เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 300 ยิ่งเป็นคนชั่วมากเท่าไรยิ่งดี
บทที่ 300 ยิ่งเป็นคนชั่วมากเท่าไรยิ่งดี
สวี่ชิงค่อย ๆ เดินเข็นรถไปอย่างเชื่องช้า คอยแอบฟังฉินกุ้ยจือด่าทอฟางหลานซิน
และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดี
ฟางหลานซินรู้สึกแย่มาก หลังจากไปพบเย่หนานแล้ว หล่อนก็หวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะวางยาพิษ จึงรีบหยิบถ้วยชาไปตามหาสวี่จื้อกั๋ว แต่กลับไม่รู้ว่าสวี่จื้อกั๋วไปอยู่ที่ไหน
ค้นหาอยู่สามวันก็ยังไม่เจอ และระยะเวลาที่เย่หนานกำหนดไว้ได้หมดลงแล้ว ขณะที่กำลังนอนรอความตายอยู่ที่บ้าน หล่อนกลับพบว่าตัวเองไม่เป็นอะไรเลย
รอจนกระทั่งอีกวันก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
หล่อนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อคิดได้ว่าเย่หนานคงโกหกหล่อน และเนื่องจากหล่อนไม่สามารถชดใช้เย่หนานได้ จึงพยายามอยู่ให้ไกลจากอีกฝ่าย
แต่เมื่อผ่านไปแค่สองวัน หล่อนกลับพบว่าความอยากอาหารของตนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับได้กินไม่อิ่มในทุกวัน หล่อนกินข้าวกล้องสามถ้วยใหญ่ กินหมั่นโถวเจ็ดถึงแปดลูก แถมยังกินซุปผักทั้งหม้อ
ทุกครั้งที่หล่อนกินเช่นนี้ ฉินกุ้ยจือจะกลอกตามองบน
หล่อนทำได้เพียงอดกลั้นต่อความหิวโหย
ผลที่ตามมาจากการกินมากเกินไป คือรูปร่างที่พองโตขึ้นราวกับลูกโป่ง หล่อนรู้สึกว่าการกินอาหารเพียงไม่กี่กิโลกรัมต่อวัน ก็ไม่อาจทำให้คนทั่วไปน้ำหนักขึ้นเร็วแบบนี้ได้
ในขณะเดียวกัน ร่างกายของหล่อนยังส่งกลิ่นเหม็นเน่า ไม่ว่าจะชำระล้างหรือใช้น้ำหอมน้ำปรุงประพรมอย่างไรก็ยังไม่ได้ผลอยู่ดี
ตอนนั้นเองที่หล่อนรู้ว่าพิษของนังสารเลวเย่หนานได้สำแดงฤทธิ์แล้ว!
ฟางหลานซินไม่ต้องการไปพบเย่หนานด้วยสภาพแบบนี้ จึงตรวจรักษาที่โรงพยาบาล แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
หล่อนแค่น้ำหนักเพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้แพทย์ยังบอกว่าภาวะโภชนาการของหล่อนดีมาก แต่ควรใส่ใจกับปริมาณอาหาร กินให้น้อยลง และออกกำลังกายมากขึ้น
ทว่าในตอนนี้ น้อยคนนักจะไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูภาวะโรคอ้วน เพราะคนอื่นต่างพากันคิดว่าร่างกายอวบอ้วนเป็นสิ่งดี คนอ้วนคือคนที่ร่ำรวย
ถึงกระนั้นฉินกุ้ยจือกลับหัวเราะเยาะเมื่อรู้ว่าหล่อนไปหาแพทย์ “ก็เธอกินเยอะขนาดนั้น ถ้าเธอไม่อ้วนแล้วใครจะอ้วนล่ะ? เธอกินอาหารร้านฉันจนน้ำหนักขึ้น แล้วยังมีหน้าไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอีกเหรอ ป่วยหรือเปล่า?”
ฟางหลานซินตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทว่าหล่อนก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินเข้าไปซักล้างเศษผ้าในร้านด้วยใบหน้ามืดมน
ฉินกุ้ยจือยังคงด่าทอตามหลังอย่างไม่ลดละ “เธอชักสีหน้าใส่ใครหา? ฟางหลานซิน ถ้าอยากทำก็ทำ ถ้าไม่อยากทำก็พาลูกสาวเธอออกไปซะ!”
ฟางหลานซินระเบิดความโกรธออกมาทันที ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ตามติดราวสัมภเวสีนัก หล่อนโมโหฉินกุ้ยจือจนเขวี้ยงเศษผ้าลงกับพื้น “ฉินกุ้ยจือ อย่ามาพาลกับฉันให้มากนะ ถ้าฉันไม่อยากเห็นเด็กสองคนนั้นอยู่ดีกินดี ฉันจะมาทนทุกข์ทรมานกับนังบ้าอย่างเธอที่นี่เหรอ? ถ้าเป็นอย่างนี้ งั้นก็หย่าซะเลยสิ!”
