เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 161: เผชิญกับความจริง (1)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 161: เผชิญกับความจริง (1)
< < 116 Sec1 > >
“ใช้การาวิเทียได้คล่องแคล่วดีนี่ ต้องบอกว่าสมกับเป็นเรเซอร์”
จอมมารพูดไปและใช้ดาบแห่งโซโลม่อนตั้งการโจมตีแบบบ้าพลังของหนิง จะสวนก็สวนไม่ได้เพราะผมก็รอจังหวะเล่นงานจอมมารอยู่เหมือนกัน ทันทีที่จอมมารลดดาบแห่งโซโลม่อนลงการโจมตีโหมกระหน่ำจากผมก็จะตามมาติดๆ แน่นอนว่าเธอคงรู้ดีจึงยังไม่แลกพลังกับหนิงไม่นั้นตัวเองจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบซะเปล่า
ถ้าไล่ต้อนไปแบบนี้ได้เรื่อยๆล่ะก็—
“อีกแปดนาที” จอมมารพูดพลางมองทางวิน “ไม่มีปัญหา”
อีกแปดนาที? ไม่มีปัญหา? อย่าบอกนะว่ารู้ระยะเวลาของวิชาไสยศาสตร์ได้น่ะ?
พูดจบจอมมารก็โยนดาบแห่งโซโลม่อนขึ้นฟ้า และบีบอากาศ—อากาศสั่นไหวและเพียงพริบตาเดียวบนพื้นที่ลอยอยู่บนฟ้าก็ถูก ‘หลุมดำ’ กลืนกิน มันดูดกลืนเอาพื้นที่การาวิเทียควบคุมไว้ทั้งหมดเข้าไปข้างในจนหมดเกลี้ยง
“อะ อะไรกันเนี่ย?” หนิงส่งเสียงตะลึงมาจากข้างหลัง
พร้อมกันกับที่หลุมดำได้วับหายไป จอมมารก็รับดาบแห่งโซโลม่อนที่ดิ่งลงพื้นไว้ราวกับคำนวณระยะเวลาเอาไว้แล้ว
“ใช้เวลาเตรียมการณ์นานไม่น้อย แต่ก็ไม่มีปัญหา”
การต่อสู้แค่ไม่กี่นาทีมันเรียกว่าเตรียมการณ์นานได้ด้วยเหรอ? เดี่ยวนะ อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย รวบรวมมานาเรียกหลุมดำออกมาในไม่กี่นาทีไม่พอยังเป็นหลุมดำที่กลืนกินเกาะวาเรอร์ได้ตั้งกว่าหนึ่งส่วนสี่เลยนะ
หลุมดำบ้านี่ผมก็ไม่รู้ด้วยว่าจอมมารใช้ได้ ในนิยายเห็นใช้แต่เพลิงสีขาวแล้วก็ดาบแห่งโซโลม่อนกับมีเลียนแบบเวทมนตร์ในยุคปัจจุบันบ้าง โชว์น้อยไปแล้วเฟ้ย
กลิ่นอายที่คล้ายกับเอเธอร์ พลังที่มากมายจนไม่อยากเชื่อว่ามีอยู่จริง ตัวตนที่น่าอัศจรรย์อย่างกับว่าพวกเราอยู่คนล่ะโลกนี่คือนิยามของจอมมาร ..ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องจะมายอมแพ้
ผมรวบรวมมานาและส่งทั้งหมดไปให้การาวิเทีย พื้นดินในเกาะวาเรอร์ยังเหลืออีกมาก ตัววิทยาลัยกับที่อยู่ของคนมีไม่ถึงหนึ่งในสี่ด้วยซ้ำ ถ้าใช้อีกสักครั้งคนไม่มีปัญหา
“ปั้ง”
จอมมารยิ่งก้อนมานาออกจากปลายนิ้ว—มันคือบีมขนาดยักษ์ที่ใหญ่กว่าของหนิงซะอีก
