เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 331
< < 203 Sec3 > >
“เรื่องมันก็ประมาณนี้”
“คัลเซเรมแตก นักโทษแหกคุกออกมา เกิดการต่อสู้ขึ้นหลายฝ่าย เจ้าชายของอาณาจักรมหาอำนาจคิดจะก่อมหาสงคราม จุดประสงค์ที่แท้จริงของการก่อตั้งคัลเซเรม ..ยูจิเนี่ย พักหลังๆเจอแต่เรื่องแฮะ”
พูดให้ถูกคือเอาตัวไปชนกับปัญหาละนะ พ่อพระเอกคนนั้น
ผมหัวเราะพึมพำในลำคอ พลางมองดูสภาพของคัลเซเรมที่ไร้ซึ่งผู้คน
“แล้วเกิดอะไรบางอย่างขึ้นอีกขั้นตอนสินะ”
“คงจะอย่างนั้น”
เห็นแล้วก็อดเหนื่อยแทนยูจิไม่ได้ ได้ยินจากมาเจล และหลายบุคคลว่าเจ้าตัวโดนเทพดาบตบ แล้วส่งเข้าคัลเซเรม จากนั้นก็โดนหมายหัวจากบิ๊กเนมในคัลเซเรม ต้องพยายามเอาตัวรอด ลำบากมากก็จริงแต่ก็ทำสำเร็จ ได้ตำแหน่งระดับสูงมาแล้วจึงคิดจะแหกคุกแล้ว แต่ก็ไม่ทันโดนซอยซะก่อน จะโดนใช้เป็นเครื่องสังเวยเรียกเทพมังกร อะไรต่างๆนานา คุกคัลเซเรมแตก เกิดการต่อสู้ขึ้นมากมาย ตามที่มาเจลเล่าให้ฟัง
บังเอิญไปเจออลิซาเบธด้วย ดูเหมือนว่าจะได้เธอช่วยเอาไว้ แต่ ..ยังไงกันนะ
ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้า ซึ่งมีวัตถุสีทองเหมือนกับคราวสงครามกลางเมืองที่อาณาจักรเนลยอน
“การถือกำเนิดของเทพมังกร ..คัลเซเรมที่ไร้ผู้คน”
คงจะเกิดเรื่องสุดจะน่าปวดหัวขึ้นแหงๆ
“ถ้านั้นก็–หนิง เรย์ ไปลุยก่อนเลย เดี่ยวตามไป”
“นี่แหละที่อยากได้ยิน!”
“รีบตามมาเร็วๆละ”
ผมส่งสัญญาณให้หนิงกับเรย์–ร่างมังกรของหนิงที่นั่งอยู่ล่องไปจอดที่ยอดสุดของคัลเซเรม หนิงกลับร่างเป็นคนพร้อมสวมใส่เสื้อผ้าในพริบตาเดียว เรย์กระโดดลงจากคัลเซเรมด้วยความรวดเร็ว ส่วนหนิงก็บินลงไปด้วยปีกที่งอกออกมา
พวกผม ได้แก่ มาเจล,คาร่า,การ์ป,ชินดร้า และ ฟัฟนิร์ ลงสู่บนยอดสุดของคัลเซเรม และพบกับเศษเสื้อผ้า เศษซากต่างๆนานา และเด็กสาวคนหนึ่ง เธอนั่งกอดเสื้อผ้าของใครบางคนอยู่
ตามที่มาเจลเล่าเอาไว้
“ ‘มหามังกรปฐพี’ ‘เกรล’ สินะ ไม่ได้เจอกันนาน”
ผมส่งเสียงทักเจอจากข้างหลัง เกรลเกิดอาการสั่นเมื่อถูกผมเรียกชื่อ ก่อนที่เธอจะหันหน้ามามองอย่างเชื่องช้า
สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตาที่หมดอะไรตายอยาก ใบหน้าซีดเผือก ไม่สมกับเป็นมหามังกรผู้มีพลังชีวิตเหลือล้น
“….ยะ ..ยูนา?”
เกรลถีบร่างของตัวเองไปข้างหลัง ขณะเดียวกันก็กอดเศาผ้าไว้แน่น
“คือว่านะ ทางนี้มีธุร–”
“อย่าเข้ามานะ!!”
เผลอแค่แปปเดียวหล่อนก็สาดกระสุนหินใส่ผม แน่นอนว่าผมไหวตัวทัน จึงสามารถป้องกันได้โดยการใช้ตัดมิติส่งมันไปทิศอื่นแทน ..
