เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 256
< < 166 Sec1 > >
ภายในห้องนอนสไตล์ญี่ปุ่น เคียวยะกำลังนอนอยู่บนฟูกด้วยสีหน้าที่อย่างกับกำลังฝันร้าย ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ไกลจากเคียวยะระดับหนึ่ง
ตอนนี้ในคฤหาสน์แห่งนี้มีแค่ผมกับเคียวยะ เบ็นจิโร่ออกไปทำงานในฐานะขุนนางต่อ ส่วนอานิม่าก็บอกว่าอยากไปสำรวจอาณาจักรเนลยอน ทำให้เหลือแค่ผมกับเคียวยะที่ไม่มีที่ไป ด้วยเหตุนี้ผมเลยถือวิสาสะคอยเฝ้าดูอาการเคียวยะแทน
แน่นอนว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะผมใช้วิหคอมตะรักษาแล้ว แต่ก็ควรเผื่อๆไว้ในหลายๆกรณีแหละนะ
“..หืม? ตื่นสักทีนะ”
ว่าแล้วเคียวยะก็ลืมตาตื่น หมอนั่นมองขึ้นไปบนเพดานห้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมามองหน้าผม
“แพ้อีกแล้วสินะ”
อีกแล้ว? เป็นวิธีพูดที่ดูน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก
“คู่ต่อสู้คนละชั้นเกินไปน่ะ ยังเร็วไปนะที่จะไปหาเรื่องเบ็นจิโร่คนนั้น”
“หล่อนคือคู่แข่งของแก”
“ประมาณนั้น”
“ส่วนฉันก็ไม่ใช่คู่แข่งของแก ทั้งๆที่ฉันคิดว่าตัวเองเป็น”
….
“บอกตามตรงก็ใช่ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่มองว่านายเป็นคู่แข่ง”
“ต่างกันขนาดนั้นเลยสินะ”
เคียวยะค่อยๆลุกขึ้นช้าๆด้วยท่าทางที่ห่อเหี่ยวทั้งแรงกายแรงใจ
“วันนี้มีแพลนอะไรบ้างล่ะ?”
“ฝึก ..ให้มากกว่านี้”
“เปล่าประโยชน์ เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าสไตล์การต่อสู้ที่นายใช้น่ะมันไม่เข้ากับนาย อาจจะลำบากหน่อยที่ต้องเลือกสไตล์ที่ไม่ถนัด แต่อย่างน้อยนายก็จะดึงจุดเด่นทางทักษะของตัวเองออกมาได้มากที่สุด”
“หนวกหู”
ผมหยักไหล่ตอบอย่างหน่ายใจ
“ทำไมถึงได้ยึดติดขนาดนั้นล่ะ?”
“..ฉันจะต้องเหนือกว่าทุกอย่างให้ได้”
แบบนี้นี่เอง
วิธีการต่อสู้แบบที่ใช้ คือวิธีสำหรับตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดสินะ ก็จริง ถ้าเกิดดึงศักยภาพออกมาได้มากที่สุดในทุกๆด้าน มันจะเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวที่สุดอย่างหนึ่งเลย อาทิเช่น เอเธอร์ที่ใช้วิธีสู้ประมาณเดียวกันนั่นแหละ
แต่วิธีที่ว่ามันต้องมีร่างกายที่แข็งดุงเพชรไม่พอ ยังต้องเปี่ยมด้วยพรสวรรค์เวทมนตร์ หรืออยากจะไปไกลกว่านี้ ไสยศาสตร์ เล่นแร่แปรธาตุ ทักษะการต่อสู้ต่างๆก็ต้องไปด้วยกันไปให้ได้ถึงจุดสูงสุดอีก ถ้าอยากจะก้าวข้ามกำแพงอย่างเอเธอร์ละก็
“จะบอกอะไรให้นะเคียวยะ”
“…อะไรอีก”
“การพัฒนาน่ะ มันต้องเป็นไปอย่างถูกวิธี ที่นายทำมีแค่การพัฒนาทักษะเดิมของตัวเองให้ดีขึ้น ซึ่งใช่ว่าไม่ดี แต่ว่านายจะไม่มีทางไปไกลกว่าทักษะที่มีอยู่ในตอนนี้ ..ถ้าเกิดยึดติดกับสไตล์ที่ว่านั่นซะขนาดนั้น ก็ไปหาส่วนเสริมที่ช่วยทำให้นายใช้สไตล์นี้ได้อย่างไม่มีข้อเสียรูใหญ่หลายรูให้ได้ซะสิ”
…
เคียวยะไม่ตอบ หมอนั่นเดินผ่านผมไปเลย แต่ก็พอรู้อยู่จากสีหน้าและแววตา ..หมอนั่นฟังทุกคำที่ผมพูดอย่างแน่นอน
****
เคียวยะเดินออกจากคฤหาสน์และตรงไปที่ตัวเมืองในเขตุ ‘สลัม’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคยที่สุด ตั้งแต่ตอนอาศัยอยู่อาณาจักรฟัฟนิร์แล้ว แม้จะเป็นครั้งแรกที่เคยมาในอาณาจักรเนลยอน แต่เขาก็เดินเข้าไปอย่างไม่หวั่น ราวกับว่าเป็นบ้านเกิดของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างทางเคียวยะก็ชายตามองรอบๆที่เต็มไปด้วยขี้เมา รึโจร รึกลุ่มคนที่สังคมไม่ต้องการต่างๆมากมาย
เมื่อไม่นานมานี้เอง สภาพเคียวยะก็ไม่ต่างกับคนพวกนี้เลย แต่ด้วยความช่วยเหลือของคนสองคน ทำให้เคียวยะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ..