บีมพุ่งลงพื้นเกาะวาเรอร์และจากนั้นไม่กี่วิ แผ่นดินก็สั่นไม่หยุด เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตดังขึ้นจากในป่า เหล่านกพากันบินหนี ทุกชีวิตบนเกาะรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าต้องหนีจากเกาะแห่งนี้
เพราะว่า
“เกาะกำลังจะจมในอีกสิบนาที”
เกาะวาเรอร์กำลังจะจมลงใต้ทะเลเพียงแค่การโจมตีครั้งเดียว
“ถ้าเกาะจมไป พวกเหนือธรรมชาติอย่างเรเซอร์หรือหนิงคงรอดได้ แต่คนปกติล่ะ? คิดว่าจะมีกี่ชีวิตที่ต้องตายถ้าเกาะจม” จอมมารยิ้มให้ “แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางรอด ถ้าเอาการาวิเทียไปให้ยูจิก็คงจะช่วยเกาะวาเรอร์ได้ไม่ยาก เขาเป็นคนที่มีมานาเยอะยิ่งกว่าเราเสียอีก กับอีแค่ยกเกาะที่กำลังจะจมขึ้นมาไม่ได้ยากเลย”
..จอมมารทำลายข้อจำกัดของตัวเองได้แล้ว การาวิเทียจะทำให้จอมมารเคลื่อนที่ไม่ได้ เธอเลยสร้างเหตุผลให้ใช้การาวิเทียกับอย่างอื่นแทนขึ้นมา โดยการเอาชีวิตทุกคนบนเกาะมาเป็นตัวประกัน อีกทั้ง..พวกผมยังถูกจำกัดเวลาให้เหลือแค่สิบนาทีอีก ต้องหายูจิและให้ช่วยในสิบนาที แต่–การจะหายูจิคือต้องรีบหนีจากตรงนี้ก่อนและไม่มีทางหนีจากจอมมารได้ง่ายๆแน่ หมายความว่าเราจะต้องหนีในสภาพที่เสียเปรียบจอมมาร ในทางที่เลวร้ายสุดท้ายก็จะโดนจอมมารฆ่าเลียนคน ยูจิที่ช่วยพยุงเอาไว้ก็จะโดนจอมมารตามไปเก็บอยู่ดี
ระหว่างที่คิดหาทางแก้เสียงสั่นของเกาะก็ดังสนั่นไม่หยุด ยิ่งปล่อยไว้มันยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆราวกับสัญญาณเตือนการจมลงของเกาะ ทั้งเสียงแผ่นดินสั่นและเสียงร้องของสรรพสัตว์มันดังน่ารำคาญมาก..ผมกัดฟันข่มสติที่ใกล้จะกระเจิงเอาไว้
“แต่ก็นะ–ใช่ว่าเราจะปล่อยให้ได้ทำตามใจ คนฉลาดอย่างเรเซอร์น่าจะรู้นะว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นยังไง”
..ยังมีเอเธอร์
“เอเธอร์ไม่โผล่มาหรอกนะ เขาติดอยู่ในโลกแห่งความว่างเปล่าของเรนกว่าจะออกมาได้คงกินเวลาอีกราวยี่สิบนาที”
นั้นเหรอ ..ก็ว่าหายไปไหน แบบนั้นเองเหรอ ..
เกาะจะจมในอีกสิบนาที ..
“ทำไม..ถ้าทำได้ขนาดนี้ทำไมไม่ทำให้มันจบตั้งแต่แรกเล่า”
ทำไมต้องให้ความหวังว่าพวกเราจะรอดไปได้ด้วยกันล่ะ ..บัดซบเอ้ย
“ทำไมสินะ เรื่องนั้นเราก็ ..” จอมมารหรี่ตามองวิทยาลัยเวทมนตร์ที่ที่เพื่อนที่ร่วมเรียนด้วยกันมาอยู่ “เพราะได้ความทรงจำส่วนที่ไม่จำเป็นมาด้วยกระมัง”
..