ฉินกุ้ยจือตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าฟางหลานซินจะโมโหจนด่ากราด “อีแก่หน้าด้าน งั้นก็อย่ามากินอาหารดื่มน้ำของฉัน พานังลูกสาวสารเลวของแกออกไปขอทานซะ”
“อยากหย่าก็หย่า ยังไงซะต้าหย่งของเราก็ยังหาสาววัยสะพรั่งมาใหม่ได้อยู่ดี ไม่เหมือนสวี่หรูเยว่ที่ผ่านการหย่ามาแล้วถึงสองครั้งหรอก จะหาใครได้อีก”
ฟางหลานซินพลันฉุกคิดถึงเรื่องดังกล่าว ถ้าสวี่หรูเยว่หย่ากับหลี่ต้าหย่ง หล่อนจะต้องผ่านการหย่าร้างถึงสองครั้ง แล้วใครจะอยากแต่งงานกับหล่อนอีก?
นอกจากนี้การหย่าร้างก็ไม่ใช่เรื่องที่ยกย่องนัก หล่อนจะต้องอดทนตราบเท่าที่จะอดทนไหว
ถึงกระนั้นหลี่ต้าหย่งก็ยังดีกับลูกสาวของหล่อน รอจนกว่าขาของเขาจะดีขึ้นแล้วค่อยย้ายออกจากครอบครัว
ทว่าฉินกุ้ยจือกลั่นแกล้งหล่อนมากเกินไปจริง ๆ หล่อนไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป และรีบวิ่งเข้าไปสู้กับฉินกุ้ยจือ
ทั้งวิ่งเข้าไปดึงผม ข่วนใบหน้า และด่าสาปบรรพบุรุษของอีกฝ่ายไปสิบแปดชั่วคน ตบตีกันพัลวันจนเจ้าหน้าที่ตำรวจตื่นตระหนก
……
ขณะที่สวี่ชิงกำลังห่อเกี๊ยวอยู่ที่บ้าน ฉินเสวี่ยเหมยก็เข้ามาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
ทั้งสองนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ พูดคุยกันกระหนุงกระหนิงขณะห่อเกี๊ยวไปด้วย
ฉินเสวี่ยเหมยรู้ว่าสวี่ชิงตามหาแม่ผู้ให้กำเนิดเจอแล้ว และแม่ผู้ให้กำเนิดก็พักผ่อนอยู่ในบ้าน หล่อนยังไม่เคยเห็นแม่ของอีกฝ่ายมาก่อน แม้จะอยากรู้อยากเห็นมากก็ตาม แต่เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงไม่มีทีท่าว่าจะพาหล่อนไปพบแม่ หล่อนก็ระงับความอยากรู้และไม่ได้พูดอะไรออกไป
และเข้ามาช่วยสวี่ชิงห่อเกี๊ยว “สงสัยว่าคราวนี้สวี่หรูเยว่กับหลี่ต้าหยงจะได้แยกกันอยู่จริง ๆ”
ถึงกระนั้นสวี่ชิงรู้สึกว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้ชีวิตเช่นนั้น “จากนิสัยของสวี่หรูเยว่ ทนมาได้ถึงตอนนี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
ฉินเสวี่ยเหมยเดาะลิ้น “นิสัยอะไร? หล่อนคิดว่าตัวเองยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่หรือไง? หรือว่าบนหัวมีตางอกออกมา? ผู้หญิงที่ครึ่งปีก็ผ่านการหย่ามาถึงสองครั้งอย่างหล่อนเกรงว่าจะหาคนใหม่ในมณฑลนี้ไม่ได้แล้วล่ะ แม่ฉันยังบอกเลยว่าถ้าหล่อนยังเป็นแบบนี้ ต่อให้เป็นคนแก่ก็ไม่เอาหล่อน”
สวี่ชิงระเบิดเสียงหัวเราะ “ถ้าสวี่หรูเยว่ได้ยินเข้าคงจะโกรธเจียนตาย”
ฉินเสวี่ยเหมยหัวเราะเหอะ ๆ “ถ้าหล่อนได้ยินก็ดีสิ ยังไงซะฉันก็ไม่ชอบขี้หน้าหล่อนอยู่แล้ว อ๋อ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฟางหลานซิน ทำไมจู่ ๆ ถึงน้ำหนักขึ้นแบบนั้นก็ไม่รู้ ยัยป้าลำโพงมาบอกว่าฟางหลานซินคงจะขโมยอาหารจากร้านฉินกุ้ยจือกิน ยังไงซะที่นั่นก็มีอาหารอร่อย ๆ เยอะแยะนี่ กินจนอวบอ้วนเป็นหมั่นโถวหน่อยจะเป็นไรไป?”
