เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 53 ร้านอาหารP
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 2 บทที่ 53 ร้านอาหารP
เล่มที่ 2 บทที่ 53 ร้านอาหาร
ซั่งกวนเซ่าเฉินสัมผัสรอยแผลเป็นบนใบหน้า แล้วกล่าวเสียงนิ่งว่า “เจ้าคิดว่าสภาพข้าในตอนนี้ยังมีคนจำได้อีกหรือ?”
หนานกงอี้จือตกใจจนนิ่งไป เขาเผยสีหน้าสงสารมองไปที่ซั่งกวนเซ่าเฉิน “เมื่อปีนั้นท่านก็เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ไม่รู้ว่ามีแม่นางกี่มากน้อยที่แย่งชิงอยากแต่งเข้าประตูจวนของท่าน น่าเสียดาย… ที่บัดนี้ท่านกลายเป็นนายพรานผู้ไร้อารยะไปเสียแล้ว มือนี้ของท่านที่ถือดาบ ตอนนี้กำลังจับมีดล่าสัตว์ จุ๊จุ๊ ช่างทำให้ผู้คนเสียดายจริงๆ ”
หนานกงอี้จือกล่าวออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง และไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าอันตรายของซั่งกวนเซ่าเฉิน เขากอดอกพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เหตุใดถึงได้มีลมหนาวพัดเข้ามาเล่าขอรับ?”
เพิ่งจะกล่าวจบ แขนหนากำยำข้างหนึ่งก็ดึงอาภรณ์ของเขาขึ้น ทำให้ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็สาวเท้าก้าวใหญ่ไปที่ประตู
“เฮ้ย ญาติผู้พี่ ท่านทำจะอันใดน่ะขอรับ?ข้ายังมีเรื่องที่จะพูดอยู่นะ รีบวางข้าลงโดยเร็วเถิด ข้าเป็นถึงนายน้อยคนโตแห่งตระกูลหนานกง ท่านปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ หากถูกคนอื่นเห็นเข้า…”
เอี๊ยด ประตูบานใหญ่เปิดออก ซั่งกวนเซ่าเฉินโยนเจ้าเด็กหนุ่มที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวในมือออกไป การกระทำของเขาไม่อาจเรียกว่าอ่อนโยนได้เลยจริงๆ เขาไม่เพียงแต่โยนออกไปเท่านั้น แต่ยังโยนออกไปไกลหลายหมี่อีกด้วย
หนานกงอี้จือรู้สึกเหมือนร่างของตนเองลอยเคว้งอยู่ในอากาศ ร่างกายหนักหนึ่งร้อยกว่าจินถูกซั่งกวนเซ่าเฉินโยนออกไปไกลหลายหมี่ได้อย่างสบายๆ
เสียงดังโครมบังเกิดขึ้น นายน้อยหนานกงรูปงามมองใบหน้าหล่อเหลาของตนเองกำลังจะร่วงลงแนบกับพื้นอย่างตกใจ จากนั้นก็ตกลงสู่พื้นอย่างควบคุมไม่ได้ ในขณะที่ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นกำลังจะสัมผัสกับพื้น หนานกงอี้จือถึงได้สติคืนมาอย่างทันถ่วงที สิ่งแรกที่เขาทำคือใช้มือทั้งสองข้างยันไว้กับพื้น กระโดดม้วนตัวกลับในอากาศและทิ้งบั้นท้ายลงพื้น เพื่อรักษาใบหน้าอันหล่อเหลานั้นไว้
“ไอ๊หยา!” บั้นท้ายของหนานกงอี้จือนั่งลงบนเศษก้อนหินแตกก้อนหนึ่ง และถูกหินบาดเข้ากับผิวพอดีทำให้เขาเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง เขาเบิกตากว้าง ใบหน้าหล่อเหลาเผยความดุร้ายออกมา