“ตัวเราในชาตินี้ก็ดูจะมีเพื่อนเยอะด้วยนะ ทั้งคนชมรมวิจัยมานาบริสุทธิ์ ทั้งกลุ่มลับสำหรับพวกรับจ้างกินถั่วงอก ไหนจะเพื่อนในห้องที่แวะมาคุยด้วยเป็นช่วงๆอีก ..ตลอดสิบห้าปีที่คอยเฝ้ามองอยู่ในร่างนี้ ตัวเราไม่เคยได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่าสายสัมพันธ์เลยล่ะ”
จอมมารพูดทั้งหมดด้วยรอยยิ้ม–ไม่อยากจะยอมรับรอยยิ้มนี่เลย
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าตัวเราผู้ที่ถูกรังเกียจในสถานกำพร้าจะมีเพื่อนมากมายขนาดนี้ แถมยังมีคนรักแสนวิเศษผู้พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเราอีก เรื่องราวแสนมีความสุขของเบลลามีพึ่งจะเริ่มก็ตอนที่ได้เจอกับเรเซอร์นั่นแหละนะ ..รู้รึเปล่าเรเซอร์ เบลลามีหรือตัวเราในวัยเด็กน่ะเป็นอย่างไรบ้าง?”
รู้สิ ..รู้ดีเลย ..รู้ทั้งหมดนั่นแหละ
จอมมารเริ่มนับนิ้ว
“เป็นเด็กที่ไม่เข้าใจคนอื่น ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไงจนเผลอทำให้คนรอบตัวเสียความรู้สึก”
ใช่ นั่นคือข้อเสียของเบลลามี ..ตอนที่เจอกันครั้งแรกเธอก็ทำให้ผมเสียความรู้สึกจนซึมไปพักหนึ่งเลย
“ปากเสียมาก ถึงจะไม่ตั้งใจแต่ก็ปากเสียไปเสียแล้ว ไม่รู้ตัวด้วยว่ากำลังปากเสีย”
ยังจำตอนที่เบลลามีบอกว่าผมสกปรกได้อยู่เลย นึกแล้วก็อยากจะร้องไห้ ..
“เพราะปากเสียไม่บันยะบันยังเลยถูกทุกคนเหม็นขี้หน้า สักพักก็ถูกรังแก ถูกกีดกัน แม้แต่พี่เลี้ยงก็ไม่ชอบหน้า” จอมมารหัวเราะขึ้นจมูก “รู้ตัวอีกทีรอบข้างก็ไม่มีใครอยู่ด้วยเลย ใช้ชีวิตเหมือนกับอยู่คนล่ะโลกกับทุกคน”
ในวันแรกที่เจอกับเธอ–เธอก็ไม่มีใครอยู่ด้วยเลยอย่างที่จอมมารพูด ..เพราะอย่างนั้นผมเลยปล่อยเธอไปไม่ได้
“อีกทั้งยังโง่เกินกว่าจะรู้ว่าตัวเองผิดอะไร ..เหมือนกับเด็กแรกเกิดนั่นแหละ ถ้าไม่สอนให้เดินก็คงจะเดินเองได้ยาก และคนที่ช่วยสอนการเดินให้เด็กอย่างเบลลามีก็เรเซอร์ไงล่ะ ..แปลกจังนะ เราเองก็ไม่ได้หน้าตาสวยดีเลิศระดับจะสู้กับขุนนางได้ ไม่ได้มีสเน่ห์ให้ฐานะผู้หญิงเลยแต่เรเซอร์กลับเข้าหา แค่นั้นไม่พอยังปากเสียอีก พูดเรื่องไม่ดีใส่ตั้งหลายอย่างแต่ก็ยังไม่หยุดจะเดินเข้ามาคุยด้วย อะไรดลใจให้ทำกันนะ แม้แต่เราที่ถูกเรียกว่าเจ้าแห่งปัญญายังสงสัยเลย อย่างไรก็ช่าง..”
