เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 497 มองออก
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 497 มองออก
เล่มที่ 17 ตอนที่ 497 มองออก
“เจิ้งเฟยขององค์ชายรองจะทรงไปที่ใดหรือเพคะ?”
หงยวนรีบร้อนตามหลังไปพลางมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างตึงเครียด
“แม้จะบอกว่าข้าเป็นคนที่แต่งงานแล้วแต่ข้าชอบให้ผู้อื่นเรียกว่าคุณหนู เจ้าก็เหมือนกับพวกซางจือ นับจากนี้ไปก็เรียกข้าว่าคุณหนูเถิด” หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายและมองไปทางประตูตำหนัก “ข้าจะไปจัดการธุระส่วนตัวเล็กน้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องตามไปหรอก”
“เจ้าค่ะคุณหนู แต่คุณหนูมิใช่ว่าให้ข้าอยู่ต่อเพื่อเป็นสาวใช้ข้างกายของคุณหนูหรือเจ้าคะ ท่านจะออกไปโดยที่หงยวนไม่ตามไปได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ก็มืดแล้วนะเจ้าคะ” หงยวนเงยหน้ามองค่ำคืนอันมืดมิด
“ข้าต้องการสาวใช้มาอยู่ข้างกายเพราะสาวใช้คนก่อนซางจือต้องทำหน้าที่อยู่ในโรงหมอด้วยตนเอง ทั้งยังต้องมาเป็นธุระให้ข้าอีกเกรงว่างานจะหนักเกินไป ทว่าเวลาส่วนมากข้ามักจะจัดการธุระด้วยตัวคนเดียว อาจเป็นเพราะเคยชินมาหลายปีข้าจึงไม่ค่อยชอบออกไปทำธุระกับผู้อื่น ดังนั้นเจ้าคอยอยู่ที่ตำหนักอย่างสงบเถิด ยามที่ข้าต้องการเจ้าจะสั่งเจ้าเอง” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากประตูตำหนัก
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อหงยวนเป็นสาวใช้ของคุณหนูแล้วก็ควรคอยปกป้องอยู่ข้างกายคุณหนู ไม่เช่นนั้นคุณหนูจะหาสาวใช้ที่มีวรยุทธ์เช่นนี้หรือเจ้าคะ”
หงยวนเปิดปากอย่างรวดเร็วทั้งยังไล่ตามไปติดๆ กล่าวจบก็เพิ่งตระหนักได้ว่าผู้เป็นนายตรงหน้าก็หยุดฝีเท้าลงแล้วเช่นกัน
นางรีบเก็บฝีเท้ากลับมาจึงไม่ชนเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่าย
“ดูท่ามัวมัวของเรือนค้าทาสจะหาได้อบรมสั่งสอนเจ้า ทำให้เจ้าไม่รู้หลักการที่ว่าคำพูดของเจ้านายไม่อาจฝ่าฝืนได้!”
สีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์มีความไม่พอใจอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแดงเรื่อด้วยความอับอายขึ้นมาโดยพลัน นางก็โค้งริมฝีปากพยายามอ่อนโยน “เซ่าเฉินส่งองครักษ์เงามากมายมาคอยตามคุ้มกันข้าก่อนแล้ว ดังนั้นแม้ข้าจะออกไปข้างนอกคนเดียวในยามฟ้าสางหรือฟ้ามืดก็ล้วนไม่เป็นปัญหาอันใด เช่นนี้เจ้าวางใจแล้วหรือไม่?”
