เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 247
< < 159 > >
เช้าวันถัดมา ผมลงเท้าที่หุ้มด้วยรองเท้าหนังใส่เปลวเพลิงจากกองไฟ เพลิงพลันดับไปในทันที เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยผมก็กำจัดเศษเท้าถ่านโดยเวทมนตร์ เมื่อทำทุกอย่างจนเสร็จแล้วก็หันไปมองหนิงและอานิม่าที่นั่งรออยู่ในสภาพที่ตัวเปียกน้ำ
ก่อนหน้านี้สองคนนี้ไปอาบน้ำมา ทำให้สภาพเป็นอย่างที่เห็น
ผมร่ายเวทย์ลมพัดใส่ทั้งหนิงและอานิม่าไล่จากแรงไปเบา โดยเฉพาะตรงหนิงที่ผมอัดแรงเข้าไปเน้นๆเลย
“เดี่ยวสิย่ะ!”
จากนั้นก็ทะเลาะกันหนึ่งยก ก่อนจะแยกกันไปเก็บกวาดข้าวของจนเรียบร้อย เมื่อเสร็จกิจทั้งหมดแล้วจึงรวมตัวกันและออกเดินทางไปตามทางเดินภายในป่า
ค่อนข้างลำบากนิดหน่อย เพราะพื้นที่รอบๆถูกทำลายจากการต่อสู้เมื่อวาน ทำให้สิ่งที่ช่วยนำทางทั้งหมด-เกลี้ยงเลย ยังดีที่หนิงมีประสาทสัมผัสที่ดีทำให้เธอสามารถนำทางได้
หนิงกับอานิม่าคุยกันประปราย ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างที่ผมกลัวในทีแรก ทำให้ผมสบายใจได้ แต่คาดว่าถ้าเกิดอานิม่าคุยกับหนิงในร่างของโซล่า หนิงน่าจะเลือดขึ้นหน้าแน่ๆ
แน่นอนว่าอานิม่าย่อมรู้ดีเลยไม่ใช้ร่างของโซล่า ตอนนี้เธออยู่ในร่างของโซเฟีย ยัยลูกผู้ดีว้อนจะเป็นนักเลง พออยู่ในร่างของโซเฟียก็ทำให้ผมแอบคิดถึงเธอนิดหน่อย เพราะไม่ได้เจอกันเสียตั้งนาน แล้วก็รู้สึกเครียดลงกระเพาะนิดหน่อยด้วย ..ก็หลายๆเรื่องแหละนะ ทั้งทะเลาะกับโซเฟีย และไปหักอกเขาแบบทุเรศเนี่ย
ผมเดินไปถอนหายใจไปโดยไม่มากหรือน้อยเกินไป รู้สึกตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่ทางแยกที่ไร้ซึ่งป่าไม้ เป็นพื้นที่โล่งๆมีเพียงแค่หญ้าและทางเดินแยกไปสองทาง
“ไปซ้ายสามารถกลับไปอาณาจักรฟัฟนิร์ได้ ไปขวาสามารถไปต่อที่มหาสมุทรได้”
“แน่นอนตอนนี้ควรจะเก็บไปหาทุกคนก่อน”
หนิงเสนอมาเช่นนี้ …ที่จริงแล้วผมก็เห็นด้วยนะ ว่าไงดี อยากเจอหน้าเบลลามีชะมัด เรเซลกับอันนาก็อาจจะอยู่ด้วย อยากเจอพวกเธอจัง นอกจากคนอื่นแล้วก็ยังมีเพื่อนๆที่รออยู่อีก ไหนจะเรื่องของยูจิที่ต้องอธิบายให้ทุกคนฟังอีก ไม่ว่าทางไหนผมก็ควรกลับก่อน แต่–ไม่มีเวลานี่สิ
“โทษทีนะหนิง ฉันมีที่ต้องไปต่อ”
“รู้แล้วละ”
หนิงพยักหน้าพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินไปทางกลับอาณาจักรฟัฟนิร์ทันที แต่ไม่นานเธอก็หยุดเดินและหันหน้ากลับมาหาผม
