เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 526 ฉันจะเปิดสำนักพิมพ์ให้เธอ
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 526 ฉันจะเปิดสำนักพิมพ์ให้เธอ
บทที่ 526 ฉันจะเปิดสำนักพิมพ์ให้เธอ
เจียงหว่านเข้าพบรองบรรณาธิการของสำนักพิมพ์จ้งฮวาพร้อมกับมู่เหย่
และเจียงหว่านก็หยิบต้นฉบับออกมาให้อีกฝ่ายอ่าน “ฉันยังเขียนไม่เสร็จค่ะ แต่สามารถเขียนได้อย่างต่อเนื่อง!”
รองบรรณาธิการชื่อว่า ติงลี่ เขาเป็นชายวัยกลางคน อายุราวสามสิบปี
พอได้เห็นมู่เหย่เดินเข้ามาพร้อมกับสาวงามมีเอกลักษณ์เช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มาจากไหน ทำไมมู่เหย่ถึงพาหล่อนมาที่นี่เป็นการส่วนตัวได้
แล้วยิ่งได้เห็นต้นฉบับในมือของเจียงหว่าน เขาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น
“สหายเจียงหว่านใช่ไหม?”
เขากระแอมสองสามครั้ง ก่อนจะพูดต่อ “สำนักพิมพ์จ้งฮวาของเราวางขายหนังสือไปทั่วประเทศ”
“ผมไม่ได้โอ้อวดอะไรนะ แต่เกือบทุกหน่ยวงานของรัฐล้วนแต่ใช้บริการของเรา ดังนั้นยอดขายของเราจึงค่อนข้างดี”
เจียงหว่านพยักหน้า “ค่ะ ฉันทราบเรื่องนั้นแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่มาหาคุณหรอก”
รองบรรณาธิการถึงกับพูดไม่ออกชั่วขณะ
ติงลี่หันมองเจียงหว่านก่อนจะหันมองมู่เหย่ด้วยแววตาประหลาดใจ เขาลังเลจะพูดบางอย่าง
มู่เหย่จึงเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน “ถึงสำนักพิมพ์จ้งฮวาจะมีการตีพิมพ์ข่าวสารรายวัน และสื่อต่าง ๆ แต่นอกจากนั้นก็ยังมีแผนกบทความด้วยเหมือนกันใช่ไหม?!”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมเห็นบทความบนกระดานของคุณ ตอนนี้คุณกำลังเขียนเรื่องอะไรอยู่เหรอ?”
รองบรรณาธิการรีบตอบกลับ “เป็นเรื่องเกี่ยวกับแรงงานชั้นนำสิบอันดับในประเทศของเราเมื่อปีที่แล้วน่ะ…”
“มู่เหย่ ผมเข้าใจนะว่าคุณไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่คุณไม่ควรคิดว่าสำนักพิมพ์ของเราจะตีพิมพ์อะไรก็ได้!”
มู่เหย่ไม่พอใจทันที “ผมไม่อยากจะฟัง บทความก็คือบทความ มันจะแตกต่างกันยังไง?”
“คุณคิดจะแบ่งประเภทบทความออกเป็นระดับสาม หก หรือเก้างั้นเหรอ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของรองบรรณาธิการหายไปทันที
“มู่เหย่ เราเป็นเพื่อนกัน เพราะงั้นผมจะบอกความจริงให้ฟัง ผมไม่มีคุณสมบัติที่จะส่งนิยายแบบนี้ออกตีพิมพ์ได้…”
“ถึงจะอ่านไปเล็กน้อย แต่ผมก็พอเข้าใจ นี่มันก็เรื่องราวของเด็กยากจนที่กำลังปีนขึ้นต้นไม้สูงไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าให้ผมพูด นี่มันซินเดอเรลล่าเวอร์ชั่นผู้ชายชัด ๆ!”
“เรื่องแบบนี้ดูครั้งแรกก็รู้ว่าแต่งขึ้นมา มันจะเกิดขึ้นจริง ๆ ได้ยังไงกัน!”
มู่เหย่ไม่รู้ว่าต้นฉบับเขียนอะไรไว้บาง แต่ถ้าหากเจียงหว่านต้องการจะตีพิมพ์ เขาจะหาที่ทางให้เธอก็เท่านั้น
และแม้ว่าจะไม่ได้อ่านมัน แต่เมื่อมีคนพูดแบบนี้กับเจียงหว่านเขาก็รู้สึกไม่พอใจทันที
“จะเหมือนซินเดอเรลล่า หรือปีนต้นไม้สูงอะไรพวกนั้น ผมไม่อยากฟัง!”