“คุณชายหนานกง ท่านจะไม่พักผ่อนก็ได้ แต่อย่าได้รบกวนการพักผ่อนของผู้อื่นเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เปิดหน้าต่างออกมา มองไปยังชายที่นั่งอยู่ในลานบ้านอย่างเย็นชา
หนานกงอี้จือนั่งอยู่บนพื้นมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าของเขาเหมือนลูกท้อ ริมฝีปากแดงฟันขาว ผิวพรรณดีกว่าสตรีเสียอีก เขาใช้สายตาคับแค้นใจมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ ซึ่งทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ที่เป็นสตรีที่ไม่ได้ชื่นชอบบุรุษแต่เพียงภายนอกยังอดไม่ได้ที่จะใจอ่อนลงไปหลายส่วน นางข่มอารมณ์โกรธ ก่อนกล่าวเสียงนิ่ง “พรุ่งนี้จะยุ่งมาก รีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ!อืม… ที่จริงท่าน… เดินออกจากประตูใหญ่แล้วเลี้ยวซ้าย เดินผ่านตรอกสองตรอกแล้วเลี้ยวขวาอีกที ที่นั่นมีสถานที่ที่สนุกครึกครื้นมากอยู่แห่งหนึ่ง น่าจะทำให้ท่าน… พักผ่อนได้เร็วขึ้น”
หนานกงอี้จือมองหลิงมู่เอ๋อร์ปิดหน้าต่างลง จากนั้นก็เก็บสีหน้าที่เผยออกมากลับคืน ทว่าสถานที่ที่นางเอ่ยถึงนั้นทำให้เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
เป็นสถานที่แบบใดกันแน่ที่ทำให้เขาพักผ่อนได้เร็วขึ้น?
เขากระโดดขึ้นไปบนหลังคา แล้วเดินไปตามทิศทางที่หลิงมู่เอ๋อร์บอก เขาเดินไปพลางและท่องพึมพำไปพลาง “เดินออกจากประตูใหญ่แล้วเลี้ยวซ้าย เดินผ่านตรอกถนนสองตรอกแล้วเลี้ยวขวา สถานที่สนุกครึกครื้น…”
ภายในห้อง ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ยินเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ และเห็นหนานกงอี้จือกระโดดข้ามกำแพงออกไปจริงๆ มุมปากของเขาพลันกระตุกขึ้น เขาทอดถอนหายใจออกมาเบาๆ ได้แต่เห็นอกเห็นใจหนานกงอี้จืออยู่ในใจ ในเวลาเดียวกันใบหน้าหล่อเหลาเย็นชานั้นก็ปรากฏรอยยิ้มที่สดใสออกมา
ดวงตาของเขาอ่อนโยน ก้อนน้ำแข็งในใจที่ตกตะกอนมานานหลายปีได้ผ่อนคลายมากขึ้น ราวกับได้เจอแสงแดดอบอุ่นที่กำลังละลายมันอย่างช้าๆ
ในเวลานี้เอง หนานกงอี้จือก็หาสถานที่ที่หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวมาพบแล้ว วรยุทธ์ของเขานั้นไม่เลวเลยทีเดียว ยิ่งเป็นวิชาตัวเบาแล้วนั้นยิ่งเป็นสิ่งที่ถนัดนัก ดังนั้นหลังออกมาจากจวนสกุลหลิง ใช้เวลาไม่นานก็หาพบแล้ว… สถานที่รื่นเริงที่หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวถึง ชื่อของมันก็คือ——หอไผ่มรกต
หอไผ่มรกต ช่างเป็นชื่อที่สง่างามมีระดับยิ่ง
ทว่าผู้ใดจะไปคิดว่าที่นี่คือเสี่ยวกวนย่วน [1] ?
