เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 299 ใช้หล่อนช่วยชีวิตเย่หนาน
บทที่ 299 ใช้หล่อนช่วยชีวิตเย่หนาน
หลังจากที่เฟิงซูฮวาเข้าไปในอาคารหลังเล็กแล้ว ทุกย่างก้าวของนางก็แผ่วเบาลงมาก อีกทั้งยังไม่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง ถึงกระนั้นการเคลื่อนไหวของนางก็ยังช้าอยู่
นางเดินตรงขึ้นไปบนชั้นสอง ทางเดินดูมืดมิดและมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง
จากนั้นนางก็หยุดอยู่ที่ห้องหนึ่ง รีบเปิดประตูขึ้นอย่างกะทันหันและมองเหยียนป๋อชวนที่กำลังฉีดยาเจียงเสวี่ยอิง “ป๋อชวน หยุดก่อน”
เข็มฉีดยาในมือของเหยียนป๋อชวนกำลังจรดที่ลำคอของเจียงเสวี่ยอิงพอดี เขาหันกลับมามองเฟิงซูฮวาด้วยความตกใจ
สถานที่แห่งนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับ อีกทั้งยังถูกทางรัฐบาลเข้ามายึดครองเพราะข่าวลือที่ชวนขนหัวลุก
เหยียนป๋อชวนใช้สถานที่แห่งนี้เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครมาที่นี่แน่นอน และถึงจะมีคนมา เขาก็สามารถตรวจจับเสียงได้ด้วยหูของเขา ทว่าเขากลับไม่ได้ยินเสียงเฟิงซูฮวาเปิดประตูเข้ามาทั้งสิ้น
เฟิงซูฮวาพยุงไม้เท้าเข้าไปในห้อง ขมวดคิ้วขณะมองดูเจียงเสวี่ยอิงที่เอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้และถูกทรมานอย่างผิดมนุษย์มนา “หล่อนจะตายไม่ได้ ต่อให้หล่อนตาย ทุกอย่างก็ไม่ได้ดีขึ้น”
เจียงเสวี่ยอิงน้ำตาไหลพรากทันทีที่ได้ยินเฟิงซูฮวาพูดว่าหล่อนจะตายไม่ได้
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายฉีดอะไรเข้าไปในร่างกายของหล่อน หล่อนถึงได้ปวดแปลบตามเนื้อตัวจนแทบทนไม่ไหว แต่การถูกมัดติดกับเก้าอี้แบบนี้มันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าตายทั้งเป็นอีก
ได้แต่หวังว่าเหยียนป๋อชวนจะพอใจ และปล่อยให้หล่อนตายไปเสีย
แต่เมื่อความตายคืบคลานเข้ามา หล่อนกลับรู้สึกลังเลเมื่อจะต้องถูกพรากชีวิตไป
เหยียนป๋อชวนขมวดคิ้วมองเฟิงซูฮวา “คุณป้า แต่หล่อนทำร้ายอาหนาน”
เฟิงซูฮวาพยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ป้ารู้ แต่มันคงจะง่ายเกินไปถ้าปล่อยให้หล่อนตายแบบนี้ อีกอย่างเธอเคยคิดบ้างไหมว่าการตายของหล่อนอาจจับจุดอ่อนคนที่มีแรงจูงใจได้ และเธอเองก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสืบสวนทางกฎหมายได้”
“ตอนนี้ไม่ใช่ปีแห่งสงครามที่จะหาศพคนไม่เจอสักหน่อย เธอคิดว่ามันคุ้มค่าแล้วเหรอที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อคนแบบนี้?”
เหยียนป๋อชวนยังคงนิ่งเงียบ เพราะสิ่งที่เฟิงซูฮวาพูดล้วนเป็นความจริง
ทว่าความเกลียดชังที่เขามีต่อเจียงเสวี่ยอิงก็ยากที่จะลบเลือน
เฟิงซูฮวาวางมือลงบนไม้เท้า พยายามทรงตัวให้ตั้งตรงอย่างเต็มที่ และเงยหน้ามองเหยียนป๋อชวน “เธอไม่อยากมีชีวิตที่ดีกับอาหนานเหรอ? ป้ามองดูเธอแล้ว การทำแบบนี้คงไม่ทำให้ชิงชิงได้อยู่อย่างสงบนักหรอก”
หน้าอกของเหยียนป๋อชวนสะท้อนขึ้นลงสองถึงสามครั้ง เดิมทีเขายังคงรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ “คุณป้า ผมอยากจะบดขยี้หล่อนให้กลายเป็นเถ้าถ่านซะจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่สามารถขจัดความเกลียดชังในจิตใจของผมได้”
เฟิงซูฮวาส่ายศีรษะ “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้ ป้าก็แค่มาบอกเธอว่าทำไมถึงปล่อยให้หล่อนตายไม่ได้ เพราะเราจะใช้หล่อนช่วยชีวิตอาหนาน”
เหยียนป๋อชวนรู้สึกงงงวยเล็กน้อย “หล่อนจะช่วยชีวิตอาหนานได้เหรอครับ? ตอนนี้สถานการณ์ของอาหนานเลวร้ายมากเลยไม่ใช่เหรอ?”