“และคุณไม่สามารถใช้ระบบทุนนิยมมาตีค่าคนหนุ่มสาวในสังคมได้!…”
มู่เหย่อยากจะโต้เถียงกับอีกฝ่ายต่อ แต่เจียงหว่านหยุดเขาไว้ก่อน
เธอมองรองบรรณาธิการก่อนจะพูดขึ้นว่า
“พูดให้ชัดคือ… สำนักพิมพ์ของคุณเป็นสำนักพิมพ์รายวันชั้นนำ แต่นิยายของฉันต่ำต้อยและไม่สามารถตีพิมพ์ออกไปได้สินะ”
รองบรรณาธิการหัวเราะ “นิยายของคุณเป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่ประโยคนี้ดูจะตรงไปหน่อย”
“อืม สิ่งที่เราต้องการในเวลานี้คือรายงานข่าวสถานการณ์ปัจจุบัน การเมือง ชีวประวัติต่าง ๆ และการบรรยายที่ลื่นไหล การยกย่องแม่น้ำและภูเขาที่ยิ่งใหญ่ การทำงานหนักของผู้คนหลากหลายประเภท”
“แต่สิ่งที่คุณเขียนออกมามันไม่ต่างจากการเขียนของเด็กประถม และเนื้อหาก็ไม่ใช่รสนิยมที่ดีสักนิด มันไม่เหมาะสมกับสำนักพิมพ์ของเราเลย!”
หลังพูดจบ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะอยู่ต่อ จึงยืนขึ้นพร้อมจากไปทันที
มู่เหย่กัดฟันแน่นด้วยความโกรธ “ไม่เป็นไรหรอกนะ หว่านหว่าน ฉันมีเพื่อนคนอื่นอีก ไปกันเถอะ”
“และถ้าพวกสำนักพิมพ์มันไม่ยอมตีพิมพ์ให้เธอ ฉันจะเปิดสำนักพิมพ์ให้เธอเอง!”
มู่เหย่เผยความขุ่นเคือง ขณะพูดอย่างนั้นเขาก็หยิบสมุดเล่มเล็กออกมาและค้นหารายชื่อว่าเขารู้จักบรรณาธิการคนไหนบ้าง
ทว่าความจริงแล้วเจียงหว่านไม่ได้โกรธนัก ความโกรธของเธอลดลงแล้วหลังจากเวลาผ่านไป
และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับรองบรรณาธิการคนนี้ เธอก็ไม่ต้องการจะดื้อดึง
แต่เพราะคำพูดของมู่เหย่ทำให้เธอตระหนักได้ถึงบางอย่าง
“เปิดสำนักพิมพ์!”
ความจริงแล้วสำนักพิมพ์ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าหากสามารถตีพิมพ์บทความเองได้ ในอีกยี่สิบปีข้างหน้าก็จะทำกำไรได้มากมาย
เพราะข่าวสารและบทความบันเทิงจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอีกสองทศวรรษ
“ดีล่ะ!”
เจียงหว่านตะโกนเสียงดังทำมู่เหย่สะดุ้งโหยง
“อะไร?”
เจียงหว่านตอบกลับ “เรามาตั้งสำนักพิมพ์ของเรากันเถอะ ฉันจะเขียนเอง!”
มู่เหย่เงียบ ก่อนจะค่อย ๆ พูด “จะเปิดสำนักพิมพ์ยังไง เราไม่รู้จักใครเลยนะ!”
เจียงหว่านยิ้มพร้อมเลิกคิ้ว “ไม่สำคัญหรอก เราไม่จำเป็นต้องรู้จักใครสักหน่อย”
“ตอนนี้หมวดหมู่สำนักพิมพ์ในตลาดน้อยเกินไป และยังคงเน้นข่าวสารบ้านเมืองเป็นหลัก”
“เราจะตีพิมพ์หนังสือที่รวบรวมบทความความรู้ และนวนิยายต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และจะส่งออกไปทั่วประเทศ!”
มู่เหย่หันมองเจียงหว่านอย่างว่างเปล่า เขาไม่รู้เลยว่าผู้หญิงตรงหน้ากำลังคิดอะไร ทำไมหล่อนถึงมีความคิดมากมายไม่รู้จบ?
การตัดสินใจโดยไม่ยั้งคิดหรือไม่วิเคราะห์ตามหลักเหตุผล ไม่ต่างจากการฝันกลางวัน
หลังจากเงียบไปสักครู่ มู่เหย่เชิดหน้าขึ้นอย่างเชื่อมั่น
“อืม มาตั้งสำนักพิมพ์กัน!”
ก็แค่ก่อตั้งสำนักพิมพ์ ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้สักหน่อย!
นับจากวันนี้จวบจนถึงทศวรรษต่อมา ‘ตันเปา(ข่าวซุบซิบ)’ จะเข้ามามีอิทธิพลต่อชาวจีนมาก และนี่คือจุดกำเนิดของมัน!