สวี่ชิงหัวเราะขณะส่ายหน้า “ไม่รู้สิ เมื่อเช้าฉันเห็นฟางหลานซินด้วยล่ะ ดูอ้วนขึ้นนิดหน่อย”
ฉินเสวี่ยเหมยจิ๊ปาก “ถึงว่าทำไมฟางหลานซินถึงเต็มใจทำงานในร้านของฉินกุ้ยจือ ทั้งที่โกรธจัดแต่ก็ยังไปทำ คงจะเอาแต่นึกถึงเนื้อของคนอื่นสิท่า”
สวี่ชิงไม่ได้พูดอะไรอีก ก้มหน้าลงและบีบเกี๊ยวต่อ ฟางหลานซินสมควรได้รับมันแล้ว
ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เธอก็คิดถึงโจวจินหนาน คิดถึงเกี๊ยวที่เขาทำ มันอ้วนกลมมาก
เมื่อคำนวณเวลา เหลืออีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนแล้ว ถึงเวลาจะต้องกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ?
ฉินเสวี่ยเหมยช่วยสวี่ชิงห่อเกี๊ยวก่อนจะกลับไป
สวี่ชิงทำเกี๊ยวบางส่วน และเก็บบางส่วนแช่เอาไว้ในตู้เย็น เมื่อไรที่เย่หนานหิว เธอจะได้เอาออกมาทำได้ทุกเมื่อ
เธอเดินถือชามเกี๊ยวปรุงสุกเข้าไปในบ้าน เห็นเย่หนานนอนผิงผ้าห่มขณะที่มีแมวดำอยู่ในอ้อมกอด ส่งยิ้มอย่างเกียจคร้าน “แม่คะ นอนนานขนาดนี้ยังไม่เต็มอิ่มอีกเหรอคะ? ฉันทำเกี๊ยวไส้หมูกับต้นหอมมาให้ค่ะ ไส้อัดแน่น อร่อยมากเลย”
เย่หนานเหลือบมองและส่งยิ้มให้กับสวี่ชิง “แม่ได้ยินหมดแล้ว ชิงชิงเก่งจริง ๆ เลยนะ”
สวี่ชิงเดินถือชามเกี๊ยวเข้าไปว่างโต๊ะข้างเตียงอย่างมีความสุข และหยิบผ้าขนหนูเปียกไปเช็ดมือให้เย่หนาน “แม่คะ รู้สึกไม่ค่อยสบายหรือเปล่า? ถ้ารู้สึกแบบนั้นรีบบอกฉันเลยนะคะ”
เย่หนานกระพริบตา “แม่ยังกินอิ่มนอนหลับ ไม่รู้สึกผิดแปลกอะไร แค่ได้ยินลูกคุยกับเด็กสาวคนนั้นว่าฟางหลานซินอ้วนขึ้นเหรอ?”
สวี่ชิงพยักหน้า “อ้วนมากจนใบหน้าผิดรูปเลยค่ะ และที่สำคัญยังตัวเหม็นเน่าด้วย”
เย่หนานหรี่ตาลงและยิ้ม “ฟางหลานซินหยิ่งยโสจังเลยนะ เป็นถึงขนาดนี้ยังไม่มาหาแม่อีก”
สวี่ชิงหยิบผ้าขนหนูออก “ถ้าหล่อนมาขอร้องแม่ แม่จะช่วยหล่อนไหมคะ?”
เย่หนานมองดูสวี่ชิงด้วยความประหลาดใจ “ไม่ช่วยอยู่แล้วสิจ๊ะ ทำไมแม่จะต้องช่วยหล่อนด้วย? แม่จะปรบมือให้หล่อนและบอกว่าต่อจากนี้ไปมันจะแย่กว่านี้อีก”
หลังจากพูดจบ หล่อนก็ยกยิ้มอย่างมีความสุข
สวี่ชิงหัวเราะเช่นกัน “คงจะแบบนั้นสินะคะ หล่อนเองก็คงเดาได้ ส่วนที่ไม่มาหาแม่ก็คงเพราะไม่อยากให้ตัวเองขายขี้หน้า”
เย่หนานพึมพำ “คงจะดีกว่านี้ถ้าหล่อนหัดทำตัวทะเยอทะยานอยู่ตลอด ไอ้สารเลวสวี่จื้อกั๋วก็ไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน”
สวี่ชิงยื่นตะเกียบให้เย่หนาน “ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอกค่ะ เรามากินข้าวกันก่อนเถอะนะคะ”
พวกเธอกำลังจะเริ่มรับประทานอาหาร กลับได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในบ้าน ถึงกระนั้นไป๋หลางกลับไม่ส่งเสียงเห่า คาดเดาว่าคงจะเป็นคนรู้จัก
สวี่ชิงกำลังรู้สึกประหลาดใจและสับสน จู่ ๆ ม่านในห้องก็ถูกเปิดออก กลายเป็นเหยียนป๋อชวนที่เดินเข้ามา…
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถ้ามาไทย จากสภาพนังแม่เลี้ยงคงบอกว่าโดนปอบสิง
คุณพ่อมาทำอะไรคะ
ไหหม่า(海馬)