะคุงนี้เป็นเด็กดื้อจริงๆเลย”
“…แล้วมันยังไงล่ะ”
“……..โทวะคุง?”
“ตอนนี้ มีแค่เราสองคน…เพราะงั้นแหละ ฉันถึงอยากให้เธอให้ความสำคัญกับฉันคนเดียว”
ฉันตอบด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและจริงใจ จากนั้นอายานะก็เอามือปิดปาก และหัวเราะคิกคัก
เสียงหัวเราะของเธอไม่ได้มีเจตนาล้อเลียน แต่มันคือสายตาที่มองมาที่ฉันเพียงคนเดียว ถึงฉันจะเป็นโทวะ แต่ก็มีอีกคนนึงอยู่ข้างในตัวฉัน…ถึงอย่างนั้น อายานะก็ไม่เคยสงสัยเลยว่าฉันคือโทวะ
(…ฉันจะอยู่ที่นี่ตลอดไปได้ไหม…หรือฉันจะหายไปหลังจากทำตามวัตถุประสงค์บางอย่างของโลกนี้เสร็จ.…?)
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกหนาวขึ้นมาทันที
ตอนนี้ฉันคือ ยูกิชิโระ โทวะ และฉันเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ฉันมีความรู้สึกมั่นใจว่าตัวเองได้ถือกำเนิดขึ้นในโลกใบนี้ในฐานะตัวฉันเอง อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ฉันได้สัมผัสกับการกลับชาติมาเกิดใหม่ ฉันเคยเห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว –
“โทวะคุง?”
ฉันวางมือไว้บนหัวของอายานะ แล้วดึงเธอเข้ามาใกล้ กอดเธอไว้จากด้านหลัง
ฉันไม่อยากปล่อยความอบอุ่นนี้ไป ไม่อยากห่างจากผู้หญิงคนนี้ ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เธอเป็นคนที่สำคัญสำหรับฉัน และเธอไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่อยู่ภายในเกมส์เท่านั้น
“…โทวะคุง รู้ไหม นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เธอต้องการอยู่กับฉันขนาดนี้”
“เอ๊ะ?”
ฉันมองอายานะด้วยความประหลาดใจ
เธอวางมือไว้บนแก้มของฉันแล้วพูดต่อ
“โทวะคุง ฉันรักเธอมาก ฉันรักเธอมากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอ และฉันก็รักโทวะคุงจริงๆ”
จากนั้นเธอก็จูบฉันอีกครั้ง และฉันก็ผลักเธอลงฟูก
พวกเราอยู่บนฟูกสีขาวสะอาด ฉันจินตนาการได้อย่างง่ายดายเลยว่าฟูกนี้จะเป็นอย่างไรในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็โอบกอดเธออีกครั้ง อายานะกางแขนออก ดวงตาของเธอดูชื้นเล็กน้อย และพวกเราก็ได้แบ่งปันช่วงเวลาที่ไม่อาจลืมเลือนร่วมกัน
อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…….
“ดูกี่ทีๆเธอก็น่ารักจริงแฮะ…”
ฉันเฝ้าดูใบหน้าที่แสนน่ารักของเธอขณะที่เธอซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม
หลังจากการเผชิญหน้าอันเร่าร้อนของพวกเรา เธอก็หลับไปในไม่ช้า และดูเหมือนความตั้งใจที่เธอจะนอนบนเตียงกับฉันจะหายไปแล้วด้วย
“เฮ่อ คงไม่ดราม่าหรอกมั้ง?”
หลังจากหัวเราะกับตัวเอง ฉันก็หันกลับไปมองวิวนอกหน้าต่าง
สิ่งเดียวที่มองเห็นจากตรงนี้ คือ บ้านข้างๆที่ปิดไฟหมดแล้ว และท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว
“….”
