เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 295 ปล่อยวางทุกอย่าง
บทที่ 295 ปล่อยวางทุกอย่าง
สวี่ชิงรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย รีบปรี่เข้าไปกอดเย่หนาน “แม่คะ แม่เป็นอะไรไหม?”
เย่หนานโบกมือ “ไม่เป็นไรๆ แค่เหนื่อยนิดหน่อย นานแล้วที่ไม่ได้ใช้กำลังแบบนี้ นอนหนึ่งตื่นก็หายดี”
สวี่ชิงพยุงหล่อนให้นอนลง และดึงผ้านวมมาห่มให้
ราวกับใช้ความพยายามเพียงแค่ชั่วพริบตา เย่หนานก็ผล็อยหลับสนิท
สวี่ชิงหวาดกลัวมากจนไม่กล้าออกไปไหน เอื้อมมือออกไปตรวจลมหายใจของเย่หนาน เพราะกลัวว่าหล่อนจะจะจากไปในขณะที่นอนหลับอยู่
เธอรู้สึกว่าจะต้องหาทางช่วยเย่หนานโดยไม่มัวรีรออีก
ตอนเย็นเธอเข้าไปคุยกับเฟิงซูฮวาอีกครั้ง ถึงกระนั้นก็ยังหาวิธีการที่ดีไม่ได้
สวี่ชิงอยากจะพาเย่หนานไปตรวจสภาพร่างกายที่เมืองปักกิ่งหรือไม่ก็เมืองเซี่ยงไฮ้ ทว่าเฟิงซูฮวากลับส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์ โรงพยาบาลตรวจหาไม่เจอหรอก”
สวี่ชิงเริ่มกระวนกระวาย “แล้วจะทำยังไงดีคะ? คุณย่า ฉันรู้สึกไม่ดีเลย รู้สึกเหมือนแม่กำลังฝืนตัวเอง กลัวว่าถ้าครั้งต่อไปผล็อยหลับแล้วจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก”
เฟิงซูฮวาเอนตัวลงบนเก้าอี้ แหงนหน้ามองต้นฉัตรจีนด้วยแววตาอันหนักอึ้ง ใบไม้ที่แห้งเหี่ยวร่วงหล่นลงมาจนสามารถมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน
ก่อนจะถอนหายใจยาว “โชคชะตาไม่อาจฝืนได้”
ต้องโทษที่ความรู้ของนางตื้นเขินเกินไป ไม่รู้ว่าต้องฝืนฟ้าเปลี่ยนชะตาอย่างไร ไม่เช่นนั้นนางคงมอบชีวิตให้เย่หนานได้
สวี่ชิงร้อนใจ แต่ไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้เลย เธอยุ่งอยู่กับกิจการร้านอาหาร ในขณะที่พยายามสร้างสรรค์อาหารบำรุงสุขภาพอันแสนอร่อยที่ดีที่สุดให้แก่เย่หนาน และถ้าคิดไม่ออกก็แค่ใช้อาหารบำรุง
ที่บ้านจะต้องมีน้ำซุปทุกวัน ไม่เคยขาด
สามวันต่อมา ฟางหลานซินไม่ได้มาหาเย่หนาน ซึ่งนับประสาอะไรกับสวี่จื้อกั๋ว สวี่ชิงเดินผ่านร้านอาหารของฉินกุ้ยจือ ทว่ากลับไร้วี่แววของฟางหลานซิน เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายหายเป็นปกติหรือตายไปแล้วกันแน่?
ถึงกระนั้นฉินเสวี่ยเหมยไม่ได้มาซุบซิบอะไร ดังนั้นคงไม่เป็นไรกระมัง
ทว่าสิ่งที่ทำให้สวี่ชิงประหลาดใจกว่าคือเหยียนป๋อชวนผู้เป็นพ่อที่หายตัวไปตั้งแต่คืนนั้น รวมถึงเกาจ้านที่ดูจะยุ่งมากจนไม่มีเวลามาที่นี่
คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก พ่อควรจะมาเฝ้าแม่ทุกวันไม่ใช่เหรอ? คอยปกป้องแม่เพื่อแลกกับการอภัย แต่ทำไมถึงไม่โผล่มาเลยล่ะ?