“ถ้ายูนาเข้ามาจะฆ่าทุกคนทิ้ง! เพราะนั้นอย่าเข้ามานะ!!”
“เดี่ยวสิๆ ฉันไม่ได้จะมาหาเรื่องหรอกนะบอกให้”
“อย่าเข้ามา ..อย่าเข้ามา ..อย่าเข้ามา”
รู้สึกเหมือนกำลังแกล้งเด็กยังไงไม่รู้แฮะ
‘ขอโทษแทนเกรลด้วยนะคะ หล่อนเป็นพวกขี้ขลาดน่ะค่ะ เพียงแค่โดนจับมาฆ่าและชุบเพียงสิบรอบสภาพจิตใจก็รับไม่ไหวแล้วหวาดกลัวฉันอย่างไร้สติ หึๆ น่าสมเพซ’
พอได้มาเจอกับยูนาผู้กระทำตนในตอนนั้นก็เลยกลัวไปโดยปริยาย อืม สมชื่อฝันร้ายของมหามังกรเลยแฮะ ยูนา
‘ขอบคุณค่ะ’
จะมองว่าชมก็คงได้อยู่ แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนไปละกัน
“ในหมู่พี่น้องเกรลนั้นหวาดกลัวยูนาที่สุดเลยละ”
ฟัฟนิร์เสริมให้ผมฟัง คาร่าก็เข้ามาเสริม
“เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายของพี่น้องมหามังกรทีเดียว ยังจดจำวันๆนั้นได้อยู่เลย หากให้เรียกว่าการสังหารหมู่ก็ไม่ผิดนักน่ะจ๊ะ จึงไม่แปลกที่จะเป็นอย่างนั้นเข้า สรุปก็คือหนุ่มน้อยเรเซอร์ไม่น่าจะสื่อสารกับเกรลให้รู้เรื่องได้หรอกนะจ๊ะ ให้คนอื่นคุยแทนดีกว่าจ๊ะ”
“ฉันเอง”
มาเจลเสนอตัวโดยไม่รีรอคำตอบ เจ้าตัวเดินเข้าไปคุยด้วยเลย
“เจ้าน้องชายหน้าโง่มันหายไปไหนแล้ว?”
“ลีออนไม่ใช่น้องชายหน้าโง่ของใครทั้งนั้น”
“หา? …อึก..อือ จะไม่บอกจริงๆสินะ ..จะ.เจ้าโง่ลีออนมันหายไปไหนแล้ว”
แค่เรียกชื่อคนอื่นมันยากขนาดนั้นเลยรึ พ่อคุณ
จะยังไงนิสัยมาเจลก็น่าเอือมแฮะ หนักกว่าเคียวยะเยอะเลย
“….”
“..เห้ย”
เกรลไม่ตอบ เธอทำเพียงก้มหน้ามองพื้น และกอดเสื้อผ้าเอาไว้ทั้งอย่างนั้น
“ฉันคนนี้ถามอยู่เชียวนะ”
“…..”
ผมมองไปรอบๆ
คัลเซเรมที่ไร้ผู้คน วัตถุสีทองบนท้องฟ้า เศษเสื้อผ้าของใครหลายคน
“ลีออนหายไปแล้วสินะ ด้วยเรื่องบางเรื่อง ทำให้ชายคนนั้นถูกทำให้หายไป”
“…..”
“นั้นเองรึ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็รีบๆบอกสิ”
มาเจลกล่าวตำหนิเกรล ก่อนจะหันหลังเดินตรงไปที่ขั้นบรรไดไปชั้นล่าง
“รีบไปไหนล่ะนั่น?”