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ฉันจ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ฉันรู้สึกว่าอารมณ์ของฉันเริ่มสงบลง
หลังจากช่วงเวลาอันเร่าร้อนของฉันกับอายานะ ฉันพบตัวเองกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างชมวิวทิวทัศน์ที่แสนเรียบง่าย ประกอบไปกับบ้านข้างเคียงที่ปิดไฟหมดแล้วและท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว
บรรยากาศอันเงียบสงบภายนอกทำให้ฉันรู้ว่าความกังวลของตัวเองนั้นเล็กน้อยแค่ไหน มันอาจจะเล็กน้อยเสียจนไม่น่าสนใจด้วยซ้ำ แต่ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถละเลยความกังวลเหล่านั้นได้ ฉันต้องจัดการกับมัน
“อายานะ… ฉันก็รักเธอเหมือนกัน นั่นแหละทำไมฉันถึงอยากปกป้องเธอ ในฐานะโทวะและในฐานะตัวฉันเอง ฉันอยากจะเห็นรอยยิ้มของเธอไปอีกนานๆ”
ฉันหยิบสมุดโน้ตที่ติดตัวอยู่ขึ้นมา ซึ่งมันเป็นเล่มเดียวกับที่ฉันบันทึกเหตุการณ์และความคิดต่างๆตั้งแต่ตอนที่ฉันจำตัวเองในโลกก่อนได้ มันเหมือนกับไดอารี่ของพวกเบียวที่คนอื่นอ่านไม่รู้เรื่อง
ฉันหยิบปากกาขึ้นมา จดบันทึกสั้นๆสองสามคำ: “ปกป้องอายานะ เพราะฉันอยากเห็นรอยยิ้มของเธอตลอดไป”
ฉันปิดสมุดโน้ตแล้วขยับเข้าไปใกล้ๆอายานะ ลูบหัวเธอเบาๆ เธอขยุกยิกอย่างสนุกสนาน ปฏิกิริยาของเธอชั่งน่ารักเหลือเกิน มันทำให้ฉันอยากมองเธอแบบนี้ตลอดไปเหลือเกิน
ในตอนนั้น ฉันรู้สึกปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะอยู่กับเธอ การมีเธออยู่ข้างฉัน มันมีความหมายกับฉันมากมาย จนฉันไม่อาจจะนึกภาพชีวิตตัวเองที่ไม่มีเธอได้เลย
“ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าตัวเองอาจจะหายไปสักวัน…แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็อยากจะอยู่กับเธอ”
ฉันขอยอมรับอย่างสุดหัวใจ
มีอีกอย่างนึงที่ฉันคิดถึงขณะที่กำลังมีความสัมพันธ์กับอายานะ – ความรู้สึกที่ฉันเกือบลืมไปแล้ว มันรู้สึกเหมือนกับว่าบางสิ่งภายในตัวฉันกำลังจะถูกปลดล็อค เหมือนประตูที่ปิดตาย กำลังจะเปิดออก
“ฟุ… ฉันว่าฉันนอนต่ออีกนิดดีกว่า…..”
แต่ทว่า จังหวะที่ฉันกำลังจะพูดประโยคต่อไป อาการปวดหัวอย่างรุนแรงก็กําเริบอีกครั้ง
“….?!”
ฉันกุมหัวตัวเองไว้ ขณะที่อาการปวดหัวเหมือนมีประกายไฟสว่างจ้าแล่นผ่านต่อหน้าฉัน แม้จะเจ็บปวด แต่ฉันก็เห็นภาพแปลกประหลาดบางอย่างตรงหน้า
ผู้หญิงสวมฮูทสีดำ ซึ่งเป็นคนที่คาดไม่ถึง กำลังยืนอยู่ข้างๆอายานะ จ้องมองมาที่ฉันขณะที่ฉันกำลังลูบหัวอายานะ
“เธอคือ……”
ท่ามกลางความเจ็บปวดแสนสาหัสภายในหัว ฉันก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า “นี่คือผีเหรอ?” อาการปวดตุ๊บๆที่หัวเริ่มทุเลาลง ทำให้ฉันสามารถโฟกัสไปที่บุคคลลึกลับตรงหน้าได้
ขณะที่อาการปวดลดลง ฉันมองไปที่ใบหน้าของเธอ ที่ยังคงซ่อนอยู่ใต้ฮูทสีดำ และสิ่งที่ฉันเห็น ทำให้ฉันตกตะลึงอย่างสุดขีด
“…อายานะ….?”
