เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 298 ค้นหาวิธีช่วยเหลือเย่หนาน
บทที่ 298 ค้นหาวิธีช่วยเหลือเย่หนาน
สวี่ชิงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ขณะเช็ดมือและเดินออกไป
แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู เธอกลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็นหยวนฮวา!
สวี่ชิงมีสีหน้าไม่ดีนักเมื่อนึกขึ้นได้ว่านางเป็นผู้สนับสนุนหลักให้เจียงเสวี่ยอิงทำร้ายแม่ จึงรีบเดินไปปิดประตูและแสดงท่าทางว่าจะไม่ให้เข้ามา “คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
หยวนฮวาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของสวี่ชิง “แม่หนู พูดอะไรแบบนั้น? ฉันเป็นย่าเธอนะ ทำไมถึงได้ทำตัวไร้การศึกษานัก?”
สวี่ชิงมองไปที่หยวนฮวาพร้อมกับพูดเหน็บแนม “ก็ฉันไม่มีการศึกษาจริง ๆ นี่คะ แค่มีสายเลือดสืบทอดจากครอบครัวคุณเท่านั้น ถ้าคุณมีอะไรจะพูดก็พูดมาเลยค่ะ แต่ถ้าไม่มี ฉันจะได้ปิดประตู”
หยวนฮวาฉุนมาก “แม่เธออยู่หรือเปล่า? ฉันอยากเจอหล่อนหน่อย”
แต่ก่อนที่สวี่ชิงจะพูดอะไร เหยียนจี้ชวนก็ปรากฏกายขึ้นและคว้าเข้าที่ข้อมือของหยวนฮวา “แม่บ้าไปแล้วเหรอ แม่มาทำอะไรที่นี่?”
หยวนฮวาสะบัดแขน “ปล่อยแม่เดี๋ยวนี้ แม่แค่ทนดูพี่ชายใหญ่ของแกเฉย ๆ ไม่ได้! อายุเพิ่งเท่าไหร่เองถึงจะมาเกษียณตัวเอง ก็แค่ผู้หญิงคนเดียวถึงกับจะยอมทิ้งอนาคตดี ๆ เลยเหรอ”
เหยียนจี้ชวนรู้สึกปวดหัวไปชั่วขณะ “ผมบอกแม่แล้วไงว่าอย่ามายุ่งเรื่องนี้! พี่ใหญ่ไม่ใช่เด็กสองสามขวบแล้ว เขาจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่ความพอใจของเขา”
“ตามความพอใจเหรอ? ถ้าตามความพอใจ เขาควรจะเกษียณตัวเองตอนอายุสี่สิบห้าหรือเปล่า? จะมีสักกี่คนที่อายุเท่าเขาแล้วสามารถไต่ขึ้นตำแหน่งสูงสุดได้? อนาคตที่ทำงานหนักมาหลายปีกำลังพังทลายลงเพราะผู้หญิงคนเดียว! แม่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นว่าเขาจะฆ่าจะแกงจะจุดไฟเผาเพื่อผู้หญิงหรือไม่? แค่อยากจะเห็นว่าผู้หญิงหน้าไหนที่ทำให้เขาเป็นบ้าได้ขนาดนี้”
หยวนฮวารู้สึกอึดอัดคับข้องใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีใครไม่รู้บ้างว่านางมีลูกชายแสนดีถึงสองคน และลูกชายเหล่านี้ล้วนมีความสามารถในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แม้จะยังไม่ได้แต่งงาน แต่ก็อุทิศชีวิตเยาว์วัยให้กับแผ่นดินใหญ่ จนนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์!
แล้วตอนนี้ล่ะ? อย่าว่าแต่ทำเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งเลย เขาถึงกับต่อต้านกฎหมายและลักพาตัวเจียงเสวี่ยอิงหายไป!
สวี่ชิงมองหยวนฮวาด้วยสายตาเย็นชา “พูดจบหรือยังคะ? พูดจบแล้วก็ช่วยกรุณารีบออกไปที แม่ฉันก็ไม่ชอบผู้ลากมากดีอย่างคนบ้านสกุลเหยียนนักหรอกค่ะ แล้วไม่ต้องห่วงนะคะ ตลอดชีวิตนี้ฉันจะไม่มีวันใช้แซ่เหยียนเด็ดขาด!”
เธอพูดด้วยสีหน้ามืดครึ้มและปิดประตูลง เหยียนจี้ชวนรู้ดีว่าสวี่ชิงเป็นเด็กที่ดื้อรั้นมาก เขาจึงรีบเดินเข้ามาดึงหยวนฮวาออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดพล่อยไปมากกว่านี้
เสียงประตูกระแทกปิดตามหลังเขามาทันที
หยวนฮวามีสีหน้าโกรธจัด นางชี้นิ้วไปที่ประตูและหันไปมองเหยียนจี้ชวน “แกดูสิ แกดู ไร้มารยาทซะไม่มี! พวกแกก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับหล่อนอยู่ได้”
เหยียนจี้ชวนโกรธจัดเช่นกัน แต่ยังแสดงสีหน้าเรียบนิ่ง “แม่ ผมขอเตือนแม่ไว้เลยนะ อย่ามาหาเย่หนานกับชิงชิงอีก และไม่ต้องเข้าไปยุ่งเรื่องของพี่ใหญ่ด้วย ไม่งั้นแม่จะไม่สูญเสียแค่หลานสาว แต่ยังจะสูญเสียลูกชายด้วย”
หยวนฮวาจ้องเขม็งไปที่เหยียนจี้ชวน “แกขู่แม่เหรอ?”