“ไม่มีธุระอะไรที่นี่แล้ว”
“หืม เอานั้นก็ได้ กลับบ้านเองละกัน”
“ไม่ต้องบอกก็จะเอาอย่างนั้น โคตรอยากจะอ้วกเลยวะจะบอกให้ที่ต้องยืมมือพวกแกมาถึงที่นี่”
“พูดเหมือนฉันอยากช่วยตายแหละ แค่ศีลธรรมในฐานะมนุษย์มันช่วยแกไว้ก็แค่นั้น”
“อย่ามาถือดีเหมือนเป็นผู้มีพระคุณหน่อยเลย พวกแกก็ได้ข้อมูลจากฉันคนนี้ไปไม่ใช่รึไงหะ? มันควรเป็น วิน-วิน มากกว่าฉันไปพึ่งแกไม่ใช่รึไง ไอ้ขุนนางหน้าเห่ย”
ผมคิดว่าตัวเองอยู่ในหมวดหมู่ดูดีทีเดียวนะ ถึงจะมีข่าวลือเสียๆหายๆเยอะ แต่ตัวจริงของผมคือหนุ่มหล่อมาตรฐานสูงกว่าขุนนางระดับเดียวกันเล็กน้อย แต่เมื่อนำไปผนวกกับร่างกายที่ดูแลอย่างดีแล้ว คิดว่าตัวเองน่าจะดูดีกว่าเจ้าชายของอาณาจักรฟัฟนิร์ตัวเป็นๆซะอีก แต่ก็นะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอยู่แล้ว
“นั่นสินะ ถ้านั้นก็ขอโทษด้วยละกัน พ่อยอดอัจฉริยะ”
ผมยอมปล่อยให้มาเจลไปง่ายๆ
อีกฝั่งของคัลเซเรมเป็นทะเลทรายสีแดงซึ่งเป็นเขตุแดนนรกกินคนก็จริง แต่อีกฝั่งคือทะเลที่แสนปลอดภัยเมื่อเทียบกับอีกฝั่งน่ะนะ คงจะหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง หรือต่อให้บักนี่เป็นอะไรก็ไม่ใช่กงการอะไรของผมอยู่แล้วด้วย เอาตามนี้
ทว่า
“รักคนๆนั้นมากขนาดไหนเหรอ?”
ฟัฟนิร์เดินมาข้างหน้า และเอ่ยออกมาต่อหน้าเกรลผู้สิ้นหวัง
“วิธีที่จะช่วยพอมีอยู่นะ”
“..จริงเหรอ?”
วินาทีนี้ การทักทายพี่สาวของตัวเองหรือพูดคุยอะไรให้ยืดยาวไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเกรลคงจะเป็นองค์ชายของเกรลที่เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เศษผ้าเท่านั้น
วิธีที่ฟัฟนิร์กำลังจะบอกคืออะไรกัน–ชินรู้ตัวก่อนผม เขาเดินมาข้างหน้า ข้างๆฟัฟนิร์
“จะดีหรือขอรับ? หากบอกวิธีนั้นไป ..ท่านฟัฟนิร์ยังพอว่า แต่ท่านเกรลไม่น่าจะ ..”
“ระหว่างมีชีวิตแต่เหมือนคนตายทั้งเป็น กับตายทั้งๆที่ยังเป็นเกรลน้องของข้า ข้าเลือกอย่างหลัง”
“วิธี มีวิธีอยู่จริงๆเหรอ!?”
เกรลวิ่งเข้ามาเกาะร่างของฟัฟนิร์ พอเทียบกันแล้ว ฟัฟนิร์เหมือนกับเด็กมัธยมต้น ส่วนเกรลเหมือนกับเด็กประถมต้น ส่วนสูงที่แตกต่างกันทำให้ทราบได้ว่าใครเป็นพี่เป็นน้อยเพียงแค่มอง
“มีสิ วิธีเดียวที่ข้าเคยทำกับต้าวชินเมื่อไม่นานมานี้”
..วิธีนั้นมัน
ฟัฟนิร์ชี้นิ้วไปที่หน้าอกของตัวเอง
“มอบหัวใจมหามังกรให้แก่ผู้ที่คู่ควร หรือก็คือ–มอบมันให้แก่คนสำคัญที่ควรจะมีชีวิตต่อไป ถ้าหากทำได้ มอบให้ครึ่งหนึ่งจะเป็นการดีกับทุกคนมากกว่า แต่ ..เกรลคงไม่ได้ชำนาญการควบคุมพลังของตัวเองเท่าข้าสินะ?”
“..ทำไม่เป็นหรอกของแบบนั้น”
“ถ้านั้นก็ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง ตอนนี้ยังทันอยู่ มอบหัวใจทั้งดวงให้แก่ชายคนนั้น ทำเช่นนั้นเกรลก็จะช่วยคนสำคัญไว้ได้”
“เข้าใจแล้ว จะทำ”
เกรลตอบกลับอย่างว่าง่าย เธอเดินกลับไปทางลีออน ฟัฟนิร์มองส่งด้วยใบหน้าที่ตึงเครียด
สุดท้ายก็ทนไม่ไหว
“คิดดีเหรอ?”