ใช่… ใบหน้าที่ฉันเห็นใต้ฮูทนั้นคือใบหน้าของอายานะ
รูปลักษณ์ของเธอกับอายานะที่นอนอยู่ข้างฉันนั้นแทบจะเหมือนกัน แต่ดวงตาของเธอนั้นแตกต่างกัน แทนที่จะเป็นดวงตาที่สดใสและมีชีวิตชีวาเหมือนดวงตาของอายานะที่กำลังนอนหลับอยู่ แต่ดวงตานี้กลับดำสนิท เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มันเป็นภาพที่น่าเศร้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อฉันยื่นมือออกไปเพื่อที่จะสัมผัสร่างที่อยู่ใต้ฮูทนั้น ฉันก็ถูกดึงกลับสู่ความเป็นจริง
“ฮะ… ?”
มือของฉันที่เอื้อมออกไป ตรงนั้นมีแต่ความว่างเปล่าไม่มีอะไรที่นั่น มันเป็นเพียงห้องธรรมดาของฉัน ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีอายานะที่สวมฮูทสีดำ
ฉันสงสัยว่าตัวเองอาจจะเหนื่อยมากกว่าที่คิด แต่ทันใดนั้น ฉันก็คิดอะไรออก
“ฉันรู้จักเธอ… ฉันเคยเห็นอายานะคนนั้นมาก่อน… ?”
ขณะที่ความคิดนี้ชัดเจนขึ้น ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างในหัวกำลังเข้าที่ ร่างที่ฉันเห็นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ….มันกระตุ้นความทรงจำบางอย่างภายในตัวฉัน มันเป็นกุญแจสู่ส่วนหนึ่งของอดีต ชิ้นส่วนของปริศนาที่ฉันลืมไป
“โทวะ…คุง”
ตอนนั้นฉันได้ยินชื่อของตัวเอง และเมื่อฉันมองไปยังต้นเสียง ก็คืออายานะนั่นเอง แต่ว่าอายานะคนนี้กำลังนอนน้ำลายไหลยืดอยู่ ขณะที่เธอนอนยิ้มอย่างมีความสุข
ภาพของเธอที่แตกต่างจากตอนปกติ ทำให้ฉันยิ้มเจื่อน ฉันเช็ดน้ำลายให้อายานะ แล้วปิดไฟในห้อง
(บางที…บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ฉันจำได้…แต่เหมือนมันยังขาดอีกนิดเดียว ฉันก็จะสามารถนึกมันออก)
ก่อนที่ฉันจะฟื้นความทรงจำกลับมา ยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องคิด เช่น ทำไมแม่ของอายานะถึงดูเหมือนจะเกลียดฉันมากขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าอายานะอยู่กับฉัน ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันสามารถผ่านเรื่องทั้งหมดนี้ไปได้
ฉันหลับตา เตรียมตัวนอน และทบทวนเรื่องราวต่างๆในวันนี้ แต่แล้ว…
[โทวะคุง]
“?!”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในใจฉัน
เสียงนั้นเรียกชื่อฉัน แต่ว่าอายานะยังคงหลับอยู่ และฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไร เสียงนั้นฟังดูเศร้าและสิ้นหวัง มันทำให้ฉันอยากช่วย แต่ฉันไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง
“…ทำไม? ทำไมถึงเรียกชื่อฉัน…”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเศร้า มันแทบจะทำให้ฉันอยากจะถามว่า “ทำไม?” มันฟังดูเจ็บปวด
ฉันไม่สามารถปล่อยมันไว้แบบนั้นได้ ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง แต่ฉันไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอะไร ความกังวลและความกระวนกระวายปะปนกัน ทำให้หัวใจฉันเต้นเร็วขึ้นและมันทำให้ฉันหายใจไม่ทัน มันอึดอัดมากจนอยากจะตะโกนขอความช่วยเหลือ…
“ฮ่า…ฮ่า…”
แต่มันก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ถึงจะแค่ไม่กี่นาทีแต่ตัวฉันก็โชกไปด้วยเหงื่อ ฉันหวาดกลัวและต้องการความช่วยเหลือ และฉันแทบจะทนไม่ไหว
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกนั้นก็เลือนหายไปในไม่ช้า ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง และควบคุมการหายใจโดยหวังว่าจะหลับต่อได้
ขณะที่ฉันนอนนิ่งๆ ความง่วงเริ่มเข้ามาครอบงำฉันทีละน้อย แต่ความรู้สึกไม่สบายใจไม่เคยหายไปเลย
เช้าวันต่อมา การปลุกของฉันไม่ได้มาจากนาฬิกาแต่คือจูบจากอายานะ ฉันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนตัวฉัน ขณะที่ฉันต่อสู้กับความง่วง ฉันก็ลืมตาขึ้นมาพบกับใบหน้าของอายานะอยู่ตรงหน้าฉันพอดี มันเป็นแววตาที่แสนซุกซนแบบ “ว้าย…นายเจอฉันแล้ว” ขณะที่เธอแลบลิ้นออกมา และเธอก็โน้มตัวเข้ามาจูบกัน ถ้าเป็นวันหยุด ฉันอาจจะตื่นตัวมากจากการปลุกที่แสนวิเศษแบบนี้
“อรุณสวัสดิ์อายานะ ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลยนะรู้ไหม?”