เฟิงซูฮวาพยักหน้า “เราออกไปคุยกันก่อนเถอะ”
ทั้งสองเดินออกจากห้องไปยังห้องนั่งเล่นชั้นล่าง
เจียงเสวี่ยอิงมองเฟิงซูฮวาเดินนำเหยียนป๋อชวนออกไป ทว่าภายในใจกลับรู้สึกกระวนกระวายเมื่อได้ยินเฟิงซูฮวาพูดว่าหล่อนสามารถช่วยชีวิตเย่หนานได้ หล่อนจะช่วยได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าใช้ชีวิตหล่อนเพื่อช่วยเหลืออีกฝ่ายเหรอ?
เฟิงซูฮวาเข้ามายืนอยู่ในห้องนั่งเล่นและเล่าให้เหยียนป๋อชวนฟังคร่าว ๆ ว่าที่เย่หนานกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าหล่อนช่วยเปลี่ยนโชคชะตาให้สวี่ชิง โดยการฝืนบัญชาสวรรค์เปลี่ยนชะตาชีวิตของอีกฝ่าย
ตามที่เหยียนป๋อชวนเคยได้ยินมาว่าสวี่ชิงมีสัญญาณการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็ก และเย่หนานก็เป็นผู้ต่อดวงชะตาให้กับสวี่ชิง หล่อนมอบชีวิตตนเองให้กับลูกสาว
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องอยู่ครู่หนึ่ง “คุณป้า ผมไม่เข้าใจแนวคิดความเชื่อของทางหมู่บ้านแม้วเลย ถ้าเป็นไปได้ ช่วยต่ออายุให้เย่หนานได้ไหมครับ? ขอแค่ให้หล่อนได้มีชีวิตที่ดี”
เฟิงซูฮวาส่ายหน้า “ทำไม่ได้หรอก พ่อแม่รักลูกจนยอมเสียสละเพื่อปกป้องชีวิตของลูกเสมอ ตราบใดที่สวี่ชิงสุขสบาย อาหนานก็พึงพอใจแล้ว หล่อนไม่ได้นึกเสียใจเลย มีแต่พวกเราที่เศร้าใจทุกครั้งที่มองดู ที่ป้ามาหาคุณป้าก็ไม่ได้บอกอาหนานหรอก เพราะหล่อนมองข้ามความเป็นความตายไปนานแล้ว หล่อนพร้อมแล้วที่จะจากไปทุกเมื่อ”
ดวงตาของเหยียนป๋อชวนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ผมจะช่วยหล่อนได้ยังไงบ้างครับ?”
เฟิงซูฮวาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ป้าก็นอนคิดมาสองสามวันแล้ว เราคงจะช่วยเย่หนานเปลี่ยนชีวิตไม่ได้ แต่ช่วยชะลอชีวิตให้หล่อนได้ ที่หมู่บ้านแม้วจะมีกู่อยู่ชนิดหนึ่ง เรียกว่ากู่แห่งความเป็นความตาย ซึ่งจะต้องหาใครสักคนมาเป็นแม่กู่ และเลี้ยงดูเย่หนานในฐานะลูกกู่ ตราบใดที่แม่กู่แข็งแรงดี ลูกกู่ก็จะไม่เป็นอะไร”
เหยียนป๋อชวนเข้าใจได้ในทันที “คุณป้าหมายความว่าจะให้เจียงเสวี่ยอิงเป็นแม่กู่เหรอครับ?”
เฟิงซูฮวาพยักหน้า “แต่นี่ไม่ใช่วิธีการสุดท้าย มันทำได้เพียงชะลออายุของเย่หนานเท่านั้น ให้ได้เลื่อนเวลาออกไปอีกหน่อย เรามาหาวิธีการที่ดีที่สุดกันเถอะ”
ทันใดนั้นเองหัวใจของเหยียนป๋อชวนก็สงบลง มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเย่หนานมีชีวิตอยู่ต่อ
หรือถ้าทำไม่ได้มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพราะถ้าเย่หนานมีชีวิตอยู่ต่อเขาก็จะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ถ้าเย่หนานตายเขาก็จะตายตาม
ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ครั้งนี้เขาก็จะไม่ปล่อยมือหล่อน
……
สวี่ชิงรอจนกระทั่งผางเจิ้งหัวพาเฟิงซูฮวาออกไป แล้วจึงมาช่วยหู่จือจัดแจงรถ เธอมองดูสิ่งของมากมายและพบว่าหู่จือไม่สามารถขนของไปเพียงลำพังได้ เธอจึงช่วยเขาเข็นรถไปส่งถึงที่
หม้อเนื้อตุ๋นกับหม้อน้ำซุปที่แขวนอยู่บนคันบังคับรถจักรยาน ทำให้สวี่ชิงไม่กล้าปั่นรถจักรยานออกไป
หูจือเพียงเข็นรถจักรยานและเดินไปที่สถานีรถไฟพร้อมกับสวี่ชิง
สวี่ชิงที่ไม่มีอะไรทำก็หันไปคุยกับหู่จือว่า “ได้เรียนรู้อะไรจากพี่เจิ้งหัวบ้างไหม?”