หงยวนถูกทำให้ใบหน้าแดงเรื่อ ผ่านไปนานก็พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว รู้สึกว่าดวงตาของนางร้อนผ่าวจนสุดท้ายนางก็พยักหน้าอย่างละอายใจ
“ฟ้ามืดแล้ว ข้างนอกอากาศเย็น กลับเข้าไปรอข้างในตำหนักเถิด เจ้าเพิ่งมาปรนนิบัติเป็นวันแรกไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดถึงเพียงนี้ หากเหนื่อยก็สามารถกลับไปพักผ่อนก่อนได้”
หลิงมู่เอ๋อร์พยายามอธิบายอย่างอ่อนโยนเท่าที่จะเป็นไปได้ เห็นว่าครานี้นางฟังเข้าใจจึงเพิ่งเริ่มก้าวเดินจากไป
เดิมหงยวนยังอยากไล่ตามไปแต่เห็นนางเดินไปอย่างผ่าเผยด้วยท่าทีเด็ดขาดก็ทำได้เพียงยอมแพ้
นางหมุนกายรีบกลับไปในห้อง แต่หาได้นั่งพักผ่อนตามคำของหลิงมู่เอ๋อร์ และรีบหยิบพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกออกมาก่อนจะรีบเขียนตัวอักษรไม่กี่คำลงไป จากนั้นจึงม้วนให้เล็กเพื่อให้ถูกสังเกตได้ยากและใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เดินมาริมหน้าต่างก่อนนางจะผิวปาก นกพิราบสีดำที่พบเจอได้ยากตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาบนแขนของนาง
หงยวนผูกกระบอกไม้ไผ่ไว้ที่ส่วนข้อเท้าของนกพิราบ ทั้งยังลูบที่ขนของมันพลางกล่าวว่า “ไปเถิด” ก่อนที่นกพิราบจะบินไป
ราวกับหน้าที่เสร็จสิ้น หงยวนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกและกลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างสงบ
ความจริงวันนี้เป็นวันแรกที่นางมาปรนนิบัติหลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งหาได้แตกต่างอันใดกับยามปกติที่ปรนนิบัตินายท่าน นอกจากการรินชา เจิ้งเฟยขององค์ชายรองผู้นี้ก็หาได้มีความชอบอันใดเป็นพิเศษรวมถึงหาได้จงใจกลั่นแกล้งอันใด
หาได้ปรนนิบัติยากอย่างที่จินตนาการไว้ กลับทำให้นางว่างจนเกียจคร้าน
ตั้งแต่เริ่มอยู่ข้างกายนายท่านเป็นปีที่สาม นางจึงได้ลองจัดการธุระในจวนเพื่อนายท่าน แม้ยามนี้จะมีเสียนหวางเฟยแต่เรื่องในจวนเสียนหวางล้วนเป็นนางที่จัดการแก้ปัญหา แต่ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนนางก็เปลี่ยนจากผู้ดูแลจวนกลายเป็นสาวใช้ส่วนตัวของผู้อื่น บอกตามตรงว่าในใจนางมักจะรู้สึกว่างเปล่าอยู่บ้าง
นางโถมตัวลงบนโต๊ะสายตาหยุดจ้องมองถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่ยุติธรรม เหตุใดนายท่านจึงปฏิบัติต่อสตรีผู้หนึ่งดีถึงเพียงนี้ ทั้งยังให้นางมาคอยปรนนิบัติอย่างใกล้ชิดโดยไม่เสียดายอีกด้วย?
ปัง
ประตูถูกคนเตะจนเปิดจากด้านนอก ยามที่หงยวนตอบสนองก็มีเงาร่างหนึ่งมาปรากฏที่ข้างหลังนางอย่างรวดเร็วยิ่งแล้ว
ผู้มาใหม่แตะนิ้วเล็กน้อย นางอ้าปากตามสัญชาตญาณยามที่นางไม่ทันได้ตั้งตัวก็มีลูกกลอนเม็ดหนึ่งไหลผ่านลำคอลงไปในกระเพาะ
“เจ้าให้ข้ากินสิ่งใด?”
หงยวนรีบบีบลำคอพยายามพ่นลูกกลอนเม็ดนั้นออกมา แต่ของสิ่งนั้นราวกับละลายอยู่ในร่างกายอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นทำให้ทั่วทั้งร่างกายของนางรู้สึกร้อนขึ้นมาบราวนี่ออนไลน์
หงยวนมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ อยากจะระเบิดโทสะแต่ด้วยสถานะจึงต้องข่มกลั้นไว้ “เจิ้งเฟยขององค์ชายรอง นี่ท่านหมายความว่าอย่างไรเพคะ?”
“คำพูดนี้ควรเป็นข้าที่ถามเจ้าจึงจะถูก!”
หลิงมู่เอ๋อร์ยื่นมือที่อยู่ข้างหลังออกมาปรากฏนกพิราบสีดำตัวหนึ่งกำลังส่งเสียงร้อง
หงยวนเบิกตากว้างตามสัญชาตญาณ นางกำลังคิดจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่ยามที่กำลังจะสอบถามอีกฝ่ายว่านี่คือสิ่งใด หางตาก็สังเกตเห็นว่าข้อความที่ขาของนกพิราบหายไป นางจึงคาดเดาได้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์คงรู้ทุกสิ่งแล้ว
“บอกมาว่าเจ้ารายงานความเคลื่อนไหวของข้าให้ผู้ใด?”
หลิงมู่เอ๋อร์ถามโดยนั่งลงตรงข้ามนาง และมองนางด้วยสายตาเย็นชาราวกับเป็นผู้พิพากษาที่กำลังไต่สวนนักโทษ ดวงตาทั้งสองข้างที่ดุร้ายเย็นชาทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ
“ในเมื่อท่านสงสัยในตัวข้านานแล้ว เหตุใดยังต้องให้ข้าอยู่ต่อด้วย?”