เกรลโพล่งขึ้นมาท่ามกลางวงสนทนาอีกครั้ง
“กับชีวิตของเจ้ามนุษย์ที่คิดก่อสงครามล้างบางผู้คนเพียงคนเดียว ถึงขนาดยอมสละชีวิตของตัวเองให้ เทียบกับเกรลแล้ว เจ้าควรจะมีชีวิตต่อไปมากกว่า ในฐานะน้องสาวของพวกข้า รู้รึเปล่า ตอนนี้น่ะ กับต้าวเนลยอนคืนดีกันแล้วนะ จะได้กลับไปเป็นสี่พี่น้องมหามังกรเหมือนกับแต่ก่อนแล้วนะ เทียบกันแล้วกับมนุษย์แค่คนเดียว–ให้เกรลอยู่ต่อยังจะดีกว่า!”
ถ้านั้นจะบอกวิธีต้องห้ามนั่นไปทำไม ..ผมนึกสงสัย แต่ข้อสงสัยก็พลันหายไปในชั่วพริบตาเดียว
“ครั้งหนึ่งข้าคิดเรียนรู้หาวิธีเพื่อช่วยชีวิตคนสำคัญให้ได้ เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้น จึงได้ทราบถึงวิธีนี้ ..ถ้าให้ข้าสละเพื่อคนสำคัญที่สุดของตัวเอง ข้าก็คงทำโดยไม่ยอมให้ใครมาห้าม แต่ว่ากับคนสำคัญของข้า ข้าไม่อยากให้ทำเรื่องๆเดียวกัน ..แต่ ..”
ไม่อยากจะสูญเสีย ง่ายๆแค่นั้นเลย ที่บอกวิธีให้เกรลทราบ คงจะเป็นอะไรบางอย่างที่คาใจฟัฟนิร์มาโดยตลอด ราวกับเห็นตัวเองในวันที่ไม่อาจทำอะไรได้ตอนที่สูญเสียสิ่งสำคัญไป ..
ให้ตายสิ
ก่อนที่ฟัฟนิร์จะเริ่มพล่ามยาวแล้วหลุดร้องไห้ออกมา ถึงไม่มีหลักประกัน แต่ผมก็คาดไว้อย่างนั้น–จึงเดินเข้าไปลูบศรีษะของฟัฟนิร์ เพื่อให้ฟัฟนิร์ไม่ต้องพูดไปมากกว่านี้
“ถ้าสำคัญมากขนาดนั้นก็ทำซะสิ ไม่มีใครบังคับเธอได้หรอก”
ผมไม่คิดจะขัดขวางความคิดที่จะสละตัวเองเพื่อคนอื่น แม้ในใจลึกๆผมจะคิดมาตลอดว่ามันเป็นเรื่องโง่เขลา ทว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครหน้าไหนจะมาดูถูกการเตรียมใจนี้ได้ ต่อให้มันจะเลวร้ายแค่ไหน ก็ไม่มีสิทธิ์
…..
….
“มหามังกรเกรล”
มาเจลที่น่าจะเดินจากไปแล้วดันอยู่ที่เดิม
“ถึงน้องชายของฉันคนนี้มันจะเป็นไอโง่เกินเยียวยา แต่ก็มีค่าพอให้ใช้งานอยู่ ถ้าคืนชีพได้ก็รีบๆทำซะ ฉันคนนี้ไม่มีเวลามากพอมานั่งรอหล่อนอวดครวญหรอกนะ”
เพียงอึดใจเพียวฟัฟนิร์ก็พุ่งไปหามาเจล เธอทำท่าจะซัดมาเจลให้ปลิว แต่โชคดีที่ชินตามไปจับแขนสองข้างได้ทัน ไม่เช่นนั้นมาเจลคงได้กลายเป็นเนื้อบดไปเสียแล้ว
“หุบปากเน่าๆของแกได้แล้ว ..อย่ามาสั่งน้องสาวของข้านะ เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ!!”
“ไม่ใช่มนุษย์ชั้นต่ำ มนุษย์ชั้นสูงที่สุดต่างหาก! หล่อนต่างหากเงียบปากไปซะ!”
ทะเลาะกันจนได้ ช่วยไม่ได้แฮะ มาเจลมันก็เป็นซะแบบนี้
“เห้ย มาเจล”
“อะไร?”
“หุบปากได้แล้ว”
“…”
มาเจลเองก็คงเหนื่อยที่จะทะเลาะกับผมไปด้วยคน เขาจึงยอมอยู่เงียบๆแต่โดยดี ทำให้ทุกอย่างตอนนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเกรล
อย่างไรก็แล้วแต่ ทั้งหมดมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมน่ะนะ ผมไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับเกรล ไม่ได้มีส่วนได้เสียที่มากมายกับชีวิตของลีออน เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็แล้วแต่เลย
เกรลใช้มืออันบอบบางคู่นั้นสัมผัสหัวใจของตัวเอง และ—
****
บริเวณนอกคัลเซเรมที่ไร้ผู้คน–เกิดการต่อสู้ขนาดใหญ่ขึ้น
“ย๊ากกกกกกก!!!!”
