เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 531 พบเจอกับเจียงชีชีครั้งแรก
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 531 พบเจอกับเจียงชีชีครั้งแรก
บทที่ 531 พบเจอกับเจียงชีชีครั้งแรก
เจียงหว่านนิ่งเงียบไป… ใช่แล้ว ทำไมเธอถึงลืมพวกข้าราชการไปได้นะ
เธอนวดขมับไปมา รู้สึกกลัดกลุ้มนิดหน่อย
เกาซิ่วเหมยเห็นเธอกลุ้มก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจไปด้วย “ใจเย็น ๆ ยังมีวิธีอื่นอีก กลับไปฉันจะให้เพื่อนสองสามคนลองมาสมัครดูนะ”
เจียงหว่านตอบพึมพำ ก่อนจะมองเกาซิ่วเหมยดี ๆ “วันนี้ป้าเกาแต่งตัวดูดีจัง”
วันนี้เกาซิ่วเหมยสวมใส่เสื้อคลุมสีแดงเข้มยาวคลุมสะโพก
ด้วยรูปร่างที่สูงเพียวและท่าทางอันงดงาม ผมยาวถึงกลางหลังถูกมัดรวบเป็นหางม้า ทำให้เธอดูเหมือนกับนางแบบไม่มีผิด
เมื่อได้ยินคำชม เกาซิ่วเหมยก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทันที
“ฉันจะไปตัดผมน่ะ รู้สึกว่าผมยาวเกินไป อีกอย่างพอดัดผมแล้วก็จะรู้สึกว่าหัวใหญ่เกิน!”
เจียงหว่านยิ้ม “งั้นต้องดัดผมเป็นลอนใหญ่ ๆ ค่ะ”
เกาซิ่วเหมยสงสัย “ลอนใหญ่ ๆ คืออะไร?”
เจียงหว่านอยากจะอธิบาย และพอคิดว่าที่สำนักพิมพ์ไม่น่าจะมีคนมาสมัครงาน เธอจึงไปเป็นเพื่อนป้าเกาดัดผมเสียเลย!
“ไปค่ะ ฉันจะพาป้าไปเอง ป้าฟังที่ฉันบอก รับรองป้าจะต้องออกมาดูดีแน่!”
เกาซิ่วเหมยยังรู้สึกมึนงงอยู่ แต่ก็ถูกเจียงหว่านจูงมือเดินไปแล้ว
ร้านดัดผมที่ทั้งสองจะไปอยู่ไม่ไกลจากสำนักพิมพ์
เจียงหว่านบอกทรงผมที่ต้องการจะดัดกับช่างดัดผม ซึ่งช่างค่อนข้างมีความสามารถจึงจัดทรงผมตามคำพูดของเจียงหว่านได้ทุกกระเบียดนิ้ว
แต่ดัดผมยังไม่ทันเสร็จ ประตูก็เปิดออก พร้อมกันนั้นก็มีผู้หญิงสามคนเดินเข้ามา
ทั้งสามหันมองไปที่เกาซิ่วเหมยโดยสัญญาณชาติ พวกหล่อนอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาเบา ๆ
“แย่จริง นี่เราออกจากบ้านมาโดยไม่ได้ดูปฏิทินหวงลี่*[1]รึไงนะ?!”