“อรุณสวัสดิ์โทวะคุง ใช่จ้ะตอนนี้ยังเช้าอยู่ แต่ถ้าเราตื่นเช้าเราจะเรามีเวลาเหลือเฟือใช่ไหมล่ะ?”
อย่างที่อายานะพูด จริงๆแล้วเรามีเวลามากมาย แต่ฉันก็ยังรู้สึกอยากจะกลับไปนอนต่ออีกสักพัก เพราะตอนนี้มันเช้ามาก
“เอาล่ะ ฉันเดาว่าฉันคงขอนอนต่อไม่ได้สินะ”
“ฟุฟุ รีบไปล้างหน้าเถอะโทวะคุง วันนี้ฉันจะทำอาหารเช้าแทนอาเคมิซังด้วยนะ! ฉันจะทำสุดฝีมือเลยล่ะ!!”
อายานะที่ยังคงสวมชุดนอนอยู่ ก็ออกจากห้องไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่
“…อ๋อ ใช่พอคิดดูอีกที ฉันไม่จำเป็นต้องกลับบ้านจริงๆหรอก ยกเว้นว่าฉันจะกลับไปเอาชุดนักเรียนนะ”
เดิมทีฉันตั้งใจจะพาเธอกลับไปในตอนเช้า แต่เมื่อพิจารณาว่าเธอก็มีเสื้อผ้าและของใช้บางอย่างอยู่ที่นี่ ดังนั้นการส่งเธอกลับบ้านก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร
อย่างไรก็ตาม อายานะบอกว่าเธอวางแผนจะกลับไปหลังเลิกเรียนวันนี้ ที่จริงฉันก็ไม่อยากให้แม่ของเธอกังวลด้วยแหละ
“…”
ฉันพยายามจะลุกขึ้น แต่ฉันก็เซเล็กน้อย มันไม่ใช่เพราะฉันเป็นหวัดหรือป่วยอะไร แต่เพราะเรื่องเมื่อคืนมันทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ
“…ทำไมกันนะ?”
อย่างไรก็ตาม มันเป็นแค่อาการเล็กๆน้อยๆ เดียวฉันก็เลิกกังวลเกี่ยวกับมันเองแหละ โชคดีที่ทั้งอายานะและแม่ของฉันไม่ได้สังเกตเห็นอาการของฉัน
หลังจากเพลิดเพลินกับอาหารเช้าแสนอร่อยที่อายานะเตรียมไว้แล้ว เราก็ออกเดินทางไปโรงเรียนด้วยกันโดยไม่ได้นัดเจอกับชู อายานะยังคงเล่าว่าเธอสนุกแค่ไหนระหว่างมาพักค้างคืน
แต่ทว่า ตอนนี้ฉันยังคงหมกมุ่นอยู่กับเหตุการณ์เมื่อคืนอยู่
(เสียงนั้น… มันคืออะไรกันแน่?)
มันเป็นเสียงที่ฟังดูเหมือนอายานะ แต่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความทรมาน เพราะงั้นฉันเลยหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้เลย
ขณะที่เรากำลังเดินไปโรงเรียน หัวของฉันก็เต็มไปด้วยคำถาม ฉันจมอยู่กับความคิดจนแทบจะไม่สังเกตเห็นอายานะที่อยู่ข้างๆฉันเลย
“อรุณสวัสดิ์ อายานะ!”
“อรุณสวัสดิ์ โอโตนาชิซัง!”