เรย์ตวัดดาบนับสิบจังหวะภายในชั่วอึดใจเดียว ศัตรูของเขา? ไม่ใช่ เพื่อนของเขา คู่ต่อสู้ของเขา ยูจิตวัดดาบด้วยระยะเวลาที่เทียบเท่ากัน แต่เร็วกว่าสามเท่าตัว เพราะอย่างนั้นเรย์จึงเป็นฝ่ายพลาด และสูญเสียแขนขวาไปในการปะทะกันคราวนี้
“อึก–”
“หลีกไป!”
ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยความร้อนขีดสุด
เจ้าหญิงมังกรพุ่งตัวมาพร้อมกับเปลวเพลิงมหามังกรอันร้อนละอุ มันเป็นเพลิงที่ถูกสร้างขึ้นให้มีร่างคล้ายกับขวาน ขวานเพลิงมหามังกรถูกเหวี่ยงเข้าใส่ยูจิจากบนฟ้า
“..อลัน”
แขนแห่งการหักล้างพุ่งออกมาสี่ข้าง ทั้งสี่ข้างได้ขยี้เปลวเพลิงและหมุนเป็นเกลียว จากขวานเพลิงได้แปรเปลี่ยนเป็นวัตถุวงกลมที่ทำมาจากเพลิงมหามังกร
“ขะ ขี้โกง!”
ยูจิช่วงชิงการควบคุมของมัน ทั้งๆที่มนุษย์ไม่น่าจะแย่งสิทธิ์ของมหามังกรได้ ..แต่ ใช่ ยูจิไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา หากแต่เป็นมนุษย์ที่ท่องกาลเวลามานับครั้งไม่ถ้วน สิ่งที่ทำไม่ได้ซึ่งเป็นกฏที่ใช้กับทุกชีวิตบนโลก ใช้ไม่ได้กับชายคนนี้
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจถูกเรียกว่า ‘ผู้พิเศษเกินกว่าใครๆ’ ได้
“[ดาบมหามังกรเพลิง]”
ช่วงชิงอำนาจมหามังกร จากนั้นก็ใช้การหักล้างสร้างร่างใหม่ให้แก่มัน–เขาพึมพำออกมาเบาหวิว
พริบตาเดียวก็เปลี่ยนอำนาจมหามังกรเป็นดาบเพลิงทำลายล้าง เปลวเพลิงนั่นกลายเป็นดาบที่มีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมา ยูจิคว้าด่ามจับที่คล้ายเกร็ดมังกร และโบกสะบัดดาบเล่มนั้นหนึ่งครั้ง—-เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
การโจมตีที่ยากจะหลบให้พ้น
“ซะ ซวยแล้ว”
“หลบไปหนิง ฉันจัดการเอง! [บรามุนต์]!!”
เรย์สวมใส่เกราะมังกรเหล็กอย่างรวดเร็ว และพุ่งไปขวางหนิงไว้จากเพลิงทำลายล้างที่พุ่งเข้ามา
“[จันทร์เสี้ยวย้อนกลับ]”
วิชาดาบจันทร์เสี้ยวเปล่งประกายขึ้นอีกครา พร้อมกับร่างกายที่หุ่มด้วยเกราะมังกรเหล็ก ยูจิเข้าปะทะกับเพลิงทำลายล้างโดยตรง และ–ทำการสละเพลิงทั้งหมดทิ้งได้ในพริบตาเดียว
[จันทร์เสี้ยวย้อนกลับ] วิชาดาบขั้นบรรลุที่จะยกเลิกการโจมตีทุกอย่างไว้ได้ ไม่มีสิ่งใดที่วิชาดาบนี้ไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้
แต่น่าเสียดาย วิชาของมนุษย์ก็ยังคือมนุษย์
“แฮก …อา”
มันก็มีขอบเขตุของมันอยู่ อย่างไรซะสิ่งนี้ก็ใช้สู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง–ไม่ได้ใช้กับตัวตนที่วิเศษที่สุดบนโลกใบนี้อย่างยูจิ
แม้จะป้องกันไว้ได้ แต่แค่ครั้งเดียว เรย์ก็ตกอยู่ในสภาพไม่น่าดู เกราะมังกรเหล็กถูกระเหยจนหมด ร่างกายเต็มไปด้วยแผลเพลิงไหม้ สภาพ ณ ตอนนี้ไม่ต่างกับคนใกล้ตาย
เพียงแค่การโจมตีด้วย แค่การตวัดดาบที่ขโมยมาจากพลังของคนอื่นแบบง่ายๆ เพียงแค่นั้นเรย์ก็อยู่ในสถานะพ่ายแพ้
“เรย์!”