“เรื่องของยูจิ ..ถึงจะทำเป็นข่มใจทำ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าฆ่ายูจิเหมือนกันนี่นา”
รู้ด้วยสินะ
“อ่า แต่รอบหน้าก็ไม่แน่นะ”
“..ฉันไปคิดมาหลายอย่างน่ะ เรื่องเมื่อคืนนี้ก็ได้ฟังทั้งหมดแล้วด้วย”
แอบฟังสินะ? เป็นเด็กไม่ดีเลยนะ
ผมทำท่าเท้าสะเอวใส่ หนิงไม่ได้แคร์อะไร เหมือนจะอยู่ในโหมดจริงจังเลยไม่โวยวายไปเรื่อย
“ถึงจะได้ฟังมาทั้งหมดแล้วก็เถอะ แต่..ไม่ว่ายังไงก็อย่าฆ่ายูจิเลยนะ”
….นั่นสินะ สำหรับหนิงแล้ว ยูจิคือคนที่สำคัญที่สุด
“แน่นอนว่าไม่คิดจะเป็นฝ่ายขออย่างเดียวหรอกนะ–ฉันเองก็จะพยายามให้มากขึ้น จะแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ เพื่อนายเหมือนกัน”
หนิงกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“เพราะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองด้อยกว่ายูจิเชียวนะ ..สำหรับฉัน..นายคือเพื่อนคนแรกเหมือนๆกับยูจิ เป็นคนสองคนที่เดินเล่นกับฉันท่ามกลางความมืดและแสงไฟในวันๆนั้น ..ที่จะพูดต่อจากนี้มันอาจไม่เหมาะกับฉันเท่าไหร่ แต่ว่า–ฉันไม่อยากจะเสียใครไปทั้งนั้น เพราะนั้น..มาพยายามด้วยกันนะ ขอร้องละ มีแค่นายเท่านั้นที่สามารถช่วยยูจิได้”
ผมหรี่ตามองหนิงที่ก้มศรีษะให้ผมอย่างยากจะได้เห็น ล่าสุดก็น่าจะช่วงงานเทศกาลโลหิตมังกรกระมัง?
แค่ผม? เข้าใจผิดแล้วเรื่องนี้น่ะ
คนที่จะช่วยยูจิได้ ไม่ใช่ผม แน่นอนว่าถ้าหมายถึงให้ยืมพลังช่วย ย่อมได้อยู่แล้ว แต่ว่าขั้นตอนสุดท้ายของการช่วยยูจิไม่ใช่การโค่นหมอนั่น แต่เป็นการช่วยเหลือต่างหาก และหน้าที่นั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของผม
ตัวผมที่มีความทรงจำกับยูจิเพียงครั้งเดียวจากนับล้านครั้ง ไม่ใช่คนที่จะฉุดยูจิขึ้นมา ..คนที่ต้องฉุดยูจิขึ้นมาไม่ใช่ผม แต่เป็นคนที่อยู่เคียงข้างยูจิมานับล้านๆความทรงจำต่างหาก ซึ่งคนๆนั้นไม่ใช่ผม ถ้าคนๆนั้นคือผม ยูจิคงจะจับมือผมไปตั้งแต่เมื่อตอนนั้นแล้ว
ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไม่ว่าผมจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมสามารถทำได้ อย่างที่บอก คนที่ช่วยยูจิได้น่ะ–คือคนที่อยู่ข้างยูจิและผ่านความโศกเศร้านับล้านมาด้วยกัน ต้องเป็นคนที่เข้าใจตัวยูจิได้ดีที่สุดต่างหาก
แน่นอนว่ากว่าจะไปถึงจุดๆนั้น ผมจะเป็นคนดันหลังให้เอง ..พวกตัวเอกทั้งหลาย
“ฉันเองก็ฝากคนที่อยู่ทางนั้นด้วย ..แล้วจะรีบกลับไป”
“เข้าใจแล้–”
“อีกเรื่องนะหนิง”
“หืม?”