เธอพูดไปยิ้มไปราวกับว่า ..
ทุกประโยคของเธอดังขึ้นในหัวของผม บางที แค่บางทีนะ..
“ความรู้สึกที่มีคนเดินเข้ามาในโลกที่แปลกจากคนอื่น ยอมรับเราและช่วยเหลือเรา ..มันเป็นความรู้สึกที่ดีเสียซะจนไม่มีอะไรมาแทนได้เลยล่ะ เรเซอร์จูงมือเรา ทำให้เราสามารถมีความสุขอย่างทุกคนได้”
จอมมารวางมือทาบบนหน้าอก
“จากนั้นก็ได้ทำความรู้จักกับโลกใบนี้จริงๆซะที ได้พบเจอผู้คน ได้พูดคุย ได้ทำความรู้จักและได้มีเพื่อนที่ยอมรับในตัวตนที่แปลกประหลาดนี้ ..อย่างโซเฟียที่พร้อมจะให้เราปรึกษาทุกเรื่องอย่างเปิดอก อย่างเคียวยะที่ถึงจะปากเสียและขี้บ่นแต่ก็ทำเพื่อเราตลอด อย่างยูจิที่ช่วยหาโอกาสให้เราได้อยู่กับเรเซอร์ ..อีกหลายๆคนในวิทยาลัยด้วย ทั้งหมดคือความสุขของเราในฐานะเบลลามี–แต่ทั้งหมดเริ่มขึ้นได้เพราะเรเซอร์เดินเข้ามาจูงมือเรา”
ไม่อยากจะยอมรับเลย แต่ว่า ..
“เพราะอย่างนั้นล่ะมั้ง เราถึงได้ตกหลุมรักเรเซอร์ในที่สุด”
..บัดซบเอ้ย
“การที่ต้องทำลายโลกใบนี้มันเจ็บปวดนะ ต้องจมเกาะวาเรอร์น่ะก็เจ็บปวดเหมือนกัน คิดว่ามีเพื่อนเรากี่คนต้องตายกัน? คนในเมืองที่พึ่งทำความรู้จักก็ด้วย คุณป้าที่ร้านหนังสือก็ต้องตายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
ทำไมกันวะ ..ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย
“สายสัมพันธ์ทั้งหมดที่เราทำมากำลังจะถูกทำลายด้วยมือของเราเอง นั่นน่ะยังไงก็น่าเศร้า”
“..ใช่สิ ถ้านั้นทำไมไม่ทิ้งมันไปล่ะ ไอ้ความคิดที่จะทำลายโลกบ้าๆนั่น”
“ทำไม่ได้หรอก—-เพราะตัวเราในฐานะจอมมารไม่ยอมให้ทำ” จอมมารชี้ดาบแห่งโซโลม่อนขึ้นฟ้าและประกาศกร้าวออกมา “เหมือนกับเบลลามีที่มีสายสัมพันธ์ในชาตินี้ เราในฐานะจอมมารก็มีอุดมการณ์ในชาติก่อนอยู่—มันไม่ใช่อุดมการณ์แค่ของเราคนเดียวแต่มันคือของทุกคนที่เดินตามหลังเรา”
ดาบแห่งโซโลม่อนค่อยๆแยกก้อนเมฆออกจากกัน—เผยให้เห็นดวงจันทร์ที่สง่างาม
“เราคือ ‘จอมมาร’ กำเนิดมาเพื่อที่จะทำลายโลก และสร้างโลกที่ไม่จำเป็นต้องมี ‘จอมมาร’ ไม่จำเป็นต้องมี ‘ผู้กล้า’ ไม่จำเป็นต้องมี ‘ทวยเทพ’ โลกที่ทุกคนสามารถชีวิตได้ตามต้องการ โลกที่ไร้ซึ่งกฏอันน่ารังเกียจ เพื่อโลกที่ต้องการแล้ว–ต่อให้ต้องทำลายสายสัมพันธ์ทั้งหมดทิ้ง มันก็ไม่ได้ยากเลยหากเทียบกับความตั้งใจนี้ ..เรเซอร์ ขอโทษนะ”