หนิงใช้เพลิงมหามังกรรักษาเรย์โดยเร็ว แต่ก็ทำได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะความเสียหายที่ได้รับคืออำนาจมหามังกรฉบับของยูจิ เธอจำเป็นที่จะต้องแทรกแซงมันกลับมาเป็นของตัวเองอีกทีในการรักษาเรย์ ..จึงเป็นเรื่องยากที่จะรักษาให้หายเป็นปริดทิ้งในคราเดียวได้
“แค่การโจมตีเพียงครั้งเดียว พวกคุณก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้วไม่ใช่หรือไงครับ?”
ยูจิเดินเข้ามาพร้อมกับดาบเพลิงบนมือที่ละลายจนเหลือแค่ด้ามจับดาบ ชายผู้วิเศษโยนด้ามจับดาบทิ้ง และค่อยๆตรงเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนพลางใช้ดวงตาคู่นั้นหรี่มองอย่างเหยียดหยาม ทุกอย่างก้าวของยูจิทำให้หนิงใจเต้น ในหลายๆแง่หลายๆมุม
“ไม่เห็นรู้เลยว่าทำอย่างนั้นได้ด้วย”
อย่างนั้นที่ว่าหมายถึงการแย่งชิงการควบคุมของมหามังกรได้ ทั้งๆที่การครอบครองอำนาจมหามังกรแด่ผู้เดียวของเหล่ามังกรธาตุนี่แหละที่ทำให้พวกตนพิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น แต่ยูจิกลับทำลายขีดจำกัดนั่นทิ้งซะง่ายๆ
“ผมเป็นข้อยกเว้นครับ”
สิ่งที่พูดดูอวดดี แต่ลึกลงไปในแววตานั้นไร้ซึ่งความเย่อหยิ่ง มีเพียงแต่ความโศกเศร้าในพลังของตัวเองที่มากล้นผิดปกติ
“ยูจิไม่ใช่ข้อยกเว้นหรอกนะ แค่รู้เยอะกว่าคนอื่นก็เท่านั้น”
หนิงสามารถรับรู้ใจจริงของชายตรงหน้าได้เพียงแค่จ้องตา นั่นคงทำให้ยูจิสัมผัสอะไรแปลกๆเข้าถึงได้หลบหน้าในทันที
“จ้องมากไปเหรอ?”
“ประมาณนั้นครับ ..” ยูจิชำเลืองมองร่างที่สั่นไม่หยุดของเรย์ จากนั้นก็เม้มปากเข้าหากันพริบตาเดียวก็โพล่งขึ้น “ผมจะให้พวกคุณเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่จะต้องตายบนโลกใบนี้ เพราะอย่างนั้นถอยกลับไปซะ ที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่พวกคุณจะทำได้อีกต่อไปแล้ว พวกคุณไม่อาจเอาชนะผมได้ ไม่อาจทำอะไรได้ต่อหน้าผมผู้วิเศษ เว้นเสียแต่ว่าอยากจะรีบพากันมาตาย”
“บอกแล้วไง ว่าต่อให้เป็นคนสำคัญของฉัน ..ก็ไม่มีสิทธิ์มากำหนดชะตาของฉัน”
หนิงพุ่งเข้าใส่ยูจิ—พร้อมกับดาบเปลวเพลิงเหมือนกันกับของยูจิเมื่อครู่ แขนแห่งการหักล้างทั้งสี่ข้างพุ่งออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน ปิดมุมโจมตีทุกอย่างของหนิง และคิดจะช่วงชิงอำนาจมหามังกรอีกครา
ทว่า
“–ชิงไม่ได้?”
ดาบแห่งเปลวเพลิงพุ่งทะลุเข้าหน้าท้องของยูจิ
“ความรู้สึกของลูกผู้หญิงมันไม่ได้ทำควาเข้าใจกันง่ายหรอกนะย่ะ!!”