“ไปไกลๆเลยนะ ไอ้เด็กเปรต!”
เด็กคนหนึ่งในสลัมโดนไล่ออกจากบาร์ในสภาพที่ทั้งตัวมีรอบฝดซ้ำ ..เมื่อใช้ดวงตามหาปราชญ์ดูก็ทำให้เขารู้ว่าเด็กคนนี้คิดจะขโมยของ แต่ดันพลาดเลยโดนดีเข้าให้
ภาพที่เกิดขึ้นมันคล้ายกับตัวเคียวยะอย่างบอกไม่ถูก ..บางทีเคียวยะก็แอบคิดในใจว่าตัวเองตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ควรแล้วหรือยังนะ แล้วอย่างที่ควรที่ว่าเนี่ย มันหมายถึงอะไรกันแน่
แม้แต่ดวงตามหาปราชญ์ก็ไม่สามารถหาคำตอบที่ถูกต้องให้ตัวเองได้
เคียวยะเดินไปเรื่อยๆท่ามกลางบรรยากาศที่แสนเลวร้ายภายในสลัม เดินไปตามแยกซอยเล็กๆ หลีบเล็กๆบ้าง บ้างก็กระโดดผ่านหลังคาบ้านไปมา จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านร้างแห่งหนึ่ง
“ไม่เลว”
ทั้งไม่น่าจะมีคนอยู่ ทั้งมีสภาพที่เลวร้ายกว่าทุกๆที่ เป็นที่ชื่นชอบของเคียวยะทีเดียวที่แห่งนี้
เมื่อเดินเข้าไปข้างในบ้านร้างก็พบกับสภาพที่ไร้ซึ่งความน่าอยู่อาศัย เรียกว่าที่ซุกหัวนอนยังดูดีไปเสียด้วยซ้ำ เคียวยะก้าวเท้าได้ราวสี่ก้าว—ก็เกิดเรื่องแปลกๆขึ้นมา
ก้าวที่สี่ของเคียวยะนั้นเลืองแสงสีเหลืองขึ้นมา แสงนั้นได้พุ่งผ่านลำตัวของเคียวยะ และพริบตาเดียว—เคียวยะก็โผล่อีกทีที่ห้องขนาดกว้างห้องหนึ่ง
ที่ที่ยืนอยู่คือห้องสีเทาแสนว่างเปล่า จะมีก็แค่ ..