“.. ช่วยออกตามหายูจิด้วยนะ”
จำเป็นต้องยืนยันตำแหน่งของยูจิให้ได้ตลอด หน้าที่นี้เหมาะกับหนิงที่สุด จริงๆแล้วอยากให้เรย์มาช่วยด้วยเหมือนกัน
“ฉันเองก็ฝากยูจิไว้กับเธอด้วยเหมือนกัน”
“เข้าใจแล้ว–เจอกัน”
ผมโบกมือลาหนิง พอถึงจุดนี้ก็แอบรู้สึกเหงานิดหน่อย เพราะผมมักจะพึ่งพาหนิงให้ช่วยหลายเรื่องจนตัวติดกันตลอด
เอาเป็นว่า ..ผมเดินตรงที่ทางที่จะมุ่งไปสู่ท่าเรือที่ใกล้ที่สุด
“ไปกันเถอะ อานิม่า ..แต่ก่อนอื่นเลย ช่วยตัดสินใจเลือกสักทีเถอะว่าจะอยู่ร่างของใครกันแน่”
“นั่นสินะคะ ..อ๋อ”
อานิม่าตบมือหนึ่งครั้งก่อนเปลี่ยนร่างตัวเองอีกครา คราวนี้เธอกลายเป็นร่างของน้องสาวเวฟ–ที่อายุน่าจะเพิ่มขึ้นมาเทียบเท่ากับผมได้
“ร่างนี้เป็นไงคะ?”
“ไม่เลว”
ผมแอบคิดในใจแบบต่ำๆว่าหน้าอกน้องสาวเวฟตอนโตเนี่ยใหญ่ชะมัด …อานิม่าได้ยินก็กระพริบตาปริบๆแบบไม่ใส่ใจอะไร
แบบนี้นี่เอง น้องสาวเวฟเป็นพวกไม่คิดมากเรื่องพวกนี้? รึว่า ใสซื่อเกินไปหว่า? เพราะจิตก็อยู่แค่ตอนเด็กด้วย แต่ก็เป็นเด็กที่ฉลาดด้วยสิ อืม แต่ถ้าเป็นร่างโซเฟีย ผมคงโดนด่าแล้วตบหน้าไปแล้วแหงๆ
ว่าแล้วอานิม่าก็เปลี่ยนร่างเป็นโซเฟียและเข้ามาตบหน้าผม ก่อนจะกลับไปร่างเดิม
อานิม่า ถึงจะเป็นพวกขี้อายเข้าขั้นวิกฤต แต่จริงๆแล้วกวนตีนใช่เล่นเลย ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะเป็นคนแรกๆที่โดนจอมมารเล่นงาน
****
ภายในห้องที่ถูกประดับตกแต่งด้วยของหรูหราทำจากเงินมากมาย บริเวณริมหน้าต่างนั้นมีโต๊ะไม้แล้วก็เก้าอี้นั่งอยู่ และคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะนั้นก็คือ เด็กหนุ่ม? เด็กสาว? ไม่อาจยืนยันได้อย่างแน่ชัด เพราะคนๆนี้มีรูปร่างที่ไปได้ทั้งสองทาง
สิ่งมีชีวิตรูปงาม ตัวเล็ก สูงไม่เกินร้อยหกสิบเซนติเมตร มีเลือนผมสีฟ้าเปล่งประกายมัดจุกไว้ ดวงตาสีฟ้าใสและนัยน์ตาประหนึ่งมังกร สวมชุดสูทสีขาวสง่างาม และมีนิสัยเสียที่ชอบขมวดคิ้วตลอดเวลา
ดูเป็นผู้ดีรูปงามจอมโมโห–เขาคนนี้ก็คือ มหามังกรวารี ‘เนลยอน’ หนึ่งในผู้ที่เคยจมโลกนี้ลงสู่ความมืดมิด
เนลยอนนั่งหันหลังให้โต๊ะพลางมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าที่เงียบครึม ดูจริงจังขัดกับรูปร่างที่ดูสวยงามของตัวเอง
“…”
กระทั่งประตูห้องของเนลยอนถูกเปิด เจ้าตัวจึงหันตัวกลับมาข้างหน้า
“มาแล้วรึ เจ้าลิง”
ลิง?