ร่างของยูจิปลิวไปกับประกายเพลิงทำลายล้าง กลิ้งไปมากับพื้น และกระอักเลือดออกมา ร่างถูกย้อมด้วยเพลิงทำลายล้าง แม้จะมีร่างกายที่แข็งแกร่งถึงขนาดต้านทานเพลิงมหามังกรได้ แต่หากรับไว้ต่อไปก็ไม่ใช่หนดี ยูจิจึงใช้หักล้างทำลายเพลิงทั้งหมดทิ้ง และรักษาตัวเองด้วย [ฮิล] ในขั้นที่เชี่ยวชาญ ทำให้ร่างกายที่สาหัสกลับมาเหมือนเดิมเอาง่ายๆ
“เกินคาดไปไกลเลยนะครับ”
“เกินคาด? ไอนี่คือคำชมที่ดีที่สุดแล้วเหรอ?”
“….โครงสร้างแตกต่างกับทุกทีสินะครับ มหามังกรเองก็ดัดแปลงโครงสร้างอำนาจตัวเองได้เช่นกัน ทำให้ตัวผมที่คิดจะช่วงชิงด้วยสูตรที่ต่างกันนั้นคว้าน้ำเหลว ..ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนอย่างคุณจะคิดค้น และลงมือทำของพรรค์นี้ได้”
“แอบจิกกัดฉันว่าโง่นี่เอง ยูจิใจร้ายจังเลยนะ”
ยูจิไม่ตอบกลับ เพียงแค่ใช้หางตาจ้องมองหนิงเพื่อวิเคราะห์ที่มาที่ไป
เป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดาๆที่บังเอิญได้รับพลัง ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่รังเกียจพลังนี่สุดหัวใจ แต่กลับพัฒนาตัวเอง สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆไปกับพลังนี้ ทั้งๆที่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบ น่าจะเป็นคนประเภทเกลียดการต่อสู้ที่สุด แต่ทำไมถึงได้พัฒนาตัวเองกัน?
ยูจินึกสงสัยขึ้นมา อดที่จะสงสัยไม่ได้ เธอตรงหน้าน่าจะอยากแต่งตัวแต่งหน้าไปวันๆ ทำเรื่องสนุกสนานชดเชยวัยเด็กของตัวเอง และมีความฝันเล็กๆอย่างการเปิดร้านอาหาร ..ควรจะมีอยู่แค่นั้น—
“ถ้าอ่อนแอก็ช่วยยูจิไม่ได้สิ”
“..หา?”
“เคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าฉันอยากจะช่วยยูจิ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ต่อให้ต้องลำบากแค่ไหนฉันก็จะช่วย เพราะว่าฉันอยากช่วย ไม่ใช่เพื่อใครทั้งนั้น แต่เพื่อตัวของฉันเองที่อยากจะช่วยเหลือยูจิ เลยคิดน่ะว่าสิ่งที่ขาดคืออะไร”
หนิงยิ้มออกมาอย่างสดใส
“ก็คงจะเป็นพลังที่ทำให้ยูจิเชื่อฟังได้อย่างเดียวนี่แหละนะ”
“..คุณสู้ผมไม่ได้ ไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะสู้กับผมได้”
“ไว้ชนะให้ได้ก่อนค่อยพูดนะ”
“ผลลัพธ์ก็ปรากฏให้เห็นแล้วไม่ใช่หรือไงครับ คุณสองคนไม่ไหวหรอก”
“ไม่รับฟังค่า”
“..ทำไมคุณถึงได้ดื้อด้านขนาดนี้”
“ผิดด้วยเหรอที่จะรู้สึกเป็นห่วง”
“เป็นห่วง ?…รู้สึกอะไรไม่เข้าเรื่องจริงๆครับ”
ทุกสิ่งเป็นเพียงของจอมปลอม ความรู้สึกนั้นเป็นเพียงของจอมปลอมที่ถูกสร้างขึ้นโดยใครคนหนึ่ง ..นั่นไม่มีทางเป็นของจริง ความรู้สึกนั้น ยูจิสามารถปฏิเสธความรู้สึกนั่นได้ เขาคิดอย่างนั้นจึงยื่นมือออกมาข้างหน้า เตรียมเข้าปะทะกับหนิงอีกครั้ง—
“อย่ามาเมินกันนะเฟ้ย!”
“–เรย์?”
เรย์ที่น่าจะนอนจมกับพื้น กลับโผล่มาจากข้างหลัง พร้อมกับการตวัดดาบในจังหวะที่หวังผลได้ ยูจิสร้างดาบแห่งแสงขึ้นมา
“[ดาบประกายแสง]!”