เจียงหว่านมองทั้งสามด้วยความสงสัย… โอ้ โลกนี้มันช่างกลมจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าจะเจอเจียงเสวี่ยที่นี่
เจียงเสวี่ยที่แต่งงานไปแล้วยังคงมีความสง่างาม ดูแล้วก็รู้สึกน่าหลงใหลและมีเสน่ห์ทีเดียว
โดยเฉพาะตอนนี้ฐานะของเธอดีขึ้นมาก เพราะเด็กรุ่นหลัง ๆ ในตระกูลเกามีเพียงคนเดียวที่เป็นผู้ชายคือเกาเผิงจวี่
ซึ่งยังไงในอนาคต เกาเผิงจวี่ก็จะต้องได้เป็นหัวหน้าตระกูลเกา ด้วยเหตุนี้เจียงเสวี่ยก็ถือว่าน้ำขึ้นเรือย่อมสูงตาม*[2]
ฉะนั้นไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน คนรอบตัวจึงมองเธออย่างเคารพ
วันนี้มีเด็กผู้หญิงวัยรุ่นสองคนตามเจียงเสวี่ยมาด้วย หนึ่งในนั้นแต่งตัวค่อนข้างธรรมดา แม้ตอนนี้เป็นฤดูใบไมผลิแต่อากาศก็หนาวเย็น ทว่าเด็กผู้หญิงคนนี้กลับใส่แค่รองเท้าแตะ
เสื้อบนตัวของเธอก็ดูธรรมดามาก ๆ ตอนที่เธอยกมือขึ้นก็เห็นรอยปะบาง ๆ ที่อยู่ใต้รักแร้ได้ด้วยซ้ำ
แต่แม้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะสวมใส่เสื้อผ้าที่ธรรมดามาก ทว่ากิริยาท่าทางการพูดของเธอกลับดูสุขุม
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่ไม่มีแววของความขี้ขลาดเลยสักนิด ทั้งยังใสแจ๋วราวกับน้ำ ดูซื่อตรงและมีความยุติธรรม
มองเพียงแค่แวบเดียว เจียงหว่านก็รู้สึกดีกับผู้หญิงคนนี้มากขึ้นเป็นเท่าตัว
ส่วนข้าง ๆ ยังมีผู้หญิงอีกคน น่าจะอายุสามสิบต้น ๆ รูปร่างหน้าตาดูสวยแบบฉูดฉาด และหล่อนก็ประจบสอพลอเจียงเสวี่ยทุกอย่าง
ทั้งสามคนก็มาดัดผมเหมือนกัน เพราะร้านตัดผมแห่งนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่คนชนชั้นสูงของเหยียนจิง
โดยปกติสตรีผู้ดีต่างมาดัดผมที่นี่ทั้งนั้น
ตอนนี้หลังทั้งสามคนเข้ามา พวกเธอก็พูดกระซิบกระซาบกันโดยที่ไม่สนใจเกาซิ่วเหมยกับเจียงหว่านที่อยู่ตรงนั้นเลย
“ซวยจริง ๆ ทำไมต้องมาเจอพวกเธอด้วยนะ!” เกาซิ่วเหมยบ่นพึมพำด้วยความกลัดกลุ้มใจ
เจียงหว่านหัวเราะเบา ๆ และกระซิบถามหล่อน “สองคนที่อยู่ข้างเจียงเสวี่ยคือใครเหรอคะ?”
เกาซิ่วเหมยตอบ “คนที่แต่งตัวฉูดฉาดไร้รสนิยมคนนั้นเป็นญาติห่าง ๆ ที่มาจากชนบทของตระกูลเกา และหล่อนก็เอาแต่กลัวมากว่าคนอื่นจะดูถูกว่าเธอแต่งตัวไร้รสนิยม”
“เจียงเสวี่ยเจอคู่แต่งงานที่ดีและแนะนำให้หล่อน หล่อนจึงได้แต่งกับหัวหน้าของโรงงานทอผ้า ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ที่โรงงานทอผ้าและเป็นถึงผู้จัดการคลังสินค้า!”
“ส่วนอีกคนเพิ่งจะมาใหม่ ได้ยินมาว่าเธอเพิ่งจบมัธยมปลาย กำลังจะเข้ามหาลัย แต่ก็ถูกคนอื่นแทนที่ไปเสียก่อน”
“ครอบครัวของเธอจึงให้เธอเข้าเมืองมาหาเจียงเสวี่ยและอยากให้เจียงเสวี่ยหางานที่เป็นงานรัฐวิสาหกิจให้กับเธอ”
เจียงหว่านประหลาดใจ “เธอก็เป็นคนตระกูลเกาเหรอคะ?”