จอมมารยิ้มให้ผมด้วยแววตาที่ดูเศร้าแต่พริบตาเดียวแววตาก็กลับมาทรงพลัง
“โลกใบนี้จะต้องถูกทำลาย ไม่ว่ายังไงก็ตาม—เรเซอร์ ดราแคล์ หากนายปารถนาจะช่วยพวกพ้องก็จงทิ้งชีวิตนับร้อยบนเกาะนี้ไปซะ หากต้องการจะรักษาชีวิตนับร้อยก็จงทิ้งสหายข้างกายทุกคนซะ”
…ไม่อยากยอมรับเลย ไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ว่าสุดท้ายผมก็ต้องยอมรับ
จอมมารคือเบลลามี—เป็นอีกด้านของเบลลามีคนที่ผมตกหลุมรัก ..เหมือนกับจอมมาร ผมก็เศร้าเหมือนกันที่ต้องเผชิญหน้าเธอในฐานะศัตรู …ไม่สิ ผิดแล้ว
เป้าหมายของผมคืออะไร ..การฆ่าจอมมารเหรอ? ไม่ใช่ เป้าหมายของผมน่ะคือ–การช่วยเบลลามีต่างหาก
“ถ้าไม่อยากทำลายก็ไม่ต้องทำลายสิ ..พูดแบบนี้ก็ดูเห็นแก่ตัวแฮะ ให้ตายสิ”
ผมโพล่งออกมา
“ก่อนอื่น ฉันจะช่วยเธอก่อน!!”
ตอนนี้ความรู้สึกมันได้สุดๆ ..ร่างกายเองก็พร้อมด้วย อะไรบางอย่างกำลังตื่นขึ้น พลังแฝงเหรอ? ไม่ใช่ ของแบบนั้นมีที่ไหน
ผมแสยะยิ้มออกมา–จับศรีษะที่ร้อนได้ที่
“ช่วยเหรอ?”
“เออสิ ถูกบังคับให้เลือกไม่ใช่รึไง!?”
“..”
“ก่อนอื่น ฉันจะทำให้เธอไม่ต้องเลือกเอง ..ไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง—เป็นไปไม่ได้สินะ ช่างมันสิ จะทำให้เป็นให้ได้เลยคอยดู ต่อให้จะไร้สาระ ต่อให้ไรมวลแค่ไหน ต่อให้ที่พูดมันจะไม่มีน้ำหนักแต่ฉันคนนี้จะทำให้มันมีน้ำหนักเอง”
เบลลามีถอนหายใจ เธอมองผมด้วยใบหน้าที่อ่อนล้า
“สติแตกแล้วเหรอ เรเซอร์”
หนิงที่คอยดูเชิงอยู่ข้างหลังทักขึ้นแบบเอือมๆ
สติแตก? จะบอกอย่างนั้นก็ได้
“คิดว่าไร้สาระสินะ”
“ใช่ ที่พูดน่ะไร้สาระ”
“ที่ไร้สาระมันเธอต่างหาก!!!—คิดว่าฉันคนนี้เป็นใครกัน!?”
จอมมารเบิกตาโพงกว้าง เธอสัมผัสศรีษะของตัวเองคล้ายปวดหัวแปล๊บ ..อะไรบางอย่างกำลังไหลเข้ามาในสมอง
“..เรเซอร์..วิธีพูดแบบนั้นมัน”
ใช่แล้ว วิธีพูดนี่น่ะ—คล้ายกับไอ้เศษสวะนั่นเลย
“คนแก่ๆอย่างหล่อนคงจะแก่เกินจะรับรู้อะไรแล้ว พักได้แล้ว! อยู่เฉยๆหยุดสร้างปัญหาได้แล้ว!!”