หลังจากทักทายเพื่อนๆฉันก็มองไปทีแผ่นหลังของอายานะ ขณะที่เธอมุ่งหน้าไปหาเพื่อนๆ โดยยังไม่รู้ตัวว่าฉันกำลังเหม่ออยู่ แม้ว่าชูกับไอซากะจะพยายามชวนฉันคุย แต่ฉันก็ยังคงคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่
โฮมรูมตอนเช้าสิ้นสุดลงและคาบแรกก็เริ่มขึ้น ฉันมองไปที่สมุดอย่างเลื่อนลอย หน้ากระดาษเต็มไปด้วยข้อความอะไรไม่รู้เต็มไปหมด
“…FD?”
ฉันเอียงคอมองตัวอักษรสองตัวที่เขียนลงในสมุดโดยไม่รู้ตัว
ฉันไม่เข้าใจว่าตัวอักษรเหล่านี้หมายถึงอะไร หรือทำไมฉันถึงเขียนมันลงไปในสมุด อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวอักษรเหล่านี้อาจมีความหมายสำคัญบางอย่าง
ดังนั้น ฉันจึงจำมันไว้
จากนั้น ขณะที่ฉันมองขึ้นไปที่กระดาน เสียงบางอย่างก็ดังก้องขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเสียงเดียวกับเมื่อคืน
[ขอโทษนะ ที่จริงนายไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย นายแค่บังเอิญเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์นี้แค่นั้นเอง แต่มันสำคัญอะไรล่ะ? ตอนนี้นายก็ดูสบายดีนิ? ลองพยายามอีกสักนิดสิ เพราะถ้านายทำแบบนั้น คนที่เคยชอบนายอาจจะกลับมาก็ได้นะ]
มันไม่ใช่แค่ประโยคสั่นๆเหมือนที่ผ่านมา แต่มันเป็นประโยคเสียงที่ยาวพอตัวเลย
ขณะที่ฉันได้ยินเสียงนั้น ฉันก็ปวดหัวอย่างรุนแรง ทำให้ฉันต้องกุมหัวตัวเองตามสัญชาตญาณ
ฉันอยากที่จะเตะโต๊ะไปให้ไกลๆ แต่ก็สามารถยับยั้งตัวเองไว้ได้
น่าเสียดายที่สภาพของฉันในขณะนี้ถูกเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งติดกันสังเกตเห็น
“ยูกิชิโระคุง? นายสบายดีใช่ไหม?”
เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ฉันยืนยันกับเขาว่าฉันสบายดี อาการปวดหัวทุเลาลงแล้ว แต่ความรู้สึกไม่สบายใจยังคงอยู่ มันไม่ใช่อาการคลื่นไส้ แต่เป็นความรู้สึกแปลกๆ เหมือนฉันลอยอยู่กลางอากาศ ฉันรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย แต่ฉันก็ยังทนได้อยู่
“ฟู่…”
ฉันหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ และความรู้สึกไม่สบายก็ค่อยๆลดลง
(เยี่ยม มันเริ่มดีขึ้นแล้ว…เอาล่ะ ฉันว่าฉันสบายดีแล้ว)
ฉันบ่นพึมพำกับตัวเอง รู้สึกหงุดหงิดกับการที่ฉันเกือบจะระเบิดอารมณ์ก่อนหน้านี้
แต่ไม่นาน ฉันก็กลับมาเจอกับเหตุการณ์นั้นซ้ำอีกครั้ง ทันทีที่เริ่มพักเบรค ฉันก็ทรุดตัวลงบนโต๊ะ อาการปวดหัวหายไปแล้วแต่ความรู้สึกไม่สบายใจก็กลับมาอีก
[ขอโทษนะ ที่จริงนายไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย นายแค่บังเอิญเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์นี้แค่นั้นเอง แต่มันสำคัญอะไรล่ะ? ตอนนี้นายก็ดูสบายดีนิ? ลองพยายามอีกสักนิดสิ เพราะถ้านายทำแบบนั้น คนที่เคยชอบนายอาจจะกลับมาก็ได้นะ]
และเสียงนั้นก็กลับมาอีกแล้ว
ไม่ใช่แค่เสียงเท่านั้น แม้ว่าฉันจะปิดตา ภาพหลอนก็ยังปรากฏขึ้นมา ฉันรู้สึกสับสนกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
ฉันรู้สึกหงุดหงิดไม่เพียงเพราะฉันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังเป็นเพราะฉันมีความรู้สึกแวบๆ ว่ามีบางอย่างที่ฉันควรจะจำได้
“…บัดซบ”
ฉันสบถออกมาเบาๆ หวังว่าจะไม่มีใครได้ยินมันนะ
พักเบรคมีเพียงสิบนาทีเท่านั้น ฉันรู้ว่าต้องเตรียมตัวสำหรับคาบเรียนต่อไป ดังนั้นฉันจึงหยิบหนังสือเรียนออกมา โดยหวังว่ามันจะดึงสมาธิของฉันกลับมาได้
แต่แล้วเสียงนั้นก็กลับมาอีก
[บางทีฉันอาจจะเป็นคน…ที่พรากเธอมาจากฉันเอง]
คราวนี้ไม่ใช่เสียงของอายานะแล้ว มันจะเป็นเสียงของ…….ฉันเองเหรอ?