“อย่างที่เห็นนั่นแหละนะ”
ผู้ที่ผลักประตูเข้ามาคือเด็กสาวร่าเริงกว่าใครๆ ‘วิน’ ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพที่มีความสัมพันธ์ประหนึ่งเพื่อนกับเรเซอร์ และตัวเธอ ณ ปัจจุบันนี้ก็เป็นลูกน้องในสังกัดของวินโดยตรง เปรียบเสมือนมือขวาที่ทำหน้าที่เป็นมือเป็นเท้าให้เนลยอน
เบื้องหลักคือมนุษย์ทดลองที่มีข้อผิดพลาดทางร่างกาย แต่ปัจจุบันนี้เธอกลายเป็นอาวุธสงครามที่ทรงพลังของอาณาจักรเนลยอนไปแล้ว
“ช่วงนี้เล่นสั่งงานโหดๆมาให้ตลอดเลยนะ ล่าสุดก็ต้องเจอกับพวกมนุษย์ต้นไม้ของเรน แล้วก็มีสู้กับฟัฟนิร์สองคน ..แต่ฟัฟนิร์ก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่”
แหงอยู่แล้ว ฟัฟนิร์ในตอนนี้มีพลังอยู่ไม่ครบ แถมพลังที่ไม่ครบนี้ก็ถูกแบ่งครึ่งไปอีกทีอีก
“แล้วทำไมภารกิจถึงล้มเหลวล่ะ?”
“เจอเซียนเข้าน่ะ ก็บอกไปทางจดหมายแล้วไม่ใช่รึไง ขี้บ่นจริงๆเลยนา”
วินทำเสียงอู้อี้และลงมานั่งบนเก้าอี้ข้างหน้าโต๊ะของเนลยอน เธอนั่งงอหลังเท้าคางอย่างเกียรคร้าน และส่งสายตาที่จริงจังมาทางเนลยอน
“แผนการณ์ที่แท้จริงถึงไหนแล้วล่ะ?”
“ ‘อามาเทราสึ คาซึมะ’ ตอบรับสัญญาณเริ่มแผนแล้ว นอกจากนั้นตระกูลขุนนางทั้งหมดก็ตอบตกลง”
“..พวกขุนนางเห็นแก่ตัว”
วินมีสีหน้าที่ไม่พอใจเสียเท่าไหร่ แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ของเนลยอนที่จะสนใจ
“พวกมนุษย์ก็เป็นแบบนี้แหละ พอข้ายื่นข้อเสนอดีๆให้หน่อยต่อให้สิ่งที่ทำมันจะทำให้ผู้คนจำนวนมากมายต้องตาย หรือว่ามันจะเป็นการใช้ลูกหลานของตัวเองในการต่อสู้ แต่เจ้าพวกนั้นมันก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย ..เพื่อให้ราชวงศ์และขุนนางกลับมาปกครองอาณาจักรเนลยอนอีกครั้ง จากระบบประชาธิปไตรที่พวกสามัญชนสร้างขึ้นมา เจ้าพวกนั้นมันพร้อมทำทุกอย่างนั่นแหละ”
เนลยอนแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย–ต่างกับวินที่ขำไม่ออก
อย่างที่รู้กัน อาณาจักรเนลยอนแห่งนี้ปกครองด้วยระบบประชาธิปไตร มีรัฐมนตรีที่แต่งตั้งในทุกๆส่วนมาจากประชาชนในอาณาจักร แต่นี่ไม่ใช่ระบบที่เกิดขึ้นแต่แรก มันคือระบบที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ระหว่างสามัญชนและพวกเชื้อพระวงศ์ในอดีตหลายสิบปีก่อน เมื่ออดีตอาณาจักรแห่งนี้ก็ปกครองด้วยระบบกษัตริย์เหมือนๆกับทุกอาณาจักรบนโลก
พอเปลี่ยนระบบแล้ว สิ่งสำคัญอย่างระบบเก่า อาทิเช่น สายเลือดชนชั้นสูง ก็ค่อยๆเลืองหายไป ทั้งทหารเรือและข้าราชการ ทั้งหลายก็รับเอาคนธรรมดาที่มีฝีมือมาทำมากขึ้น ผู้คนแทนที่จะเชิดชูชนชั้นสูงเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ก็ค่อยๆมองพวกชนชั้นสูงไม่ต่างกับตัวเองนัก แค่รวยกว่าแค่นั้น ด้านการปกครองอาณาจักรในระดับสูง เวลานี้พวกชนชั้นสูงที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สายเลือดชั้นสูงในอาณาจักรไม่พอใจ และเริ่มวางแผนลับๆล้มการปกครองประชาธิปไตร โดยที่ยืมมือของเนลยอนมาด้วย และ—วินเองก็เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นสูงเช่นกัน
พูดให้ถูก วินไม่ใช่อาวุธสงครามสำหรับผู้คนในเนลยอน หากแต่เป็นอาวุธสงครามที่ใช้สู้ในศึกชิงอำนาจภายให้อาณาจักรเนลยอน เป็นตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อพวกเห็นแก่ตัวในอาณาจักร
และเธอก็ต้องทำงานตามคำสั่งเหล่านั้นต่อไปจนตัวตาย เพื่อน้องสาวของตัวเองที่นอนไร้สติอยู่บนเตียง
“คาดว่าหลังจากนี้อีกราวๆสองสามสัปดาห์จะใช้เตรียมตัว เตรียมการณ์ในแต่ละจุดให้เรียบร้อย แล้วก็เริ่มทำการโจมตีทั้งจากภายในและภายนอก”
“หน้าที่ของฉันล่ะ?”