เกาซิ่วเหมยส่ายหน้า “ไม่ใช่ เป็นคนตระกูลเจียงน่ะ!”
เจียงหว่านแค่ตอบรับ และไม่สนใจอีก
ตอนที่เกาซิ่วเหมยดัดผมต่อ บรรยากาศก็ค่อนข้างอึดอัด
เจียงหว่านกับเกาซิ่วเหมยจึงคุยเล่นกันไปเรื่อย พอเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง จู่ ๆ ก็มีเสียงกระจกแตกดังมาจากทางด้านของพวกเจียงเสวี่ย
จากนั้นก็มีเสียงทะเลาะกันดังออกมา
เจียงหว่านไม่สนใจที่จะฟัง แต่เกาซิ่วเหมยอยากรู้อยากเห็น เธอจึงวิ่งไปพร้อมหมวกดัดผมที่อยู่บนหัวของเธอ
เจียงหว่านเห็นอย่างนั้นก็รีบเข้าไปขวางไว้ “อย่าค่ะ ป้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ฉันจะไปดูให้”
เกาซิ่วเหมยรู้สึกเสียดายนิดหน่อย
เจียงหว่านถอนหายใจ “หากฉันได้ยินคำนินทา ก็จะเอามาเล่าให้ป้าฟังทันทีเลย!”
เกาซิ่วเหมยรีบพยักหน้า “เธอไม่รู้หรอกว่าฉันเกลียดเจียงเสวี่ยขนาดไหน แค่ได้ยินว่ายัยนั่นมีเรื่อง ฉันก็มีความสุขแล้ว”
เจียงหว่านปลอบเธอเสร็จ ก็มาแอบฟังอยู่ตรงประตู
ภายในอีกห้อง เสียงของเจียงเสวี่ยตะโกนดังลั่นอย่างเหลืออด
“เจียงชีชี แกหมายความว่าอะไร!”
เจียงชีชีอาจจะเป็นเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวธรรมดา ๆ คนนั้น
เธอตอบด้วยเสียงที่ชัดแจ๋วแต่กลับหนักแน่น “พ่อแม่ของฉันไม่อยู่แล้ว ก่อนที่พวกเขาจะตายพวกเขาอยากให้ฉันมาอาศัยอยู่กับคุณและอยากให้คุณช่วยแนะนำงานให้ฉัน!”
“ไม่สำคัญว่าจะเป็นงานรัฐวิสาหกิจหรือเปล่า ขอแค่เป็นงานที่สุจริตก็พอ”
“แต่ว่าคุณน่ะ นึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะบอกให้ฉันไปแต่งงานกับคนอื่น อีกทั้งผู้ชายคนนั้นก็ยังถูกไล่ออกจากโรงงานอีก”
“คุณคิดจะทำอะไร กำลังแนะนำงานให้กับฉันหรือแนะนำให้ฉันรับแขกกันแน่!”
“กะ แกบังอาจนักนะ!” เจียงเสวี่ยโมโหมาก
“แกก็อายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ที่ฉันสนใจแกเพราะเห็นว่าแกใช้แซ่เจียงเหมือนกันกับฉัน ไม่อย่างนั้นแกที่เป็นแค่นังบ้านนอก คิดจะแต่งงานกับคนเหยียนจิงได้เหรอ?”
“แกทำได้แค่ฝันเท่านั้นแหละ!”
“ฉันจะฟ้อง พ่อแม่ของแกติดหนี้ค่ารักษาพยาบาลฉันอยู่สามร้อยหยวน”
“ถ้าตอนนี้แกไม่หาเงินมาคืนฉัน แกก็ต้องยอมแต่งงาน แกไม่มีสิทธิ์เลือก!”