ฉันรีบเอามือกุมหัวของตัวเองโดยสัญชาตญาณ เช่นเดียวกับที่เคยทำก่อนหน้านี้ ห้องเรียนค่อนข้างเสียงดัง แต่คนที่อยู่ใกล้ๆฉัน ก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับฉัน
“นี่ ยูกิชิโระ ฉันดูนายมาสักพักแล้วนะ นายไหวปะเนี่ย?”
เหมือนเพื่อนร่วมชั้นที่สังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆของฉันในคาบเรียนที่แล้ว ไอซากะและ…..
“โทวะคุง? เป็นอะไรเหรอ…?”
ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งสองคนยืนอยู่ใกล้ๆ สงใสฉันคงหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองมากเกินไปแน่
เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆฉัน ใบหน้าของอายานะและไอซากะก็เปลี่ยนไป ราวกับว่าพวกเขาเปลี่ยนรูปลักษณ์…การเปลี่ยนแปลงของอายานะนั้นเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษ
“เฮ้ย หน้านายซีดไปหมดเลย!”
“ไปห้องพยาบาลกันเถอะ!”
ทั้งสองคนพยายามจะพาฉันไปห้องพยาบาล แต่เมื่อฉันกำลังจะบอกว่าฉันไม่เป็นไร คำพูดของฉันกลับติดอยู่ในลำคอ
ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดว่าถ้าสภาพของฉันในตอนนี้ทำให้ทุกคนเป็นห่วง สู้ไปนอนห้องพยาบาลให้ทุคนสบายใจดีกว่า
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจและพูดว่า “ไปห้องพยาบาลกันเถอะ”
“ไอซากะคุง เดียวฉันพาโทวะคุงไปเองนะ”
“เอ่อ จะดีกว่าไหมถ้าให้ผู้ชายช่วย—”
“แค่ฉันก็พอ…โอเคไหม?”
“ค ครับ!”
ฉันไม่รู้ว่าอายานะทำหน้าอย่างไรตอนมองไปที่ไอซากะ แต่ไอซากะดูเหมือนจะเชื่อฟังเธออย่างน่าประหลาด
ท่าทางที่ตั้งตรงและไม่ขยับเขยื้อนของเขา ทำให้ฉันนึกถึงคนที่เคยผ่านการฝึกอบรมในกองกำลังป้องกันตัวเอง…เอาล่ะ ฉันไม่เคยมีประสบการณ์กับกองกำลังป้องกันตัวเองมาก่อน โอเคไหม แต่ฉันก็พอจะนึกภาพออก
อายานะรีบเข้ามายืนข้างฉันและพยุงฉันโดยโอบแขนของเธอไว้รอบไหล่ของฉัน
“ไอซากะคุง ช่วยแจ้งอาจารย์หน่อยนะว่าฉันอาจจะมาสายนิดหน่อย”
“รับทราบครับ!”
ฉันสงสัยจังว่าอายานะมองไอซากะแบบไหน…..
