เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 591 เฉียวเหลียนเฉิงงุนงงไปหมดเมื่อเห็นรถแท็กซี่
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 591 เฉียวเหลียนเฉิงงุนงงไปหมดเมื่อเห็นรถแท็กซี่
บทที่ 591 เฉียวเหลียนเฉิงงุนงงไปหมดเมื่อเห็นรถแท็กซี่
ไห่หรงเทียนเพิ่งกลับมา แต่ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ หลังจากเลิกงาน เขาจอดรถอยู่หน้าประตูสักพัก
แล้วเขาก็เห็นเจียงหว่านกับเฉียวเหลียนเฉิงเดินออกมา
ทว่ายังมีมู่เหย่เดินตามอยู่ด้านหลังพวกเขาอีกด้วย
ไห่หรงเทียนจึงยังไม่ออกมา รอจนพวกเขากลับไปแล้ว เขาจึงลงจากรถ
“มู่เหย่!”
มู่เหย่หันขวับไปหาไห่หรงเทียน หัวใจของเขากระตุกไหวเล็กน้อย ขณะเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม
“คุณอาไห่มายืนทำอะไรตรงนี้ครับ ถึงบ้านแล้วทำไมไม่เข้าไปข้างใน?”
ไห่หรงเทียนพยักหน้า “เพิ่งลงจากรถน่ะ”
พูดแล้วก็โบกมือให้คนขับรถออกไป
หลังจากนั้น เขาก็เดินไปพร้อมกับมู่เหย่
ไห่หรงเทียนถามอย่างสบาย ๆ “เมื่อกี้ออกไปส่งเพื่อนเหรอ? สองคนนั้นดูคุ้น ๆ นะ!”
มู่เหย่เป็นคนฉลาด เขาเข้าใจทันทีว่าไห่หรงเทียนหมายถึงอะไร
เขาจึงยิ้มกว้างตอบว่า “อ้อ อาหมายถึงสองคนนั้นเหรอครับ พวกเขาเป็นลูกสาวและลูกเขยของคุณลุงเกาไงครับ!”
“พูด ๆ ไปแล้ว พวกเขานี่แหละคือฮีโร่ผู้กอบกู้ภัยพิบัติ!”
มู่เหย่กำลังจะพูดต่อ แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบปิดปากทันที
“ไม่สิ เรื่องนี้เป็นความลับ พูดไม่ได้!”
“ทำไมคุณอาไห่ถึงสนใจพวกเขาขึ้นมาล่ะครับ?”
“ยังไงก็ตามเฉียวเหลียนเฉิงมีชื่อเสียงด้านความเก่งกาจ แต่ว่าคุณอาไห่อาจจะมาช้าไป เฉียวเหลียนเฉิงถูกคุณลุงเกาจับจองไว้แล้ว!”
ไห่หรงเทียน “…”
ทำไมเขาถึงรู้สึกถึงความอาฆาตพยาบาทอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันแค่ถามเฉย ๆ ตอนนี้ฉันกลับมาอยู่บ้านแล้ว เธอกับไห่หนิงซวงอายุไล่เลี่ยกัน ว่าง ๆ ก็แวะมาเล่นที่บ้านได้นะ!”
มู่เหย่ตอบสีหน้าจริงจัง “ครับ ๆ แต่ผมคงไม่ไปหาไห่หนิงซวง แต่จะไปหาไห่จิ่งนะครับ”
ไห่หรงเทียนสับสน “ทำไมถึงมาหาไห่หนิงซวงไม่ได้ล่ะ”
เขาไม่ควรถามเลย… หลังจากพูดออกไปเขาก็นึกเสียใจทันที
แต่โลกนี้ไม่มียาแก้ความเสียใจ
เมื่อเขาถามประโยคนี้ออกไป มู่เหย่ก็ตอบมาทันทีว่า “เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นจิตใจโหดร้ายมาก ถ้าผมเผลอไปทำให้เธอไม่พอใจ เธออาจจับผมทรมานด้วยหลากหลายวิธีการ ผมขออยู่ห่าง ๆ ไว้ดีกว่า!”
มู่เหย่พูดต่อ “เฉินผิงคือตัวอย่างที่ดี ถ้าเผลอไปทำอะไรผิด…ก็คงไม่รอดแน่!”
ไห่หรงเทียนพูดไม่ออก
มู่เหย่พูดจบก็แสร้งทำเป็นตกใจ “โอ้ คุณอาไห่ ผมขอโทษครับ ผมเผลอพูดความจริงออกมาซะแล้ว ผมขอโทษครับ ผมขอโทษ!”