เจียงหว่านกับมู่เหย่เป็นผู้ที่ชื่นชอบการลงมือทำทั้งคู่ ทั้งสองคนตรงไปหาที่ตั้งสำนักงานที่เหมาะสมภายในวันนั้นทันที และร่วมกันจดทะเบียนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ
จากประสบการณ์ขายสินค้าจากภูเขา มู่เหย่จึงส่งมอบการพิมพ์หนังสือพิมพ์ให้กับโรงงานการพิมพ์โดยตรง
หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดแล้ว เจียงหว่านก็เริ่มเขียนเรื่องสั้นหลายเรื่องที่อยู่ในหัวออกมา
เธอได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือพิมพ์อื่น ๆ และทำการตีพิมพ์ข่าวซุบซิบหลายหน้า
จนในที่สุดเธอไม่มีอะไรจะเขียน จึงเขียนสูตรอาหารสองสามอย่างลงไป
เวลานี้ ตันเปาฉบับแรกจึงถูกปล่อยออกมา
บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ : แมวอ้วนการ์ฟิล
รองบรรณาธิการ : หมาป่าเดียวดาย
บรรณาธิการข่าวสังคม : แมวอ้วนการ์ฟิล
บรรณาธิการข่าว : แมวอ้วนการ์ฟิล
บรรณาธิการข่าวการเมือง : แมวอ้วนการ์ฟิล
สรุปแล้ว หากบรรณาธิการต้องลงชื่อในบทความนั้น ๆ มันก็จะเป็นชื่อ แมวอ้วนการ์ฟิล ทันที
และนั่นคือนามปากกาของเจียงหว่าน
ส่วนเรื่องราวของนายน้อยตัวจริงและลูกสาวกำมะลอ เธอใช้นามปากกา ‘จิ้งจอกพูดพล่อย’
ทั้งสองทำงานตลอดทั้งวันและคืนเป็นเวลานานกว่าเจ็ดวัน กระทั่งหนังสือพิมพ์ตันเปาฉบับแรกถูกเผยแพร่ในที่สุด
มู่เหย่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาหลังจากเห็นหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับ
เจียงหว่านเหลือบมอง “หัวเราะอะไร? ตลกมากเหรอ?”
มู่เหย่ส่ายศีรษะก่อนจะยกยิ้ม “ไม่ ฉันแค่ไม่คิดว่าฉัน มู่เหย่ จะสามารถก่อตั้งสำนักพิมพ์ได้ภายในเจ็ดวันได้จริง ๆ น่ะ!”
อีกทั้งนี่เป็นการเอาอกเอาใจผู้หญิง แล้วยังเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยอีกต่างหาก!
มู่เหย่เพียงกล่าวประโยคเหล่านี้ในใจเท่านั้น
ตอนเจียงหว่านพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับการตีพิมพ์หนังสือเมื่อเจ็ดวันที่ผ่านมา เขารู้สึกว่ามันสนุกมาก
เขาจึงจ่ายเงินไปจำนวนมาก ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าคงจะไม่ใช่การเทเงินทิ้งลงน้ำ!
กระทั่งเจ็ดวันต่อมา เขาก็ได้เห็นหนังสือพิมพ์ด้วยตาของตัวเอง ตอนนั้นหัวใจของเขาผ่อนคลายลงและรู้สึกมั่นใจขึ้นมาก
สายตาของเขายังคงจับจ้องหนังสือพิมพ์ตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความสำเร็จในใจ
สุดท้ายเขารู้สึกว่ามันไร้สาระไปหน่อย และอดไม่ได้ที่จะสะเทือนใจอยู่ลึก ๆ!
แต่เจียงหว่านไม่มีอารมณ์ซับซ้อนพวกนั้นเลย
“เอาละ ตอนนี้เรามีหนังสือพิมพ์แล้ว เราจะขายเท่าไหร่? และขายที่ไหนดี!”
เจียงหว่านครุ่นคิด “ฉบับแรกคงไม่มีคนอยากซื้อ!”
“งั้นเราขายสัก 3 เฟินแล้วกัน!”
มู่เหย่ถอนหายใจ “ให้ฉันเดานะ เราคงขายได้ไม่กี่ฉบับ ไม่ก็ขายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
เจียงหว่านเย้ยหยัน “ที่เราต้องตั้งราคาถูกก็เพราะจำเป็น เพราะหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ทำขึ้นเพื่อฉัน!”
“ฉันจะซื้อมัน 10,000 ฉบับ!”
มู่เหย่ถึงกับตกตะลึงกับคำพูดนั้น การตีพิมพ์ครั้งนี้พวกเขาตีพิมพ์ทั้งหมด 10,000 ฉบับ แต่เธอจะซื้อมันไปทั้งหมดเนี่ยนะ
เวลานี้เจียงหว่านเหมือนทุบหัวเขาอย่างจัง เหตุการณ์นี้ทำให้มู่เหย่เปลี่ยนความคิดทันที