“..ฟัฟนิร์ แซร์อิซ ทั้งสองจะมาที่แห่งนี้แน่นอน นอกจากนั้นก็คาดว่าพวกพันธมิตรที่สองตนนี้ไปติดต่อไว้ก็จะมาด้วยเช่นกัน ในอาณาจักรเยลยอนก็มีพวกคนละฝ่ายกับเราร่วมมือกับพวกนั้นอย่างลับๆด้วยเช่นกัน แน่นอนจากนอกอาณาจักรเองก็มี”
วินพยักหน้ารับตามที่เนลยอนพูด
“สรุปคือ?”
“รับมือกับศัตรูจากภายนอกทั้งหมดซะ แต่ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากให้เจ้ารับมือคนๆหนึ่งแค่คนเดียวพอ”
“แข็งแกร่งมากเลยสินะ ถึงขนาดที่ให้ฉันและอาจารย์รับมือแบบ 1-1 น่ะ”
“ใช่ แต่นี่ยังเป็นแค่ข้อสันนิฐานอยู่ ..บางที ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ คงจะอยู่ฝ่ายเดียวกับฟัฟนิร์”
……
……
“เอ๊ะ?”
..อย่าบอกนะว่า..ที่บอกว่าเป็นเพื่อนกันนั่น
“รายงานจาก ‘เรน’ หมอนั่นบอกว่า เรเซอร์ ดราแคล์ มีความแข็งแกร่งอย่างน้อยก็ทัดเทียมกับคาลอส”
นอกจากเนลยอนแล้ว พวกชนชั้นสูงก็ยืมมือจากเรนมาช่วยในการถล่มระบบใหม่ด้วย เรื่องนี้วินเองก็รู้ดีมาโดยตลอด …
“เจ้าต้องหยุด เรเซอร์ ดราแคล์นั่นให้ได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ไม่สิ ยังไงซะ ในศึกนี้เธอก็มีหน้าที่ต้องตายอยู่แล้วนี่”
“…”
“เหลือเวลาไม่มากแล้วไม่ใช่รึไง อายุขัยของเจ้าน่ะ ถ้าปลดล็อคทุกอย่างใช้ในศึกนี้ คงจะตายทันที แน่นอนว่าชีวิตอีกครึ่งหนึ่งจะถูกย้ายไปที่น้องสาวของเจ้า น้องสาวจะได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและมีความสุขต่อไปตามที่ตกลงกันไว้”
แม้จะตกใจบ้าง แม้จะไม่อยากเชื่อในหลายๆเรื่อง แต่วินก็ทำใจยอมรับทั้งหมด เธอพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเหมือนดั่งทุกที
“ความสามารถของเรเซอร์ ฉันรู้ดีเลยละ คิดว่าน่าจะรับมือได้ ถ้าเอาจริง ไม่มีทางแพ้หรอก”
ทั้งวินและเนลยอนในตอนนี้ไม่อาจรู้เลยว่าเรเซอร์ตอนนี้ได้ความสามารถใหม่มามากมาย ทั้งสองจึงประเมินออกมาเช่นนี้
เนลยอนพยักหน้าพึมพำ
“แต่ก่อนจะเริ่มการต่อสู้ ไปลาดตะเวนซะ …นอกจากเจ้าหญิง ‘อามาเทราสึ โทมิเรีย’ ที่สนับสนุนระบบใหม่โดยมี ‘ไรเดน อาคาสะ’ คอยรับใช้แล้ว บุคคลที่อันตรายที่สุดก็คือ—เจ้ามนุษย์ที่กำลังจะกลับอาณาจักรเนลยอนเร็วๆนี้จากการกวาดล้างโจรสลัด เจ้านั่นเองก็สนับสนุนระบบใหม่เหมือนกัน”
ได้ยินอย่างนั้นวินก็ไหล่ตกทันที
“.. ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ สินะ ..ตัวประหลาดพรรค์นั้น ฉันไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะได้หรอกนะ”