หูจือยิ้มอย่างโง่เขลา “ได้สิครับ พี่ชิงชิง ตอนนี้ผมผัดมันฝรั่งเส้นเป็นแล้ว แถมยังทำได้อร่อยกว่าของแม่อีก ทุกครั้งที่อยู่ในร้านผมจะมีหน้าที่ผัดอาหาร ผัดจนพี่เจิ้งหัวชมผมเลยล่ะ”
สวี่ชิงพยักหน้า “ดีมาก ถ้าฝึกให้มากกว่านี้ ต่อจากนี้ไปก็ไปเปิดร้านอาหารทำธุรกิจตัวเองได้แล้ว”
หูจือรีบส่ายหน้าด้วยท่าทางเริงร่า “ไม่เอาหรอกครับ แม่บอกให้ผมคอยติดตามพี่ไป จะได้ไม่มีความเสี่ยง นอกจากนี้พี่ยังคอยเลี้ยงข้าวพวกเราด้วย”
สวี่ชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เพราะสิ่งที่ซุนเชียวเฟิ่งพูดเป็นความจริงทุกประการ ตอนนี้ผู้คนทั้งหลายไม่กล้าลงทุนทำธุรกิจกัน หวาดกลัวว่าจะทำให้สินทรัพย์ของครอบครัวเบาบางลงและยากจนขึ้น
“งั้นก็ตามพี่มานะ หลังจากนี้เราจะไปเปิดร้านอาหารทั่วประเทศกัน และหู่จือจะได้หัวหน้าอีกที”
หูจือรู้สึกว่าคำพูดของสวี่ชิงค่อนข้างเกินจริงไปเสียหน่อย ถึงกระนั้นเขากลับมีความสุขและไม่ได้โต้แย้งอะไร
ทันใดนั้น สวี่ชิงก็รู้สึกว่าถึงแม้พวกเขาจะเป็นกลุ่มก้อนเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกเพียงไม่กี่คน แต่เธอก็ไม่เคยจัดตั้งกฎข้อบังคับเลย ไม่มีแม้แต่วันหยุดพักร้อนสำหรับคนที่มีธุระจะต้องจัดการ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอจึงกำหนดกฎข้อบังคับให้ทุกคนมีวันหยุดคนละหนึ่งวันต่อสัปดาห์ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีแรงจูงใจกันมากขึ้น
ถึงกระนั้นเมื่อเปิดร้านอาหารแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปิดประตูร้านและให้ทุกคนมาพักผ่อนพร้อมกัน ดังนั้นจึงต้องพิจารณาดูว่าแนวทางใดเหมาะสมสำหรับการพักผ่อนที่สุด
ขณะที่กำลังครุ่นคิด หู่จือก็ร้องตะโกนด้วยความประหลาดใจ “พี่ชิงชิง พี่ดูสินั่นใช่ฟางหลานซินหรือเปล่าครับ? กลายไปเป็นแบบนั้นได้ยังไง?”
สวี่ชิงเงยหน้ามองฟางหลานซินที่กำลังใช้เศษผ้าทำความสะอาดกระจกร้านอาหารขนาดเล็กของฉินกุ้ยจือ
ทั้งที่ไม่ได้เห็นมาแค่สองสามวัน แต่ฟางหลานซินกลับมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะใบหน้าของหล่อนที่เนื้อบนใบหน้าบีบแน่นเข้าหากัน แม้แต่รอบเอวยังดูหนาขึ้น
ราวกับหญิงตั้งครรภ์เจ็ดถึงแปดเดือน
สวี่ชิงนึกไม่ถึงเลยว่ายาพิษของแม่จะทรงประสิทธิภาพมากขนาดนี้
ฉินกุ้ยจือออกมาและจ้องมองฟางหลานซินด้วยท่าทางขยะแขยง “เธอจะขยับให้เร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง? ดูเธอสิกินข้าวยังกับหมู ทำตรงนั้นแล้วมาทำงานตรงนี้ให้ฉันด้วยล่ะ นี่ฟางหลานซิน เธอไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้วเนี่ย เนื้อตัวเหม็นสาบชะมัด”
หล่อนบีบจมูกขณะพูด ก่อนจะมองฟางหลานซินด้วยความรังเกียจ
สวี่ชิงได้ยินคำพูดดังกล่าวชัดเจนมาจากระยะไกล พอเห็นฟางหลานซินเป็นแบบนี้แล้ว เธอก็รู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งความเกลียดชังในใจยังคลี่คลายลง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีชีวิตต่อก็จริง แต่ต้องมาเป็นภาชนะกู่ให้เย่หนานล่ะ เหมือนถูกจองจำด้วยตรวนที่มองไม่เห็นเลย
ยาสั่งแม่เย่หนานออกฤทธิ์โหดมาก สภาพนังแม่เลี้ยงเหมือนโดนของเลย
ไหหม่า(海馬)