หนานกงอี้จืออยากจะเอาหลิงมู่เอ๋อร์สตรีคนนั้นมาตีก้นจริงๆ!แต่ว่า… เขาไม่มีความกล้าหาญนั้น
“น่ารังเกียจ” ใบหน้าหล่อเหลาของหนานกงอี้จือประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวขาวประเดี๋ยวแดง เขากำหมัดแน่น กัดฟันกรอดพลางเอ่ยว่า “ถ้าไม่ใช่เห็นแก่ญาติผู้พี่…”
เอาเถิด!เขาได้แต่กล้าบ่นอยู่ในใจเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว จากการอยู่ร่วมกันที่ผ่านมาหลายวันนี้ เขาก็มองออกว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ใช่คนธรรมดา ทว่าด้วยวรยุทธ์ของเขาที่ได้เผชิญหน้ากับนางแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจตีเสมอเทียบเคียงนางได้ ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนั้นเพิ่งจะเริ่มฝึกกำลังภายใน กำลังภายในของร่างกายนั้นก็ราวกับต้นกล้าต้นน้อยๆ ไม่น่ากลัวเลยสักนิด
วันรุ่งขึ้น หลิงมู่เอ๋อร์เดินออกมาจากประตูห้อง ทอดมองสีของท้องฟ้าที่ยังไม่มีแสงสว่าง นางยืดตัวบิดขี้เกียจอย่างผ่อนคลาย
ในเวลานั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางห้องครัว นางชะงักอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปดู ก็เห็นเพียงแต่หยางต้าหนิวที่กำลังเทน้ำที่หาบมาลงในโอ่ง
เพื่อความสะดวกในการทำการค้า เรือนด้านหน้าจึงมีห้องครัวห้องหนึ่งเอาไว้ใช้ทำอาหารให้กับลูกค้าโดยเฉพาะ เรือนด้านหลังมีห้องครัวขนาดเล็กอยู่หนึ่งห้องเป็นห้องครัวที่ให้คนในสกุลหลิงได้ทำอาหารทานเองได้อย่างสะดวก แน่นอนว่า ในยามปกติที่ยุ่งมากๆ พวกเขาก็ทำอาหารง่ายๆ เพียงไม่กี่อย่างแล้วทานอยู่ที่เรือนด้านหน้าเลย ดังนั้นห้องครัวเล็กนี้จึงมีไว้เพียงทำอาหารเช้ากับอาหารเย็นเท่านั้น ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์อันใดมากนัก
“ท่านลุง เหตุใดท่านไม่นอนให้มากอีกสักหน่อยเล่าเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยืนอยู่ด้านหน้าประตู กล่าวกับหยางต้าหนิวว่า “พวกเราไม่ได้เปิดร้านเช้าขนาดนั้น”
“ข้าเคยชินแล้ว พอถึงยามนี้ก็จะนอนไม่หลับแล้ว” หยางต้าหนิววางถังน้ำลงและยิ้มเกรงใจ “เสียงดังจนทำให้เจ้าตื่นหรือ?”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ บ้านของพวกเราเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ท่านจะทำเสียงดังมากกว่านี้ในห้องของพวกข้าก็ไม่ได้ยินเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหน้าเบาๆ “แต่ว่า ร่างกายของท่านยังต้องปรับสภาพ งานหนักพวกนี้ไม่ต้องให้ท่านทำ ในบ้านมีคนหนุ่มสาวมากมาย ไหนเลยจะยังปล่อยให้ท่านทำงานเหล่านี้เล่าเจ้าคะ?”
หลายปีมานี้ หยางต้าหนิวทำทั้งงานในบ้านและงานนอกบ้าน ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ล้วนเป็นเขาที่ทำทั้งหมด เพื่อดูแลมารดาที่แก่ชราและบุตรชายที่อายุยังน้อย ทุกวันเขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า และยังต้องเติมน้ำในโอ่งให้เต็มอีกด้วย เช่นนี้ถึงจะกล้าออกไปทำงานหาเงินด้านนอก เพื่อที่จะหาเงิน ไม่ว่างานจะสกปรกหรือเหนื่อยเพียงใด เขาไม่เคยปริปากบ่นสักคำ ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ร่างกายของเขาย่ำแย่มากๆ ภายในร่างกายบอบช้ำนัก หากอายุเยอะมากกว่านี้อีกสักหน่อย อาการบอบช้ำภายในเหล่านั้นจะกำเริบขึ้นมาพร้อมกัน เกรงแต่ว่า…เขาจะมีชีวิตอยู่อีกได้ไม่นาน
หยางต้าหนิวรู้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์เป็นห่วงเขา แต่ว่าเขาเคยชินกับการทำงานหนักดั่งวัวไปแล้ว ถ้าไม่ให้เขาทำงาน ทั้งตอนนี้ยังอาศัยอยู่ในบ้านของน้องสาว ในใจของเขาก็รู้สึกไม่สบายใจ
แม้ว่าคนในสกุลหลิงจะปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็แซ่หยาง บัดนี้อาศัยอยู่ในบ้านสกุลหลิงก็เหมือนกับเป็นการพึ่งพาผู้อื่น ในความคิดของเขา สกุลหลิงให้เขามาทำงาน ก็เหมือนเป็นเจ้านายของเขา เขาไม่อาจทำตัวเป็นดั่งญาติของพวกเขาได้ และต้องปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นเจ้านาย เงินค่าแรงเดือนละสองตำลึงเงินหาจากที่อื่นไม่ได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นเสี่ยวหู่ยังได้มีโอกาสไปเล่าเรียนที่สถานศึกษาอีกด้วย ยังได้อาศัยในบ้านที่กว้างใหญ่และอบอุ่น มารดาที่แก่ชราก็ยังมีคนคอยดูแล ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่น้องสาวและน้องเขยมอบให้ทั้งสิ้น เขาจำเป็นต้องรู้จักสำนึกในบุญคุณ
หลิงมู่เอ๋อร์รู้มานานแล้วว่าท่านลุงคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น อย่างเช่นญาติพี่น้องตัวดีสกุลหลิงเหล่านั้น เกรงแต่ว่าคงจะอยากรีบสูบเลือดสูบเนื้อจากบ้านพวกเขาให้หมดตัวจะแย่อยู่แล้ว
“พวกเจ้าคุยอันใดกันอยู่?” หลิงต้าจื้อกับหยางซื่อเดินออกมาพร้อมกัน หยางซื่อพักอยู่ในห้องกับถังซื่อ แต่ว่าเมื่อสักครู่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็เลยเดินออกมาดู ประจวบเหมาะเจอเข้ากับหลิงต้าจื้อพอดี
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านลุงรังแกข้าเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์มุ่ยปากพลางกล่าว
หยางซื่อชะงักงัน ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เหลวไหล ลุงเจ้าเป็นคนดีและซื่อสัตย์ จะรังแกเจ้าได้อย่างไร?”
“เป็นท่านลุงที่รังแกข้า” หลิงมู่เอ๋อร์ชี้ไปที่โอ่งน้ำแล้วกล่าวว่า “ข้ามีพลังเหนือธรรมชาติมาตั้งแต่กำเนิด จำเป็นต้องมาฝึกฝนทุกวัน ฉะนั้นแล้วงานหาบน้ำตัดฟืนล้วนเป็นงานของข้ามาแต่ไหนแต่ไร พอท่านลุงมาก็แย่งงานของข้าไปแล้ว พวกท่านคิดว่าเช่นนี้คือการรังแกข้าหรือไม่เจ้าคะ?ข้าไม่ยอม หากท่านลุงยังแย่งงานของข้าอีก ข้าจะไม่ยอมแล้วนะเจ้าคะ”
หยางซื่อและหลิงต้าจื้อมองโอ่งที่เต็มไปด้วยน้ำ ดวงตาของทั้งสองคนก็แดงเล็กน้อย หยางซื่อจับมือของหยางต้าหนิวพลางกล่าว “ท่านพี่ ท่านอย่าได้ไปแย่งงานของมู่เอ๋อร์ทำเลย มู่เอ๋อร์ว่าอย่างไร ท่านก็ทำตามอย่างนั้นเถิด เด็กๆ เติบใหญ่แล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ล้วนเป็นงานของพวกเขา พวกเราแค่รอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอแล้วเจ้าค่ะ!”
“ใช่แล้ว!พี่ใหญ่” หลิงต้าจื้อทอดถอนหายใจพลางกล่าว “พวกเด็กๆ ต่างมีอนาคตกันแล้ว ต่อไปก็เป็นโลกของพวกเขาแล้ว คนแก่อย่างพวกเราก็อยู่ไปวันๆ ไม่ต้องสนใจพวกเขา”
“นี่…” ไหนเลยหยางต้าหนิวจะไม่รู้ว่านี่ล้วนเป็นเพราะหลิงมู่เอ๋อร์รักและเป็นห่วงเป็นใยเขา ไม่อยากให้เขาไปทำงานหนักเหล่านี้ ทว่าเขาอยากทำอะไรให้กับครอบครัวนี้บ้าง ไม่เช่นนั้นในใจจะรู้สึกไม่สบายใจ “ไม่ให้ข้าหาบน้ำตัดฟืน ก็ต้องมอบหมายงานเล็กน้อยให้ข้าบ้าง ข้าเคยชินกับการทำงานที่บ้านแล้ว บัดนี้ไม่ให้ข้าทำอันใดเลย ในใจข้ารู้สึกไม่สบายใจ”
“ปญหานี้มิใช่ว่าแก้ไขได้ง่ายดายมากหรือเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ใกล้จะเปิดกิจการแล้ว ร้านค้าจำเป็นต้องทำความสะอาดทุกๆ วัน จากนี้ไปหลังจากที่ท่านตื่นขึ้นมาก็มาทำความสะอาดปัดกวาดแค่นี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“กวาดพื้น?” นี่…จะง่ายเกินไปแล้วหรือไม่?เขาเป็นชายหยาบกร้านคนหนึ่ง ให้ทำงานเบาๆ แค่นี้ทุกวัน แต่ปล่อยให้แม่นางน้อยไปหาบน้ำตัดฟืน?