เหยียนจี้ชวนหัวเราะ “ผมไม่ได้ขู่แม่สักหน่อย ก็แค่บอกความจริงกับแม่”
เขาพูดและก้าวไปข้างหน้า ขณะที่หยวนฮวารีบวิ่งตามไป “ที่แกพูดมันหมายความว่ายังไง? เหยียนป๋อชวนจะตัดแม่ตัดลูกจริง ๆ เหรอ? แม่ว่าเขาชักจะเนรคุณเกินไปแล้ว ต้องหาใครมาดัดสันหลังสักที ถ้าแกไม่เชื่อก็ลองไปถามดูว่าที่แม่ทำแบบนี้มันดีกับตัวเขาหรือเปล่า”
เหยียนจี้ชวนรู้สึกหดหู่ใจ เขาไม่อยากพูดอะไรกับหยวนฮวาอีกและรีบเดินไปข้างหน้าอย่างว่องไว การสนทนากับอีกฝ่ายมันทำให้เขาเหนื่อยล้าเกินไป
……
สวี่ชิงคิดว่าเหตุการณ์เอ็ดตะโรหน้าประตูอาจจะปลุกให้เย่หนานตื่นขึ้นมา เธอกลัวว่าแม่จะอึดอัดใจ จึงรีบเข้าไปดู แต่ก็เห็นว่าเย่หนานกำลังนอนหลับสนิทอยู่
แมวดำที่อยู่ข้าง ๆ เย่หนานลืมตาขึ้นและหลับตาลงอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงสวี่ชิงเดินเข้ามา
สวี่ชิงรู้สึกว่าการที่เย่หนานนอนหลับแบบนี้มันค่อนข้างผิดปกติ เธอจึงนั่งลงที่ขอบเตียง ยื่นมือออกไปอังลมหายใจของอีกฝ่าย พบว่าลมหายใจของแม่เบาบางกว่าคนปกติมาก
และมักจะให้เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะไม่หายใจในวินาทีถัดไป
สวี่ชิงนั่งอยู่บนขอบเตียงขณะมองไปที่เย่หนาน จับมือหล่อนอย่างอ่อนโยนและกดชีพจรอย่างไม่ยอมแพ้
เธอรู้ว่าชีพจรของคนที่มีสุขภาพแข็งแรงและเต้นแรง ของคนป่วยจะเต้นช้า และของผู้หญิงจะค่อนข้างเบา
แต่ชีพจรของเย่หนานนั้นคลุมเครือเกินกว่าจะตรวจวัดได้
สวี่ชิงจับมือเย่หนาน นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี นอกเสียจากจะพาหล่อนไปตรวจสุขภาพร่างกาย
เธอรู้ว่าถ้ามีสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายของเย่หนาน คุณย่าจะต้องการวิธีการได้ ทว่าคุณย่ากลับไม่พูดอะไรเลย บางทีมันอาจจะไม่ใช่สารพิษ ดังนั้นวิธีการเดียวที่จะทราบสาเหตุได้คือไปตรวจร่างกายและตรวจเลือดด้วยอุปกรณ์การแพทย์ของทางโรงพยาบาล
สวี่ชิงนั่งอยู่ในห้องครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกมาอีกครั้ง เห็นเฟิงซูฮวานั่งอยู่ที่ลานบ้าน แหงนหน้ามองใบต้นฉัตรจีนร่วงหล่นลงมา
สีหน้านางดูจริงจังผิดปกติ
เฟิงซูฮวาค่อย ๆ หันหน้ากลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอ มองดูสวี่ชิงด้วยท่าทางสงบและกวักมือเรียก “ชิงชิง มานั่งนี่สิ”
สวี่ชิงเดินเข้าไปนั่งข้างเฟิงซูฮวา
เฟิงซูฮวาลูบศีรษะของสวี่ชิงและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ตอนที่หลานยังเด็ก ย่าจะน่าจะรู้ให้เร็วกว่านี้ว่าหลานคือหลานของเย่สุ่ยตัง ย่าจะได้คอยอยู่เคียงข้างหลานไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
สวี่ชิงจับมือเธอ “คุณย่า ตอนนี้ฉันสบายดีแล้วค่ะ อีกอย่างหลายปีที่ฉันต้องอยู่กับสวี่จื้อกั๋วและฟางหลานซิน ฉันก็ได้กินอิ่มนอนหลับเหมือนกันนะคะ”
เฟิงซูฮวาหัวเราะ “หลานไม่ต้องเก็บไปคิดหรอก อีกสักแป๊บเอ้อซีก็จะมาถึงแล้ว มาพาย่ากลับไปที่ซอยฮวยซู่ ย่าจะกลับไปอยู่ที่นั่นสักพักหนึ่ง”