โครินปรากฏตัวขึ้นข้างๆเป็นแสงสีขี้เถ้า หล่อนบินไปมาด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“หยุดโวยวายได้แล้ว น่ารำคาญ”
พอบ่น โครินก็หยุดเคลื่อนไหว เคียวยะก้าวเท้าไปหาสิ่งหนึ่งทีตั้งอยู่สิ่งเดียวบนห้อง
มันคือ ‘ชุดเกราะ’ รูปร่างประหลาดต่างจากเกราะที่ทุกๆคนใส่กัน มีความยาวถึงสองเมตร ซึ่งสูงกว่าตัวเคียวยะราวยี่สิบเซนติเมตรเศษๆได้
ชุดเกราะสีดำทมิฬ ไร้ซึ่งลวดลายใดๆ มีความหนาที่น้อยนิดผิดวิสัย แต่ก็ดูมีรอยเหลี่ยมที่แข็งแรงตามร่าง และก็เป็นชุดเกราะที่แปลก เพราะว่ามันคือชุดเกราะที่ปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง ตั้งแต่ฝ่าเท้าไปจนถึงบนหัว
เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆก็จะพบลอยขีดตามชุดเกราะที่เป็นสีเทา ขีดทั้งหมดเชื่อมต่อกันทั้งร่างกาย อย่างกับว่ามันคือ ‘วงจรเวทย์’
เพล๊ง เคียวยะทำลายกระจกที่อยู่รอบตัวเกราะทิ้ง และใช้มือสัมผัสที่ผิวของเกราะ พร้อมกับอ่านสิ่งนี้โดยดวงตามหาปราชญ์
เพียงสามวิ ความเป็นมาและความสามารถของเกราะสีดำทมิฬก็ถูกบันทึกในสมองของเคียวยะแล้ว
“เกราะมนตรา .. ‘JK HOPE’”
“รู้จักด้วยหรือคะ?”
เสียงของหญิงชราดังขึ้นจากข้างหลัง เคียวยะรีบหันหน้ากลับไปด้วยความตกใจ เพราะก่อนหน้านี้ไม่เห็นเธอเลย แล้วก็-สัมผัสถึงตัวตนไม่ได้เลยสักนิด
หญิงชราตัวเตี้ยผู้มีร่างท้วมเล็กน้อย สวมชุดสีขาวคลุมทั้งตัวและคลุมหัวตัวเองด้วยหมวกสีน้ำตาล คือเจ้าของเสียงที่ทักเคียวยะจากข้างหลัง
“ดิฉันคิดว่าผู้คนจะลืมเรื่องของ JK HOPE ไปหมดแล้วเสียอีก”
“..หนึ่งในเจ็ดคาปสมุทร ทั้งยังเป็นนักวิจัยชื่อดังของโลก จะลืมได้ยังไงกัน”
“แบบนี้นี่เอง รู้จักดีเลยสินะคะ แล้วคุณเองก็คงเป็นหนึ่งในคนที่หมายตาสมบัติของเขาสินะคะ”
“แกคือ?”
หญิงชรายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ภรรยาของ JK HOPE ค่ะ”
“ภรรยาของ JK HOPE คือหนึ่งในเจ็ดคาปสมุทร นักดาบสาว ผู้ใช้เคล็ดวิชาแห่งบทเพลงของท้องทะเลในการต่อสู้ และเธอก็ตายไปตั้งแต่สงครามเมื่อสิบปีก่อนแล้ว หมายความว่าแกคือชู้รักของ JK HOPE นั้นสินะ”
“ผิดแล้วค่ะ ดิฉันเป็นภรรยาที่แท้จริงของเขาเอง”
เคียวยะหรี่ตามองแบบไม่อยากจะเชื่อสายตา ตามที่ได้ยินมา นักดาบสาวคนนั้นมีความสวยงามระดับถล่มเมือง ตัวสูง ทั้งยังอายุเพียงแค่สามสิบปีเศษๆเท่านั้น ไม่น่าจะแก่เร็วขนาดนี้ ดูยังไง ผู้หญิงตรงหน้าอายุก็ไม่ต่ำกว่าหกสิบแล้วแท้ๆ ต่อให้ผ่านมาสิบปีก็ไม่น่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้
“ความเครียดในหัวสมองที่เกิดขึ้นกระทันหันจากสงครามที่ใกล้เคียงโศกนาฏกรรม ทำให้ดิฉันมีสภาพเช่นนี้ค่ะ จู่ๆอายุขัยก็ถูกเร่งไปไกลนับสามสิบปีได้”
พอสังเกตุดีๆก็พบว่าขาทั้งสองข้างของเธอคือขาโลหะ แขนทั้งสองข้างเองก็ด้วย