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาเป็นช่วงกลางเดือนตุลาคมพอดี ฝนตกหนักตลอดทั้งสองวัน ทำให้อากาศในเมืองเย็นลง
สวี่ชิงคอยจุดไฟเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ในบ้าน เพราะกลัวว่าเย่หนานกับเฟิงซูฮวาจะหนาว
เธอเผามันเทศสองหัวให้ทั้งสองคน จนทั่วทั้งตัวบ้านหอมกลิ่นมันเทศเผาตลบอบอวล
สวี่ชิงนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก เอามือเท้าคางเฝ้าดูเย่หนานกับเฟิงซูฮวากินมันเทศเผาราวกับเด็กโข่งสองคน ขณะที่ทั้งสองคอยเปรียบเทียบขนาดและรสชาติว่าของใครดีกว่ากัน
สวี่ชิงยกมุมปากขึ้นและหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นการกระทำดังกล่าว “ถ้าอร่อย พรุ่งนี้ฉันจะทำให้อีกนะคะ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงที่มันเทศอร่อยที่สุด จะต้อรอให้น้ำค้างแข็งละลายก่อน มันเทศถึงจะอร่อยกว่านี้ค่ะ”
เย่หนานพึงพอใจมาก “นี่ก็อร่อยแล้ว ชิงชิงอยากกินไหม?”
สวี่ชิงส่ายหน้า “ฉันไม่กินค่ะ ฉันไม่หิว”
เธอพูดและจู่ ๆ ก็นึกถึงฟางหลานซิน “แม่คะ ตอนนี้ฟางหลานซินเป็นยังไงบ้าง? ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วยังไม่เห็นหล่อนมาที่นี่เลย หรือว่าจะถอนพิษได้แล้วคะ?”
เย่หนานแค่นเสียงหึ “ถอนพิษ? หล่อนคงจะไม่คิดเรื่องนี้ไปอีกตลอดชีวิต แม่แค่พูดขู่สามวันให้หล่อนกลัวเท่านั้น ที่จริงมันเป็นอาการพิษกู่เรื้อรัง หล่อนจะค่อย ๆ อ้วนขึ้น ตัวพองจนเหมือนลูกโป่ง มีกลิ่นเหม็นโชยไปทั่วทั้งตัว ยังไงก็ยังไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
จากนั้นจึงหยุดพูดชั่วคราว “ก็แค่เป็นที่รังเกียจของคนอื่น!”
สวี่ชิงนึกไม่ถึงว่าวิชากู่จะน่าสนุกขนาดนี้ “ดีจังค่ะ แม่สอนฉันทีสิคะ”
เย่หนานส่ายหน้าไปมา “หลังจากนี้ไม่ต้องใช้หรอก ตอนนี้มีชีวิตดีแล้ว ลูกไม่จำเป็นต้องเป็นแม่มด จะร่ำเรียนไปเพื่ออะไร? แล้วเมื่อไหร่โจวจินหนานจะกลับมาล่ะ?”
สวี่ชิงส่ายหน้า “ไม่รู้สิคะ เห็นบอกว่าสิ้นเดือน แต่ตอนนี้ยังมีไม่วี่แววเลย”
เย่หนานกินมันเผาส่วนที่ไหม้เกรียมเข้าไปเต็มปากเต็มคำ รสชาติที่ค่อนข้างขมทำให้หล่อนถุยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่ต้องห่วง เขาสบายดี เพราะอยู่กับลูกหรอกนะ ถึงได้ความโชคดีของลูกไปด้วย”
สวี่ชิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ถ้าแม่พูดแบบนั้นก็คงจะดีค่ะ”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ไป๋หลางที่อยู่บริเวณลานบ้านก็ดูกระสับกระส่ายขึ้น ก่อนจะเห่าสองสามครั้ง
สวี่ชิงลุกออกไปดู และพบว่าเป็นเหยียนป๋อชวนที่หายหน้าหายตาไปหลายวัน ทว่าตอนนี้เหยียนป๋อชวนกลับดูน่ากลัวขึ้น
ไม่ได้เจอเขาแค่สองสามวัน แต่น้ำหนักเขากลับลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด แก้มทั้งสองข้างดูตอบลง ดวงตาแดงฉานราวกับกำลังป่วยหนัก
สวี่ชิงร้องอุทาน “พ่อ เป็นอะไรไปคะ?”
เหยียนป๋อชวนส่ายหน้า น้ำเสียงของเขาแหบแห้งมาก “ไม่เป็นอะไร แม่สบายดีไหม?”
สวี่ชิงพยักหน้า “สบายดีค่ะ พ่อป่วยหรือคะ?”