เจียงเสวี่ยเพิ่งตะโกนเสร็จ เจียงชีชีก็ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด
“เงินน่ะไม่มี และฉันก็ไม่อยากแต่งงานด้วย!”
“หากคุณยังคิดว่าพวกเราเป็นแซ่เจียงเหมือนกัน งั้นก็ให้เวลาฉันเจ็ดวัน ฉันหาเงินมาคืนคุณได้แน่นอน”
เจียงเสวี่ยยิ้มเยาะ “เจ็ดวัน? ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอจะไม่หนี!”
ชีชีโมโห “เจียงเสวี่ย ถ้าเขียนคำว่า ‘เจียง’ ไม่ได้ในคราเดียว คุณจะต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ถ้าคุณยืนกรานที่จะบีบบังคับฉัน อย่างมากที่สุดฉันก็จะให้ชีวิตนี้กับคุณ!”
พอเจียงชีชีพูดจบ จู่ ๆ ภายในห้องก็มีเสียงสิ่งของแตกกับเสียงกรีดร้องอีกครั้ง
“กรี๊ดด แกจะทำอะไร บ้าไปแล้วเหรอ!”
ภายในห้องดูจะวุ่นวายนิดหน่อย และเจียงเสวี่ยก็กรีดร้องออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ส่วนเจียงหว่านที่ได้ยินชื่อเจียงชีชี ก็รู้สึกคุ้น ๆ นิดหน่อย
แต่เธอไม่ทันได้คิดอะไรมาก ก็รีบถีบประตูพุ่งเข้าไปแล้ว
ภายในห้องมีเศษกระจกที่แตกกระจายและคราบเลือดอยู่บนพื้น
ตรงมุมห้องมีเด็กสาวสะอาดสะอ้านที่มาจากชนบทนั่งคุดคู้อยู่ และข้อมือข้างหนึ่งของหล่อนก็เต็มไปด้วยเลือด
ทว่าในขณะเดียวกันนี้ นัยน์ตาของหล่อนก็ยังคงสว่างสดใสและเป็นประกาย
เจียงชีชีมองเจียงเสวี่ยด้วยสายตาที่ไม่ยอมศิโรราบ ห้ามเลือดที่ข้อมือก่อนซักถาม
“แบบนี้พอใจแล้วหรือยัง?”
สีหน้าของเจียงเสวี่ยซีดเผือด ดวงตาทั้งสองข้างมองราวกับจะกลืนกินอีกฝ่าย
“กะ แกกล้าข่มขู่ฉัน!”
เจียงชีชีตอบอย่างไม่ถือดี “ฉันแค่จะใช้หนี้คืน เพราะตอนนี้ทั้งตัวฉันมีแค่ชีวิตนี่แหละที่พอจะใช้คืนได้ แค่นี้พอไหม?”
เจียงเสวี่ยโมโหมากจึงตอบกลับ “ชีวิตเน่า ๆ ของแกมันไร้ค่า”
เจียงชีชีตกตะลึง ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง แทบทนไม่ไหว อยากจะพ่นเปลวไฟที่ลุกโชนออกมาใส่หน้าอีกฝ่าย
แต่ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังตกอยู่ในสภาพที่จนตรอก จู่ ๆ ก็มีเสียงอันเย็นยะเยือกดังขึ้น
“เด็กนี่ติดหนี้เธอเท่าไหร่? ฉันจะชดใช้แทนเอง”
เสียงนี้มัน…
เมื่อเจียงเสวี่ยเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นเจียงหว่าน ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็กลายเป็นสีดำราวกับก้นหม้อ
“เจียงหว่าน ทำไมแกถึงสาระแนได้ทุกทีเลยฮะ!”
[1] หวงลี่ แปลว่า ดวงซวย
[2] น้ำขึ้นเรือย่อมสูงตาม อุปมาว่า เมื่อฐานะดีขึ้นสถานการณ์ของตนก็จะดีตาม