ส่วนสูงผิดแปลกไปเพราะแบบนี้นี่เอง แต่เรื่องความแก่ที่โดนเร่งก็อยากจะเชื่ออยู่ดี แต่ก็เอาเป็นว่า-
“จะเชื่อละกัน”
“แล้วคุณตั้งใจมาทำอะไรที่นี่กันคะ? คงไม่ใช่ว่าแค่อยากจะมาชมชุดเกราะของ JK HOPE แล้วก็จากไปหรอกนะคะ”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ–แล้วก็วางอาวุธลงซะ ถ้าไม่อยากตาย”
..โครินจ่อที่หัวของหญิงชราพร้อมกับทางหญิงชราที่ทำท่าจะควักดาบออกมาจากข้างหลัง ด้วยดวงตามหาปราชญ์ ทำให้รู้ความตั้งใจทุกอย่างของหญิงชราได้
“ฉันแค่เผอิญลงมาที่นี่โดยไม่ตั้งใจ แล้วก็บังเอิญเห็นเกราะที่น่าสนใจนี่เข้า เลยกะจะเอาไปพัฒนาต่อแล้วมาใช้เป็นอาวุธตัวเองสักหน่อย”
“ว่าโดยง่ายก็ตั้งใจขโมยสินะคะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็คงมอบให้ไม่ได้ และถึงจะได้ไปคุณก็คงเปิดใช้งานเกราะนี่ไม่ได้แน่นอน”
“แล้วแกจะเอาเวลาชีวิตที่เหลือมาใช้ปกป้องเกราะไร้ค่านี่ไปทำไมกัน แม้แต่วิธีใช้งานก็ยังไม่มีใครรู้แท้ๆ”
หญิงชรายิ้มตอบกลับอย่างไม่ทุกข์ร้อนแม้ว่าหัวตัวเองจะมีสิ่งที่คล้ายปลายกระบอกปืนจ่ออยู่
“เพราะนี่คือสิ่งสุดท้ายที่สามีของดิฉันทิ้งเอาไว้ ต่อให้มันไร้ค่าสำหรับทุกคน สำหรับฉันก็คือสิ่งมีค่าค่ะ”
….
“ฉันรู้วิธีใช้งานมัน”
“รู้ได้อย่างไร? การใช้งานสิ่งนี้ JK HOPE ไม่เคยบอกใครเลยนะคะ กระทั่งภรรยาอย่างฉัน”
“ฉันคือผู้ถือครองดวงตามหาปราชญ์ สามารถเจาะลึกข้อมูลทุกอย่างบนโลกได้ตามใจตัวเอง”
หญิงชราได้ยินก็ยิ้มเจื่อนๆตอบ
“ผู้พิเศษนี่เอง”
“ก็ตามนั้น ฉันคือผู้พิเศษที่จะเหนือกว่าทุกสิ่งบนโลก ..ตั้งใจไว้อย่างนั้น”
เคียวยะเกาหัวตัวเอง ก่อนที่จะเดินไปหาหญิงชราและก้มหัวให้
“ขอร้องละ มอบสิ่งนี้ให้ฉันทีเถอะ ฉันผู้ที่จะแข็งแกร่งที่สุดคนนี้ จนมุมถึงขนาดที่ต้องมาก้มหัวขออุปกรณ์จากคนอื่น น่าสมเพซ ไม่อยากจะพูดออกมาเลย แต่ว่าไม่มีทางเลือก ..ถ้ามีสิ่งนี้ ฉันจะคว้าความเป็นไปได้มาได้”
หญิงชราเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับ
“..ขอเสนอข้อแลกเปลี่ยนหน่อยจะได้รึเปล่าคะ?”
“ไม่ว่าอะไรฉันก็ยอม”
ได้ยินอย่างนั้นหญิงชราก็ถอนหายใจเฮือกโต ก่อนจะพยักหน้ารับตามที่เคียวยะขอ
****
บริเวณริมทะเลที่มีตึกขนาดยักษ์ตั้งอยู่ ที่แห่งนี้คือศูนย์ใหญ่กองทัพเรือซึ่งตั้งอยู่ห่างจากอาณาจักรเนลยอนไม่กี่กิโลเมตร และผู้ที่เดินอยู่บริเวณท่าเรือยักษ์ก็คือ ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ วีรสตรีแห่งท้องทะเล ผู้สร้างชื่อเสียงมากมายให้แก่กองทหารเรือ ในเวลาเพียงไม่นาน เธอได้ขึ้นเป็น ‘พลตรี’ แห่งกองทัพเรือ
เบ็นจิโร่พร้อมกับกองทหารเล็กๆราวสิบคนได้มายืนรอการมาเยือนของบุคคลหนึ่งที่กำลังเทียบท่าเรือ
เรือสีขาวหรูหราขนาดเล็กได้เปิดออก พร้อมกับไอน้ำจำนวนมหาศาล มีชายคนหนึ่งเดินลงมาจากเรือ พร้อมกับอัศวินข้างตัวราวสองคน