“ข้าไม่ได้คาดหวังให้เจ้าชนะอยู่แล้ว แค่ตรวจสอบตำแหน่งแล้วส่งรายงานมาให้ข้าเรื่อยๆก็พอ แต่ถ้าจำเป็นก็อนุญาตให้สู้ แน่นอนว่าต้องเน้นหาทางหนีไว้ก่อน”
“เข้าใจแล้ว ขอบพระคุณมากละกันเนอะ ที่ไม่ได้บังคับให้ฉันไปสู้กับสัญลักษณ์แห่งความ ‘ยุติธรรม’ อย่างคนๆนั้น รู้รึเปล่าว่าเบ็นจิโร่คนนั้นถูกกล่าวว่าเป็นคนที่จะก้าวข้าม ไรเดน อาคาสะ ได้ในอีกไม่นานน่ะ เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาแท้ๆเชียวนะ”
เนลยอนหัวเราะขึ้นจมูก
“ไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหน ..ที่ทำพันธสัญญากับ ‘ภูตสวรรค์’ ได้ถึงสองตนหรอกนะ”
ภูตสวรรค์ในปัจจุบันนี้มีทั้งหมดสามตน ได้แก่ มหาภูต ‘เซเนีย’ แล้วก็อีกสองตนที่เหลือนั้น วงในของอาณาจักรเนลยอนต่างรู้ดีว่าที่เหลือนั้นทำพันธสัญญากับ เท็งงุ เบ็นจิโร่ อยู่ นอกจากภูตสวรรค์ก็มีสัตว์อสูรมากมายที่ทำพันธสัญญากับเธออยู่
จากเด็กสาวผู้น่าสิ้นหวังจากตระกูลขุนนางเท็งงุ สู่วีรสตรีแห่งความยุติธรรม นั่นแหละคือ ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’
****
เกาะแห่งหนึ่งทีอยู่ห่างไกลจากผืนดิน ณ เกาะแห่งนั้นถูกปกครองโดยกลุ่มโจรสลัดยักษ์ ‘มาเซล’ หนึ่งในสามกลุ่มโจรสลัดที่ทรงอำนาจที่สุดในท้องทะเล มีสมาชิกอยู่ร่วมนับหมื่น มีกองเรืออยู่ในการควบคุมนับพัน ทว่า ในตอนนี้ บนเกาะกลับเหลือสมาชิกและอาวุธเพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด และสมญานามอย่างกลุ่มโจรสลัดที่ทรงอำนาจที่สุดก็ถูกทำลายทิ้งไปแล้วราวๆหนึ่งปี จากการล่มสลายของกลุ่มโจรสลัดยักษ์อีกสองกลุ่มที่คานอำนาจไว้อยู่ ..ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ปี อำนาจ กองกำลังที่แม้แต่อาณาจักรมหาอำนาจก็คิดว่าไม่คุ้มที่จะเข้าสู้ด้วย ตอนนี้กลับกำลังถูกทลายไปทีละแห่ง
ทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร?
หัวหน้ากลุ่มโจรสลัดมาเซลกำลังนั่งกระด๊กเหล้าด้วยสภาพที่น่าสิ้นหวัง ..เขานั้นฉลาดและแข็งแกร่ง เพราะอย่างนั้นถึงได้กลายเป็นโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่ทั้งหมดกลับถูกทำลายอย่างย่อยยับ ความพยายามหลายสิบปีถูกทำลายในไม่กี่ปี และตอนนี้ตัวเองก็กำลังจนมุม คล้ายว่ากำลังถูกบดขยี้อย่างโหดร้าย ทำให้เขาอยู่ในสภาพไม่น่าดู
อะไรกันที่ทำให้เขาอยู่ในสภาพนี้ ..มาเซลเดินออกจากแคมป์ และมองไปที่ท้องทะเลที่แต่ก่อนมันคือที่ที่พวกเขาสามารถล่องเรือปล้นชิงได้อย่างอิสระ ..