พูดจบชายหนุ่มก็หันหลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
ล้อเล่นหรือไง แม้ว่าเขาจะไม่ชอบเฉียวเหลียนเฉิง แต่เขาก็ยังเป็นเพื่อนของหว่านหว่านนะ
และเพราะหว่านหว่านเป็นเพื่อนของเขา เฉียวเหลียนเฉิงก็เหมือนเป็นเพื่อนของมู่เหย่เช่นกัน
เขาสามารถหาเรื่องทะเลาะกับเพื่อนของเขาได้ แต่คนอื่นห้ามเด็ดขาด!
ไห่หรงเทียนสูดหายใจเข้าลึก… ฮึ่ม! น่าโมโหจริง ๆ
แต่ชายวัยกลางคนไม่มีที่ให้ระบายความโกรธ
ตอนไห่หรงเทียนกลับมาถึงบ้าน เจี๋ยไห่เสียกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพลางตัดแต่งกิ่งก้านของต้นมะลิ
“กลับมาแล้วเหรอ? กินข้าวมาหรือยังคะ?”
ไห่หรงเทียนส่ายหน้าและนั่งลงบนโซฟา ท่าทางแปลก ๆ ของเจียงหว่านกับเฉียวเหลียนเฉิงเมื่อตอนบ่าย ทำให้เขารู้สึกกังวลอยู่เรื่อย
ไม่ใช่ว่ากลัวพวกเขาจะมีอันตราย แต่กลัวว่าพวกเขาจะทำเรื่องเลวร้าย
ตอนนี้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเจียงหว่านกับเฉียวเหลียนเฉิงค่อนข้างซับซ้อน เขาแอบชื่นชมเฉียวเหลียนเฉิงอยู่บ้าง แต่ก็เกลียดที่ชายหนุ่มไม่เอาไหน
ส่วนเจียงหว่าน เขาไม่ชอบเธอเอาเสียเลย ทั้งยังรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ทั้งอวดดี โหดร้าย หัวรุนแรง และยังโง่เขลาอีกด้วย
น่ารำคาญพอ ๆ กับตระกูลเกา
เจี๋ยไห่เสียเห็นเขาไม่พูดอะไร จึงถามด้วยความสงสัย
“หรงเทียน คุณเป็นอะไรไปเหรอ?”
ไห่หรงเทียนได้สติ “เปล่าหรอก ผมแค่คิดเรื่องงานนิดหน่อย”
เจี๋ยไห่เสียถอนหายใจเบา “แล้วกินข้าวหรือยัง?”
ไห่หรงเทียนรีบตอบ “กินแล้ว ผมไปทำงานที่ห้องก่อนนะ!”
เขาลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกไป แต่เจี๋ยไห่เสียก็พูดขึ้นว่า “อีกสิบกว่าวันก็ถึงวันเกิดคุณพ่อแล้ว คุณคิดว่าเราควรส่งของขวัญอะไรไปให้เขาดี?”
ไห่หรงเทียนเกาหัว “พ่อไม่ชอบอะไรสิ้นเปลือง งานวันเกิดเองก็คงไม่จัด และคงมีแค่คนในครอบครัวมากินข้าวด้วยกัน ส่งอะไรไปก็ไม่สำคัญหรอก!”
เจี๋ยไห่เสียรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “นั่นพ่อของคุณนะ คุณจะทำแบบขอไปทีได้ยังไง!”
ไห่หรงเทียนนิ่งอึ้ง “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนี่ คุณอยากส่งอะไรก็ส่งไปเถอะ!”
เจี๋ยไห่เสียถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เอาละ เรื่องพวกนี้คงหวังพึ่งพวกผู้ชายไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปห้างสรรพสินค้าแล้วกัน”
ไห่หรงเทียนเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ทันใดนั้นก็พูดว่า “คุณลองไปเดินดูที่ตลาดนัดของเก่าดีกว่า พ่อชอบสะสมของโบราณ”
เจี๋ยไห่เสียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และก็เหมือนจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริง ๆ ครั้งก่อนสหายร่วมรบของคุณปู่มอบแหวนหยกให้ และเขาก็ดูจะชอบมันมาก ๆ
“อืม เดี๋ยวฉันจะลองไปดู!”
ทางฝั่งเจียงหว่าน
หลังจากเธอกับเฉียวเหลียนเฉิงออกจากบ้านพักทหาร เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะนั่งรถเมล์
แต่พอไปถึงป้ายรถเมล์ก็พบว่ารถเที่ยวสุดท้ายออกไปแล้ว!
เฉียวเหลียนเฉิงรู้สึกหงุดหงิด “ลืมดูเวลาไปเลย เดินกลับไปคงใช้เวลานานน่าดู เอาแบบนี้ดีไหม เราพักในบ้านพักทหารสักคืนแล้วค่อยกลับ!”