สวี่ชิงตกใจ “แม่ก็อยู่ที่นี่ ทำไมไม่อยู่คุยกันก่อนล่ะคะ? ถ้าคุณย่าไปอยู่ที่นั่น ฉันคงดูแลคุณย่าไม่ได้”
เฟิงซูฮวาโบกมือ “ไม่ต้องมาดูแลย่าหรอก ย่าดูแลตัวเองได้ ถึงย่าจะดูเงอะ ๆ งะ ๆ แต่ก็ยังใช้ชีวิตต่อได้”
ทว่าสวี่ชิงไม่เห็นด้วย “คุณย่า มีอะไรต้องทำเหรอคะ? ให้ฉันไปช่วยไหมคะ มันหนาวนะ ฉันเป็นห่วงถ้าคุณย่าจะต้องอยู่คนเดียว”
เฟิงซูฮวายังคงยืนกรานคำเดิม “ย่าจะกลับไปใช้ชีวิตสักสองสามวัน อยู่ที่นี่มันสบายเกินไป อยากจะไปกลับไปดูกู่ที่รักสักหน่อย”
สวี่ชิงไม่ได้พูดอะไรต่อ ตอนนี้อากาศหนาวมาก จะไปเอาแมลงมีพิษมาจากที่ไหน
และเวลาเพียงไม่กี่วัน จะเลี้ยงกู่ขึ้นมาได้อย่างไร
ท้ายที่สุด สวี่ชิงไม่ได้รั้งเฟิงซูฮวาเอาไว้ ในขณะที่ผางเจิ้งหัวมารับเฟิงซูฮวากลับไปทันทีที่มาถึง เดิมทีเธอต้องการจะปั่นจักรยานตามไป แต่เฟิงซูฮวากลับดูไม่เห็นด้วยนัก
ทำได้เพียงกำชับสั่งเสีย และมองดูผางเจิ้งหัวพาเฟิงซูฮวาออกไป
เฟิงซูฮวาสั่งให้ผางเจิ้งหัวเลี้ยวไปอีกทาง “ตรงไปสี่แยกและไปทางทิศตะวันออก เราจะไปเมืองฝั่งตะวันออกกัน”
ผางเจิ้งหัวประหลาดใจ “ไม่ได้จะไปซอยฮวยซู่เหรอครับ?”
เฟิงซูฮวาที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ข้างหลังค่อย ๆ พูดขึ้น “ย่าต้องไปทำธุระก่อน”
ผางเจิ้งหัวไม่ได้ถามอะไรอีกและรีบปั่นไปตามคำสั่งของเฟิงซูฮวา จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าอาคารหลังเล็กที่มีลักษณะทรุดโทรมในเขตชานเมืองทางด้านตะวันออก เขาขมวดคิ้วเมื่อมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอย “คุณย่า ไม่เห็นมีใครอยู่ที่นี่เลยครับ ดูเหมือนว่าจะเป็นสำนักงานใหญ่ของหงเสี่ยวผิง”
เฟิงซูฮวาลงจากรถ พยุงไม้เท้าขณะมองไปที่อาคารหลังเล็กตรงหน้า นางหรี่ตาลงชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองผางเจิ้งหัว “เธอกลับไปก่อน เดี๋ยวย่าจะกลับไปเอง”
ทว่าผางเจิ้งหัวไม่เห็นด้วย ขณะที่เท้าเล็ก ๆ ของแม่เฒ่าเหยียบย่ำผ่านความมืดเข้าไปในตัวบ้าน
เฟิงซูฮวาโบกมือ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวย่าจะให้พ่อชิงชิงไปส่งให้ เธอกลับไปซะ”
ผางเจิ้งหัวฟังน้ำเสียงแน่วแน่ของเฟิงซูฮวา “จริงเหรอครับ?”
เฟิงซูฮวาหัวเราะ “ย่าแก่จนป่านนี้แล้วจะโกหกหลานไปทำไม? อีกอย่างข้างในนั้นจะมีอันตรายอะไรได้ รีบกลับไปเปิดร้านซะ การหาเงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
ผางเจิ้งหัวปั่นจักรยานออกไปหลังจากที่ได้การยืนยันที่มั่นใจ
เฟิงซูฮวาหรี่ตามองอาคารหลังเล็ก เอนตัวผิงไม้เท้า ลำตัวค่อมงองุ้มค่อย ๆ เดินเข้าไป และทุกครั้งที่ไม้เท้ากระทบกับแผ่นหิน เสียงทึบตันจะดังขึ้นเป็นระยะ
ทว่าน่าแปลกตรงที่เสียงดังกล่าวกลับหายไปหลังจากที่เดินเข้าไปในตัวอาคาร…
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เถียงกับผู้ใหญ่ที่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดตัวเองนี่มันเหนื่อยจริงๆ เหมือนตะโกนคุยกับกำแพงอะ
คุณย่าเฟิงจะเข้าไปทำพิธีอะไรหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)