“[จันทร์เสี้ยวย้อนกลับ]”
ยูจิสละการโจมตีของเรย์ด้วยวิชาดาบจันทร์เสี้ยว เรย์ที่พลาดก็ถึงกับหน้าเหวอ—
“วิชาของฉั–”
!! ร่างของเรย์ถูกฟันหนึ่งจังหวะ เรย์ลงไปนอนจมกับพื้นอีกครั้ง ยูจิทำท่าจะซ้ำเรย์ แต่ก็พลาดเยอะเกินไป พลาดประการแรกคือถูกคำพูดของหนิงดึงความสนใจจากเรย์ไป พลาดประการสองคือ–ระวังเจ้าหญิงมังกรน้อยเกินไป
เผลอเพียงครู่เดียว ร่างของยูจิก็ถูกซัดด้วยดาบเพลิงมหามังกรอีกครั้ง โครงสร้างที่แตกต่างไปจำเป็นต้องวิเคราะห์ก่อนจึงจะช่วงชิงได้ แน่นอนว่าไม่ทัน แต่ยูจิมีหักล้างอยู่ สามารถใช้เพื่อแก้ไขได้
“เงยหน้าขึ้นมาได้แล้ว เจ้าบื้อเรย์!!”
“รู้แล้วน่า!!”
เรย์ลุกขึ้นยืนในสภาพที่ไร้บาดแผล—อย่าบอกนะว่า
การโจมตีของยูจิเข้าไม่ถึงเรย์ ถูกปัดป้องไว้ได้ทัน แต่เรย์แกล้งว่าตัวเองโดน
ในระยะเผาขนก่อนที่ยูจิจะปลิวไปกับเพลิงทำลายล้าง เรย์พุ่งตัวเข้าไปจนประชิด และ–
“[จันทร์เสี้ยวย้อนกลับ]!!!”
การสละอาวุธอีกฝ่าย–พลังแห่งการหักล้างถูกยกเลิกด้วยวิชาดาบของมนุษย์ ปรากฏการณ์ที่จะช่วยยูจิให้รอดจากการโจมตีนี้ไม่มีอีกแล้ว
“[ดาบมหามังกรเพลิง–คลั่งรัก]!!!”
เปลวเพลิงที่ลากร่างของยูจิไปกับพื้นได้เปลี่ยนเป็นสีชมพูในวินาทีที่มันระเบิด
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! แรงระเบิดที่ล้างบ้างเมืองทั้งเมืองได้ง่ายๆผุดขึ้นตรงหน้า เพลิงคลั่งรักระเบิดขึ้นตั้งแต่พื้นดินไปจนถึงบนฟ้า ราวกับปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่ยากจะพบเห็นได้
“จะไม่พูดว่าสำเร็จมั้ยหรอกนะ หนิง แต่ ..ไม่แรงไปหน่อยเหรอ? ยูจิตายขึ้นมาทำไงเนี่ย”
“ฉันเชื่อ”
“..อ๊ะ ยะ อย่าพูดเป็นลางนะเฟ้ย!”
“แน่นอนสิ ฉันแค่เชื่อว่ายูจิจะรอดเฉยๆเอง”
“นะ นั่นแหละที่เรียกว่าพูดเป็นลาง! ถึงจะไม่ได้อยากให้ยูจิตายก็เถอะ!”
แล้วจะบ่นทำไม–ก่อนจะเกิดการโต้เถียง เพลิงสีชมพูก็ถูกลบหายไป ปรากฏให้เห็นชายที่ยืนอยู่ตรงกลางเพลิงเมื่อก่อนหน้านั้น
“นั่นไงเล่า!”
“สมกับเป็นยูจิละนะ อืมๆ”
“เหลือจะเชื่อจริงๆนั่นแหละ ไอแบบนั้นต่อให้มหามังกรตัวเป็นๆโดนเข้าไปก็ไม่น่าเหลือผงแท้ๆ”
…..
ยูจิโผล่มาในสภาพที่มีรอยไหม้บริเวณแขนขวา เพียงแค่นั้น ..
“..บอกแล้วไงครับ ..ว่าทั้งหมดมันก็แค่–-ของจอมปลอม!!!”
“ของจอมปลอมสินะ นั่นสินะ ยูจิ ฉันเองก็มีเรื่องยากจะบอกนายเยอะไม่ใช่น้อยเลย”
เรย์เดินเข้าหายูจิตรงๆ พร้อมกับดาบมังกรเหล็กที่วางไว้บนบ่า
“หนึ่งในนั้นน่ะนะ ..ลำดับแรก—ไว้ค่อยบอกหลังจากหวดดาบเล่มนี้โดนนายอีกสักทีจังๆก่อนละกัน”
กล่าวจบ เรย์ก็แสยะยิ้มออกมาอย่างสนุกสนาน