“..ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
“—คิดว่าเป็นใครกันถึงได้มาชักถามฉันคนนี้!”
“วิธีพูดน่ารำคาญจริงๆนะเรเซอร์”
เออสิ ไอ้วิธีพูดแบบนี้ไม่ว่าใครได้ยินก็รำคาญทั้งนั้นแหละ น่ารำคาญที่สุด น่ารังเกียจ โอหัง—มันคือสิ่งที่บ่งบอกตัวตนของเรเซอร์คนเก่า
ไอ้เรเซอร์คนเก่ามันเป็นสวะไร้ค่า แต่หากพูดถึงข้อดีเดียวของมันก็คือความตั้งใจที่ไม่สนโลก
อย่างน้อยก็ในตอนสุดท้าย ความปารถนาก็เป็นจริง มันสามารถขึ้นไปอยู่ระดับเดียวกับสิ่งที่มันปารถนาได้—ไอ้สวะไร้ค่านั่นคือไม่กี่คนที่ขึ้นมาสู้กับพระเอกขี้โกงอย่างยูจิได้ ความตั้งใจนั่นก็น่ายอมรับอยู่หรอก แต่นิสัยนี่ไม่ไหวเลย แต่ก็นะ ..ตอนนี้ขอยืมความตั้งใจสุดบ้าคลั่งไม่สนโลกนั่นหน่อยล่ะกัน ไอ้สวะ
“ฉันคนนี้จะเปิดทางสว่างให้เธอที่แสนโง่เขลาเอง ..เพราะนั้นนะเบลลามี..จอมมาร..พักได้แล้ว”
‘ข้อผิดพลาดของโลก’ คือการที่สามารถเอาตัวเองออกนอกกฏของโลกได้—ด้วยเหตุนั้นจึงสามารถทำบางอย่างที่นอกเหนือกฏเกณฑ์ได้
อาทิเช่น—ดาบที่สามารถแยกโลกออกจากกันได้ เพราะได้เห็นดาบแห่งโซโลม่อนทำให้เข้าใจหลักได้โดยสัญชาตญาณ ..การเล่นนอกกฏของจอมมาร เราเองก็ทำได้
‘มาสเตอร์ ..สุดแรงเลยนะคะ’
ยูนาที่เชื่อมจิตใต้สำนึกกับผมย่อมเข้าใจในทางเดียวกัน—-เอาล่ะ ได้เวลาเล่นนอกกฏแล้ว! นี่แหละสิ่งที่ควรเป็น ตัวร้ายบ้านใครเขาเล่นในกฏกัน!
ผมยกมือขึ้นฟ้า แสงสีม่วงปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือพร้อมกับแรงลมที่มหาศาล—จอมมารไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าใส่
‘ดาบที่แยกโลกออกจากกันได้สินะคะ ..’
ใช่ เหมือนกับการตัดมิติของเธอที่สามารถแยกโลกใบนี้ออกเป็นสี่ส่วนได้
‘ฉันไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ทุกครั้งหรอก รอบนั้นแค่สถานการณ์เป็นใจ แค่โชคช่วย ..แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ต้องพึ่งโชคนะคะ มาสเตอร์’
นั่นสินะ—ออกมาซะ
“—”
ในห้วงเวลานั้น สมาธิของผมก็ได้หลุดออกไปก่อน—ดาบที่สามารถแยกโลกออกจากกันได้มันหลุดไปจากมือแล้ว
“มาช่วยแล้วค่ะ ท่านจอมมาร!”