“ถ้าหากท่านลุงไม่รับปาก ต่อไปแม้แต่งานกวาดพื้นก็ไม่ให้ท่านทำแล้วเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์จ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ “ท่านทำเช่นนี้ก็เหมือนกับถือว่าพวกข้าเป็นคนนอกอย่างแท้จริง!”
“ได้ ฟังมู่เอ๋อร์” หยางต้าหนิวเถียงสู้หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ เดิมทีเขาก็เป็นคนซื่อสัตย์อยู่แล้ว ไม่รู้จักโต้เถียงกับผู้อื่น หลิงมู่เอ๋อร์พูดอะไรก็คืออย่างนั้น เขาเพียงเชื่อฟังอย่างเดียวก็พอแล้ว
ถังซื่อที่อยู่ในห้องเช็ดน้ำตา แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ในที่สุดต้าหนิวก็ผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้แล้ว สวรรค์ ท่านจะต้องคุ้มครองคนดี!มู่เอ๋อร์ของพวกข้าดีถึงเพียงนี้ ท่านต้องให้นางมีชีวิตที่สุขสงบ ภายหลังจะต้องหาสามีที่ปฏิบัติต่อนางอย่างดี ตลอดชั่วชีวิต ขอให้ไร้ซึ่งสิ่งกังวลใจ ใดๆ ด้วยเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์ทำอาหารเช้าเสร็จอย่างคล่องแคล่ว นางยกอาหารเช้าเข้ามาในห้องของถังซื่อ จากนั้นก็แต่งตัวให้กับเด็กทั้งสองคนให้เรียบร้อย และให้เด็กทั้งสองคนไปอยู่เป็นเพื่อนถังซื่อในห้อง เด็กๆ ต่างมีของเล่นของตนเอง เพียงแค่ต้องไปเล่นในห้องของถังซื่อเท่านั้น ถังซื่อที่อยู่ในห้องแคบๆ คนเดียวมาเป็นเวลานาน บัดนี้มีเด็กๆ มาอยู่เป็นเพื่อนทั้งยังไร้กังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหาร สีหน้าจึงสดชื่นเปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัยลงมาก
“คุณชายหนานกง เมื่อคืนท่านได้ไปสถานที่ที่ข้าบอกว่าจะทำให้นอนหลับได้เร็วขึ้นแห่งนั้นจริงหรือไม่เจ้าคะ?ดูจากท่าทางของท่านแล้ว คงได้นอนเต็มอิ่มเชียวนะเจ้าคะ!” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหนานกงอี้จือที่เดินออกมาเป็นคนสุดท้าย ท่าทางราวกับถูกผู้คนย่ำยีมา นางจึงเอ่ยหยอกเย้า
หนานกงอี้จือนิ่งชะงักไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อขึ้นมา เขาถลึงตามองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ โบกกำปั้นในมือทำท่าทางข่มขู่ แต่เพียงแค่บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นั้นชำเลืองตามองมาที่เขาหนึ่งที เขาก็หยุดการกระทำนั้นทันที
เชิงอรรถ
[1] เสี่ยวกวนย่วน (小倌院) หมายถึง หอคณิกาชาย “小倌หมายถึง ผู้ชายที่หารายได้จากการขายรูปร่างหน้าตา หรือเรียกว่า โสเภณีชาย เช่นเดียวกับโสเภณีหญิง”