หลังจากถามออกไปก็มีคนสองคนเดินตามเข้ามาทางประตู พวกเขาคือหลูเว่ยตงกับชายชราผมขาวที่มีหน้าตาใจดี
สวี่ชิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และร้องออกมา “ผู้เฒ่าหลู”
ผู้เฒ่าหลูพยักหน้าอย่างอ่อนโยน “เจ้าตัวน้อยตอนนั้นโตขึ้นมาก ถ้าพ่อเธอไม่พาปู่มาที่นี่ เดินอยู่บนถนนคงจะจำกันไม่ได้”
สวี่ชิงยังคงรู้สึกขอบคุณผู้เฒ่าหลูเป็นอย่างมาก และส่งยิ้มอย่างจริงใจ “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ผู้เฒ่าหลูยังดูแข็งแรงดีอยู่เลยนะคะ”
ผู้เฒ่าหลูโบกมือและหัวเราะฮ่าๆ “แก่แล้ว พอแก่ก็ไร้ประโยชน์”
สวี่ชิงยิ้มและขอให้ผู้เฒ่าหลูเข้าไปนั่งลง ทว่าผู้เฒ่าหลูกลับโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไร ปู่มาที่นี่เพื่อขอโทษแทนเว่ยตง ปู่รู้ว่าเขาคงจะสร้างปัญหาให้กับเธอมากมาย และที่ปู่มาครั้งนี้ก็เพื่อจะพาเขากลับไปที่ปักกิ่ง”
หลูเว่ยตงที่ยืนอยู่ด้านข้างผู้เฒ่าหลูรู้สึกถึงความอัปยศอดสูและขุ่นเคือง ไม่กล้าเงยหน้ามองสวี่ชิงด้วยซ้ำ
สวี่ชิงนึกไม่ถึงว่าผู้เฒ่าหลูจะพาหลูเว่ยตงกลับไปที่ปักกิ่ง ถึงกระนั้นปักกิ่งเป็นเมืองที่เหมาะสมกับการพัฒนาของหลูเว่ยตงมากที่สุด เธอจึงยิ้ม “งั้นก็ดีเลยค่ะ”
ผู้เฒ่าหลูหันไปตบศีรษะหลูเว่ยตง “ปู่บอกแกว่าไง?”
หลูเว่ยตงหันไปเผชิญหน้ากับสวี่ชิง และโค้งคำนับอย่างลึกซึ้ง “สวี่ชิง ขอโทษนะ ที่ฉันสะเพร่าจนสร้างปัญหาให้เธอ”
สวี่ชิงทำได้แต่ยิ้มแหย ๆ คงพูดว่าให้อภัยไม่ได้ เพราะพูดไปก็เท่ากับการอภัยต่อความผิด
เธอไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลูเว่ยตงอีกต่อไป เพราะเธอรู้ความคิดที่อยู่ในใจเขา และไม่มีทางที่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาเอาเปรียบผู้คนไปหน่อย และมีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ
ผู้เฒ่าหลูยิ้มขณะมองไปที่เหยียนป๋อชวน “คิดไม่ถึงเลยว่าชิงชิงจะเป็นลูกสาวของคุณ แต่ก็ดีแล้ว หล่อนเป็นเด็กดีมาตั้งแต่เด็ก ครั้งนี้เว่ยตงสะเพร่าเกินไป ถ้าผมรู้ตั้งแต่แรก ผมคงจะพาหล่อนไปที่ปักกิ่งด้วย”
เขาไม่ได้รอให้เหยียนป๋อชวนพูดอะไร แต่กับส่งยิ้มให้สวี่ชิงแทน “ถ้ามีโอกาสได้มาที่ปักกิ่ง อย่าลืมมาเยี่ยมปู่หลูด้วยล่ะ”
สวี่ชิงพยักหน้า “ผู้เฒ่าหลู ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะไปหาแน่นอนค่ะ”
ผู้เฒ่าหลูใช้ฝ่ามือตบหน้าหลูเว่ยตง “ไปเร็วเข้า พรุ่งนี้เราต้องกลับแล้ว”
หลูเว่ยตงเดินตามผู้เฒ่าหลูออกไปเงียบ ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าประตูและหันกลับมามองสวี่ชิงที่ออกมาส่งพวกเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง
ราวกับสายตาคู่นั้นได้ตราตรึงสวี่ชิงเอาไว้ในใจอย่างแน่นหนา
คุณปู่พูดถูก ความชอบจะต้องไม่ใช่การทรมาน หรือยัดเยียดความดีความชอบของตัวเองให้อีกฝ่าย
ความชอบคือการได้มองดูเธอเติบโตขึ้นอย่างดีและมีความสุข
เขายังเด็กเกินไป และหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ไม่อาจหมกมุ่นอยู่กับปัจจุบันจนทำให้ชีวิตที่ควรจะเป็นยุ่งเหยิงขึ้น
สวี่ชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นหลูเว่ยตงกับผู้เฒ่าหลูจากไป
ได้แต่หวังว่าหลังจากนี้ไปหลูเว่ยตงจะเริ่มเดินทางตามรอยเส้นทางชีวิตในชาติที่แล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คุณพ่อเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมท่าทางซูบเซียวเหมือนโดนของ?
ปล่อยวางได้ก็ดีแล้ว ความรักคือการได้เห็นอีกฝ่ายมีความสุขออกมาจากใจของเขาเอง ไม่ใช่การบังคับฝืนใจอีกฝ่ายนะ
ไหหม่า(海馬)