ข้างหลังผม–หนิงกำลังจะถูกบิลเซบับกิน—-ไม่มีทาง หนิงไม่มีทางพลาดท่า
อ๊ะ
เป็นเพราะจอมมารอัดเพลิงสีขาวใส่ทางหนิง เธอเลยหลุดโฟกัสไป ไม่สิ แต่เดิมบิลเซบับโผล่มาจากไหนกันเนี่ย—ผมรีบพุ่งไปซัดบิลเซบับลงพื้นสุดแรงเกิด
“เรเซอร์!”
แต่ว่า
มันคือการเปิดช่องว่างให้จอมมาร
“ทำได้ดีมากบิลเซบับ—”
จอมมารใช้ดาบแห่งโซโลม่อนตัดขาของหนิง จากนั้นก็ซัดหนิงกระเด็นเข้าไปในป่า—และผมนั้นก็ถูกเพลิงสีขาวอัดเข้ากลางร่างและล่วงลงพื้นดินอย่างช้าๆ
ร่างกายกำลังถูกเผาไหม้ ในคราเดียว ไม่ใช่แค่ใช้เพลิงสีขาวแต่ยังใช้ดาบแห่งโซโลม่อนตัดการติดต่อของผมกับยูจิชั่วคราว
ไม่ได้ยินเสียงเตือนของยูนาเลย—ร่างค่อยๆดิ่งลงพื้น ไม่รู้สึกแรงกระทบของพื้นเลย บางทีหน้าผมอาจจะ..เละสุดๆ
ถึงอย่างนั้น ..ก็เถอะ ..
****
จอมมารมองส่งร่างของเรเซอร์ที่ถูกเพลิงสีขาวคลอก
“..ลาก่อนนะ”
พูดจบจอมมารก็ดิ่งลงพื้น
ตู้ม! เสียงกระแทกดังขึ้นปนกับเสียงเกาะวาเรอร์ที่สั่นไม่หยุด
จอมมารหันไปมองร่างไร้สติของบิลเซบับ ไม่นานก็เดินมาทางวินและโซล่าต่อ
“ไอหยา แบบนี้ซวย–”
วินไม่ทันได้พูดอะไรวิชาไสยศาสตร์ที่เตรียมไว้ก็ถูกทำลาย พร้อมกับร่างที่ถูกเพลิงสีขาวหั่นครึ่ง ..จอมมารกะจะซ้ำให้ตายจริงๆเลยแต่ก็ยั้งมือไว้ก่อน เพราะตรงหน้ายังมีโซล่าอยู่
…โซล่าพยายามจะเดินถอย แต่จอมมารก็เร่งเดินตามมาติดๆ–เธอยกมือเตรียมร่ายเวทย์ใส่
“ฟะ [ไฟ—]”
คำร่ายถูกตัด และ
“..เอ๊ะ”
หัวใจของโซล่าก็ถูกดาบแห่งโซโลม่อนแทงทะลุ
“สาวกของทวยเทพมีส่วนหนึ่งของเทพอยู่ในร่างกาย ดาบแห่งโซโลม่อน–สามารถฆ่าได้โดยตรง”
นั่นหมายถึง-ความตายของโซล่า
“..ไม่จริง..ฉันยัง”
“เรื่องที่อยากทำ เก็บไว้ทำใหม่ในโลกหน้านะ โซล่า”
จอมมารดึงดาบออกจากร่างและปล่อยให้โซล่าล้มลงกับพื้น
“คุณ..เร..เซอ.”
โซล่าพยายามจะเอื้อมมือไปหาเรเซอร์แต่ก็หมดเรี่ยวแรงซะก่อน ..จอมมารมองส่งภาพนั้นอย่างไร้ความรู้สึก
“ต่อไปก็”
เธอหันไปมองทางขวามือและยิ้มออกมา
“มาให้ฆ่าถึงที่เลยนะ ยูจิ”
“..คุณเบลลามี”
และในที่สุด เทพและจอมมารก็ได้เจอกันอีกครั้ง