หงยวนไม่เข้าใจ บนใบหน้ามีร่องรอยของความโกรธที่ปิดไม่มิด
นางเกลียดการที่ถูกผู้อื่นสงสัย ความรู้สึกที่ถูกจับได้ในสถานที่นั้นยามที่กำลังทำความผิดยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่พอใจจนโกรธ
นายท่านหนอนายท่าน คาดไม่ถึงว่าท่านจะมาชอบสตรีที่ไม่รู้จักขอบเขตเช่นนี้ ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
“จงใจใช้หินกระแทกแจกันจนตกหลังจากนั้นจึงทะยานร่างเข้ามาช่วยเหลือข้าทำให้ข้าสนใจเจ้า อีกทั้งกลัวว่าข้าจะไม่เลือกเจ้าจึงแสร้งทำตัวน่าสงสารเพื่อให้ได้รับความเห็นใจจากข้า ในเมื่อเจ้าทำเช่นนี้ก็ควรต้องคิดว่าจะทำให้ข้าสงสัยด้วยมิใช่หรือ! เมื่อคืนข้าก็บอกไปแล้วว่าหากเจ้าซื่อสัตย์ต่อข้า ข้าย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากและไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม แต่หากเจ้าไม่ซื่อสัตย์เช่นนั้นยาในมือของข้าก็สามารถเอาชีวิตเจ้าไปได้ทุกเมื่อ!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวในขณะที่ดวงตาจับจ้องไปที่นาง โดยไม่ปล่อยให้การเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยของนางหลุดรอดไป
หงยวนหดคอโดยสัญชาตญาณ สีหน้านางแปรเปลี่ยนไปทั้งหน้าซีดเผือดและมีท่าทีเกรงกลัว “เมื่อครู่ท่านให้ข้ากินยาพิษหรือ?”
“ที่แท้เจ้าก็กลัวตายหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเยาะ “ใจกล้าถึงขั้นมาแฝงกายมาอยู่ข้างตัวข้า ข้าก็คิดว่าเจ้าไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินเสียอีก”
เห็นสีหน้าของนางเขียวคล้ำก่อนจะขาวซีด หลิงมู่เอ๋อร์กลับหาได้เคร่งเครียดถึงเพียงนั้น “ข้าเป็นหมอ ยาในมือข้าสามารถช่วยคนได้แน่นอนว่าย่อมสามารถทำร้ายคนได้เช่นกัน ลูกกลอนที่เจ้ากินลงไปเมื่อครู่แม้จะหาใช่ยาพิษที่ร้ายแรงมากทั้งยังไม่ทำให้เจ้าเจ็บปวดมากนัก แต่หากภายในสามวันไม่ได้รับยาถอนพิษเจ้าจะมีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ทั้งยังมีแผลเน่าเปื่อยทั่วร่างจนตายตก แต่ขอเพียงเจ้าบอกข้ามาตามจริง ข้าจะให้ยาถอนพิษแก่เจ้าทันที”
“ท่านมันต่ำช้า!”
หงยวนพ่นลมหายใจพลางจ้องเขม็งอย่างโกรธเกรี้ยว พุ่งเข้าไปหมายจะสั่งสอนนางโดยแทบไม่ต้องคิด แต่มือยังไม่ทันสัมผัสใบหน้าของนาง ข้อมือก็ถูกมือที่มีกำลังแกร่งกล้าข้างหนึ่งจับกุมไว้แล้ว
หากมิใช่เพราะนางเห็นกับตา นางย่อมไม่เชื่อเป็นแน่ว่าพละกำลังของสตรีจะมากมายได้เช่นนี้
“ท่านปล่อยข้าเสีย!”
“บอกมาว่าตกลงเจ้าเป็นคนของผู้ใด ได้รับคำสั่งมาจากผู้ใด จุดประสงค์ที่เจ้ามาที่ตำหนักองค์ชายรองคืออันใด!”
หงยวนหันศีรษะไปอย่างดื้อดึง “หากมีความสามารถก็ฆ่าข้าเสีย ข้าจะไม่ทรยศ…นายท่านเด็ดขาด”
“ช่างเป็นสาวน้อยผู้หนึ่งที่ปกป้องผู้เป็นนายอย่างซื่อสัตย์เสียจริง” หลิงมู่เอ๋อร์ชื่นชมนิสัยของนาง
เห็นสายตาดื้อดึงของอีกฝ่าย นางก็มองออกว่าหงยวนหาได้เสแสร้งแกล้งทำ อีกฝ่ายจะไม่ยอมพูดอันใดเป็นแน่
หรือจะเป็นฉินรั่วเฉิน?