ถ้าเป็นเขาคนเดียวก็ยังพอไหว แต่ถ้ามีเจียงหว่านด้วย เธอคงจะเหนื่อยมากที่จะเดินกลับจากที่นี่
เขาไม่อยากให้เธอเหนื่อย!
เจียงหว่านมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นก็เห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งขับมาช้า ๆ
ในยุคนี้แท็กซี่ถือว่าเป็นของหายาก
อย่างน้อยก็ไม่เคยเห็นในเมืองหลินเฉิงเลย
เจียงหว่านชี้ไปที่แท็กซี่แล้วพูดว่า “เรานั่งรถกลับกันเถอะ!”
เฉียวเหลียนเฉิงรู้สึกงุนงง แต่เจียงหว่านก็เดินไปที่ริมถนนแล้วโบกมือเรียกรถแท็กซี่แล้ว
เฉียวเหลียนเฉิงสับสนอย่างมาก และไม่เข้าใจว่าเธอกำลังทำอะไร!
สิ่งที่ทำให้เขาสับสนยิ่งขึ้นกว่าเดิมก็คือ รถคันเล็ก ๆ เคลื่อนมาหยุดลงตรงหน้าเจียงหว่าน
รถคันนั้นเป็นรถเก๋งสีแดง ยี่ห้อเซี่ยลี่ สภาพใหม่เอี่ยม บนหลังคามีป้ายไฟกับตัวอักษร ‘TAXI’
เจียงหว่านเปิดประตูรถแล้วหันมาโบกมือเรียกเฉียวเหลียนเฉิง
“นี่ ขึ้นรถสิ!”
เฉียวเหลียนเฉิงมองดูคนขับด้วยความงุนงง
เขาถามขึ้นว่า “เพื่อนคุณเหรอ?”
เจียงหว่านส่ายหัว “ไม่ใช่ ไม่รู้จัก!”
แล้วกล้าขึ้นรถมาได้ยังไงทั้ง ๆ ที่เธอไม่รู้จัก?
เฉียวเหลียนเฉิงยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับ เจียงหว่านจึงถามอย่างหงุดหงิด “นายจะไปหรือเปล่า!”
เฉียวเหลียนเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอันตรายร้ายแรง เขาก็ต้องตามไปช่วยภรรยาอยู่ดี
“อื้ม ไปสิ!”
เขาขึ้นรถอย่างเสียไม่ได้ นั่งเบาะหลังไปกับเจียงหว่าน
คนขับถามพวกเขาว่าจะไปที่ไหน เจียงหว่านบอกสถานที่คร่าว ๆ คนขับคิดคำนวณอยู่อึดใจก่อนบอกราคา
“ทั้งหมดสามหยวน!”
เจียงหว่านคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วต่อรอง “แค่แปดกิโลเมตรเอง สามหยวนแพงเกินไปไหม”
คนขับไม่พอใจและตอบว่า “นี่มันแท็กซี่นะคุณ!”
เจียงหว่านยังคงไม่ยอม “ราคาเริ่มต้นของคุณเท่าไหร่ แล้วมีมิเตอร์หรือเปล่า?”
“ถ้ามีมิเตอร์ ฉันจะจ่ายให้คุณตามนั้นเลย”
คนขับพูดไม่ออก
สุดท้ายเขาก็ต้องกัดฟันพูดว่า “ไม่เข้าไปส่งในตรอกหรอกนะ ส่งแค่ริมถนนพอ”
“ตกลง!” เจียงหว่านยอมประนีประนอม
จากนั้นรถก็สตาร์ต ตอนนี้คนขับมีสีหน้าไม่รับแขกนัก เจียงหว่านเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มหวานและพูดว่า
“อย่าอารมณ์เสียไปเลย ถ้าฉันไม่ขึ้นรถมา คุณก็วิ่งรถเปล่าไม่ได้สักเหมาเดียว!”
คนขับพูดอย่างไม่พอใจ “ผมกำลังจะไปขับแถวด้านหน้าคาบาเร่ต์ต่างหาก ที่นั่นคนพลุกพล่าน เรียกไปเท่าไหร่ลูกค้าก็ยอมจ่ายหมด”
เจียงหว่านเริ่มสนใจมากขึ้น จึงถามเขาไปว่า “ในหนึ่งคืนคุณทำเงินได้เท่าไหร่เหรอ?”
คนขับไม่อยากตอบ
เจียงหว่านจึงหยิบเงินหนึ่งหยวนยื่นให้เขา
คนขับมองดูเงินก่อนจะรับมันไป “อย่างน้อยก็หาได้มากกว่าร้อยหยวนในคืนเดียว”
จุ๊ ๆ กว่าร้อยหยวนในคืนเดียว หนึ่งเดือนก็สามพันกว่าหยวนแล้ว
นี่มันปี 1986 นะ เงินสามพันหยวนถือว่ามูลค่ามากทีเดียว