ชายชรา เส้นผมสีฟ้าใส ดวงตาสีเดียวกัน ร่างเล็ก แต่ตัวสูงเกือบสองเมตร สวมแว่นตาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า บริเวณคอมีผ้าพันคอสีขาวขนาดยาว มือข้างหนึ่งใช้ไม้เท้าในการช่วยเดิน มืออีกข้างวางไว้ข้างหลังตัวเอง ด้วยอายุที่มากทำให้เดินหลังค่อมเล็กน้อย
“ยินดีที่ได้พบค่ะ ‘อามาเทราสึ ฮิโรโตะ’”
‘อามาเทราสึ ฮิโรโตะ’ ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลอามาเทราสึ เชื้อพระวงศ์ผู้ที่ในอดีตเคยอยู่ในตำแหน่งมือขวาของพระราชาแห่งอาณาจักรเนลยอน
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะ เบ็นจิโร่ เห็นว่าเติบโตได้อย่างยิ่งใหญ่เลยนี่ สำหรับเวลาเพียงไม่กี่ปีแล้ว เธอคือความภาคภูมิใจของพวกเราเลยละ”
ฮิโรโตะพูดทั้งรอยยิ้ม เสมือนคุณลุงใจดี เบ็นจิโร่ยิ้มตอบกลับอย่างเป็นกันเอง
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ยังมีอีกหลายสิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้”
“เด็กสมัยนี้นี่เคร่งเครียดกันจริงๆนะ ใช้ชีวิตให้สนุกก็พอแล้วละ”
ฮิโรโตะหัวเราะพึมพำก่อนที่ทั้งสองกลุ่มจะเริ่มเดิน หน้าที่ในคราวนี้ของเบ็นจิโร่คือการพาฮิโรโตะเข้าพบกับ ‘จอมพล’ คนปัจจุบันของกองทัพเรือ
ระหว่างที่เดินเบ็นจิโร่ก็วิเคราะห์ตัวของฮิโรโตะ ผู้เป็นคนคิดริเริ่มจะปฏิวัติระบบการปกครองสมัยใหม่—แต่ก็ไม่สามารถอ่านความคิดของฮิโรโตะได้เลย เพราะไม่ว่าจะดูยังไง เขาคนนี้ก็เป็นเพียงแค่คุณลุงใจดีคนหนึ่งเท่านั้น
ตลอดทางฮิโรโตะพูดคุยกับเบ็นจิโร่อย่างออกรส แล้วก็ชื่นชมในความสามารถของเบ็นจิโร่เป็นอย่างมาก รวมถึงคาดหวังจะให้เบ็นจิโร่เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปด้วย
จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องของจอมพลก็ถึงเวลาต้องบอกลากันแล้ว
“เช่นนั้นก็”
“อ่า แต่เดี่ยวก่อนนะ มีเรื่องที่อยากพูดด้วยน่ะ”
“ค่ะ ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร”
ฮิโรโตะหรี่ตามองเบ็นจิโร่พร้อมกับยิ้มให้
“เธอยอดเยี่ยมก็จริง แต่ไม่ควรจะไปสนับสนุนแนวคิดชั้นต่ำที่จะทำให้พวกสามัญชนมีอำนาจนะ” ฮิโรโตะหัวเราะพึมพำ “สมัยเด็กเธอคงจะลำบากต้องไปคลุกตัวกับพวกชั้นต่ำเข้าสินะ ถึงได้มีความคิดเข้าร่วมกับพวกชั้นต่ำได้น่ะ ฉันล่ะเสียดายความสามารถของเธอจริงๆ”
ได้ยินอย่างนั้นเบ็นจิโร่ก็ถอนหายใจใส่ตรงๆ และตอกกลับแทบจะทันที
“ฉันแค่เลือกไปตามสมควรเท่านั้น ไม่คิดว่าตัวเองตัดสินใจผิดแต่อย่างไร ฉันคือทหารเรือค่ะ หน้าที่ของฉันคือการปกป้องทุกคนในอาณาจักรเนลยอน ไม่ใช่สถาบัน หรือคนส่วนใดส่วนหนึ่ง”
“นั้นเหรอ น่าเสียดายนะ เด็กเก่งๆอย่างเธอน่าจะเติบโตมาโดยการชี้นำที่ดีกว่านี้นะ”
“อาจเป็นการเสียมารยาทไปบ้าง แต่การชี้นำของคุณนั้นไม่จำเป็น”
“น่าเสียดายจริงๆ”
พูดคุยจบแล้ว ฮิโรโตะจึงผลักประตูไม้เข้าไปข้างใน เบ็นจิโร่เฝ้ามองแผ่นหลังของฮิโรโตะจนกระทั่งประตูได้ปิดลง