หลังจากนั้น ขณะที่ฉันกำลังจะออกจากห้องเรียนกับอายานะ ฉันอยากจะบอกว่าฉันไม่เป็นไรและไม่ต้องการความช่วยเหลือทั้งหมดนี้ แต่เธอก็พูดแทรกฉันก่อน
“ฉันจะไม่ฟังความเห็นของโทวะคุงหรอกนะ ฉันจะไปห้องพยาบาลกับนาย”
ด้วยคำพูดของเธอ ฉันเข้าใจและพยักหน้าราวกับยอมแพ้
“ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้า”
พวกเราเดินไปที่ห้องพยาบาลด้วยกัน ท่ามกลางสายตาสงสัยของคนรอบข้าง ฉันได้รายงานอาการของตัวเองกับอาจารย์ห้องพยาบาลทราบ ก่อนที่จะไปนอนบนเตียง
อาจารย์ยื่นปรอทวัดไข้ให้ฉัน ฉันคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นหวัด แต่ปรากฎว่าอุณหภูมิของฉันปกติ อาจารย์เลยบอกว่าบางทีฉันอาจจะแค่เหนื่อย อาจารย์เลยแนะนำให้ฉันงีบสักพัก ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจพักผ่อนโดยไม่ลังเล
อายานะวางเก้าอี้ไว้ข้างๆเตียงของฉันและมองมาที่ฉันอย่างตั้งใจ
อย่างที่อายานะบอกไว้กับไอซากะ เธอไม่ได้กลับไปที่ห้องเรียนทันที แต่ดูเหมือนเธอจะอยู่เฝ้าฉัน
“ขอโทษนะ อายานะ ฉันสร้างความเดือดร้อนให้เธอจนได้”
“อย่าพูดอย่างงั้นเลย ฉันทำอะไรก็ได้เพื่อโทวะคุงอยู่แล้ว”
คำพูดเหล่านั้นเต็มไปด้วยความรักของอายานะอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันก็เผยให้เห็นถึงจุดอ่อนบางประการเช่นกัน
เธอดูเหมือนจะทำตัวสงบ แต่เธอแค่กังวงเกี่ยวกับสภาพที่ผิดปกติของฉันจริงๆ หรือเปล่า?
ฉันคิดอย่างนั้น แต่สายตาอันอ่อนโยนของอายานะก็ยังคงเหมือนเดิม และความอบอุ่นของมือเธอ ขณะที่เธอเอื้อมมือมาจับมือฉันนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง
“…”
เมื่อเธอทำแบบนี้ ฉันก็รู้สึกสบายใจ…แต่มันเป็นความจริงที่มนุษย์มักจะรู้สึกเปราะบางทางอารมณ์เล็กน้อยเมื่อสภาพร่างกายของพวกเขาอ่อนแอลง ในขณะที่ฉันจับมือของอายานะไว้แน่น ฉันก็เอ่ยบางสิ่งที่ตัวเองยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันออกไป
“อายานะ ตอนนี้เธอ…มีความสุขอย่างงั้นเหรอ?”
“เอ๊ะ?”
มีความสุข…ทำไมฉันถึงถามเธอแบบนั้นล่ะ เธอเพิ่งยิ้มเมื่อกี้เอง ฉันบอกได้เลยว่าเธอกำลังแบกรับอะไรบางอย่างอยู่ แต่อายานะก็ยิ้มอยู่ตรงหน้าฉัน ถึงแม้ฉันจะรู้ว่าคำถามนี้ดูไม่มีความหมาย แต่ฉันก็ยังคงถามมันออกไป
“แน่นอนสิ แค่อยู่ข้างโทวะคุง แค่นั้นก็ทำให้ฉันมีความสุขแล้ว”
เธอพูดสิ่งนี้ออกมาพร้อมรอยยิ้มที่ดูเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจ
แน่นอน ความสุขของเธอก็เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขเช่นกัน…
เมื่อพิจารณาถึงคำพูดที่เธอเพิ่งพูดไป ฉันก็ถามเธอกลับ
“อายานะ แล้วความสุขของตัวเองล่ะ? ถ้าเธอไม่มีฉัน เธอจะบอกว่าตัวเองมีความสุขได้ไหม?”
“เอ่อ…นั่นมัน…”
แย่ละ…เปลือกตามันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงเวลาที่ฉันหลับไป อายานะก็ไม่ได้ตอบคำถามของฉัน
ฉันไม่รู้ว่าเธอแสดงสีหน้าแบบไหนหรือเธอจะตอบอะไร
“….ความสุขของฉันมันไม่สำคัญสำหรับฉัน ฉันเป็นของโทวะคุง…โทวะคุงคนเดียว ความสุขของฉันคือการที่โทวะคุงมีความสุข แล้วมันไม่เป็นไรเหรอ? ไม่หรอก….เพราะนั่นคือจุดประสงค์ของฉันในการมีชีวิตอยู่”