“มาแล้วสินะ ..”
กองเรือราวสิบรำกำลังตรงมาบนเกาะนี้ เรือลำหน้าสุด เรือขนาดยักษ์ที่สุด บนปลายเรือนั้นมีมนุษย์ผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งยืนอยู่ และปล่อยให้ผ้าคลุมไหล่สะบัดไปตามสายลม
ผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากเนื้อผ้าห่วยๆราวกับถูกสร้างโดยเด็ก บริเวณไหล่มีโลหะราคาแพงที่คอยยึดเหนี่ยวกับเสื้อทหารเรือเอาไว้ และจุดเด่นที่สุดคือกลางหลังของผ้าคลุมนั้นถูกสลักคำว่า ‘มิตรแห่งความยุติธรรม’ เอาไว้
เธอผู้นั้นสวมเครื่องแบบกองทัพเรือตามปกติ ส่วนร่างสวมกางเกงขาสั้นและถุงน่องสีขาว บนหัวของเธอสวมหมวกแก็ปของกองทัพเรือ นอกจากนั้นจุดเด่นที่สุดของเธอก็คือเลือนผมสีดำยาวที่สามารถแตะได้ถึงพื้น แต่ตอนนี้กลับถูกสายลมพัดลอย นอกจากนั้นบริเวณเอวของเธอก็มี ‘มณีวารี’ ติดไว้อยู่
เธอคนนี้ก็คือ ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ ผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งกองทัพเรือของอาณาจักรเนลยอน วีรบุรุษผู้กำราบกลุ่มโจรสลัดในตำนาน และทลายฉายามหาอำนาจแห่งท้องทะเลของเหล่าโจรสลัดทั้งหมด บัดนี้เองเธอก็กำลังจะทลายกลุ่มโจรสลัดมาเซล ณ ฐานที่ตั้งสุดท้าย พร้อมกับกองเรือนับสิบขนาดยักษ์ของเธอ
โจรสลัดแก่ผู้น่าสิ้นหวัง มาเซล มองดูเท็งงุ เบ็นจิโร่ และกองเรือที่โบกสะบัดธงของกองทัพเรืออันเปล่งประกายตรงหน้าด้วยแววตาที่สิ้นหวัง
“..ผู้มหัศจรรย์แห่งท้องทะเล ..สัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม ..ผู้วิเศษกว่าใครๆ ..วาระสุดท้ายของข้าในฐานะโจรสลัด หากต้องถูกตัวตนที่มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้เป็นคนจบเรื่องราวก็อาจจะไม่เลวนัก”
มาเซลกระดกเหล้าบนมือของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ ‘ดิวเวย์’ ‘อันต้า’ ข้ากำลังไปหาพวกเจ้าแล้วนะ!!”
มาเซลเอ่ยนามของสองมหาอำนาจโจรสลัดที่เหลือที่ถูก เท็งงุ เบ็นจิโร่ จัดการไปแล้ว มาเซลเอาแต่หัวเราะโวยวายยกใหญ่ โดยไม่ได้สังเกตุเลยว่า เท็งงุ เบ็นจิโร่ กำลังตั้งท่ายิงธนูด้วยธนูสีขาวขนาดยักษ์ราว 1 เมตร มันคือธนูสวรรค์ ธนูที่มาจากหนึ่งในสองของพลังแห่งภูตสวรรค์ที่เธอทำสัญญาด้วย ลูกธนูทำจากน้ำในท้องทะเล แสงสีฟ้าแวบขึ้นมาหนึ่งจังหวะ
–พริบตาเดียว
ลูกธนูได้พุ่งผ่านหัวของมาเซล ชีวิตของมาเซลจบลงพร้อมกับน้ำตาจากเสียงหัวเราะ …..ไม่นานกองเรือมาหยุดอยู่บนเกาะ เบ็นจิโร่ ยกมือประกาศขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ห้าวหาญ
“ผู้ใดที่ขัดขืน ฆ่าให้หมด”
ในวันนั้น กลุ่มโจรสลัดมหาอำนาจแห่งสุดท้าย ได้ถูกทำลายจนสิ้น