“เจ้าไม่กลัวตายจริงหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ราวกับเล่นกล ในมือปรากฏกริชเล่มหนึ่งออกมาแกว่งไปมาตรงหน้าทำให้แสงสะท้อนในดวงตาของนาง
หงยวนกลับไม่แม้แต่จะกะพริบตา “ในเมื่อถูกท่านพบแล้ว จะเป็นหรือตายก็ย่อมตามแต่ใจของท่าน”
“ช่างกล้าหาญนัก!” หลิงมู่เอ๋อร์ชื่นชม “เจ้าเปิดเผยการเคลื่อนไหวของข้าให้ผู้อื่นก็นับว่าทรยศข้าแล้ว ตำหนักองค์ชายรองย่อมไม่ปล่อยเจ้าไป แต่หากไล่เจ้าออกไปเช่นนี้ข้าก็ยากจะอธิบายกับบ่าวคนอื่นในตำหนัก นับจากนี้ยังจะยิ่งได้รับการนับถือยากขึ้น ดังนั้นโทษตายอาจเลี่ยงได้แต่โทษเป็นย่อมยากจะเลี่ยง ข้าจะกรีดใบหน้าของเจ้าก่อนจากนั้นก็ตัดหลังศีรษะของเจ้า ก่อนจะตัดเอ็นร้อยหวายของเจ้าและเอาเจ้าโยนออกไปนอกตำหนัก”
นางจงใจกล่าวอย่างเชื่องช้า ยามที่กล่าวออกมาทุกคำล้วนจ้องมองพิจารณาท่าทางของหงยวน
นางเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในแววตาของอีกฝ่ายมีความหวาดกลัววาบผ่าน แต่หลังจากดิ้นรนครู่หนึ่งความหวาดกลัวก็กลายเป็นความเข้มแข็ง
“ต่อให้ท่านทรมานข้าจนอยู่ไม่สู้ตาย ข้าก็จะไม่ทรยศนายท่านเด็ดขาด!”
ผลคือสตรีที่ภายนอกดูอ่อนแอกลับมีจิตใจแน่วแน่ที่คนทั่วไปไม่มี นางยอมรับความตายหรือการทรมานแต่กลับไม่ยอมบอกว่าเจ้านายของนางคือผู้ใด
นางชื่นชมนิสัยเช่นนี้เป็นอย่างมาก
“ไม่กลัวตายถึงเพียงนี้เชียว?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้ลองยาพิษใหม่ที่ข้าเพิ่งสร้างขึ้นมา”
กล่าวจบนางก็หยิบยาขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “นี่เรียกว่าผงสลายใจ ผู้ที่กินลงไปจะได้รับความทรมานเจ็ดวันเจ็ดคืนจากการที่กระดูกและเนื้อแยกออกจากกันรวมถึงจิตใจแตกสลาย หากก้มลงผลของยาจะทำให้ระเบิดโดยพลัน เมื่อกินคู่กับลูกกลอนที่ข้าให้เจ้ากินไปเมื่อครู่ บางทีเจ้าอาจไม่ต้องใช้เวลาถึงสามวัน”
แทบจะทันทีที่กล่าวจบ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ลุกขึ้นโดยพลัน มือหนึ่งบีบคางนางในขณะที่เอาขวดยาจ่อไว้ที่มุมปากของนางก่อนจะตวาดอย่างรุนแรง “บอกมาว่าผู้ใดส่งเจ้ามา จุดประสงค์ของพวกเจ้าคืออันใด!”
“ข้า…” หงยวนตกใจกลัวจนสีหน้าซีดเผือดอย่างหวาดหวั่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แต่ไม่นานนางก็กัดฟันจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “ข้าบอกไปแล้วว่าข้าจะไม่ทรยศนายท่าน ต่อให้ท่านฆ่าข้าไปข้าก็จะไม่บอก ฆ่าข้าเสีย ตามที่ท่านพอใจเลย!”
ไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์ก้าวมาลงมือ หงยวนก็สงบสติอารมณ์ลงดังเดิม ปล่อยให้นางจับคางไว้ราวกับเตรียมตัวโผเข้าสู่ความตาย!
ช่างเป็นเด็กสาวที่เด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งนัก
หลิงมู่เอ๋อร์มองดวงตาของนางอย่างพิจารณาอยู่นาน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวจนขนตาสั่นเทาแต่กลับยอมตายทว่าไม่ยอมเปิดปากถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
ผ่านไปนานหลิงมู่เอ๋อร์ก็ปล่อยมือที่ถูกจับกุมของนางไว้และเก็บขวดยาไป
“ท่านไม่ฆ่าข้าหรือ?” หงยวนแปลกใจอย่างถึงที่สุด
“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ข้าหาได้มีนิสัยชอบสังหารผู้บริสุทธิ์”
หงยวนพบว่านางไม่เข้าใจสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย
ความจริงนางงดงามทั้งยังมีความคิดละเอียดรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าสามารถเอากริชตัดชีพจรของตนได้แต่กลับยอมปล่อยอย่างกะทันหัน
หรืออีกฝ่ายคาดเดาได้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของนางคือผู้ใด?
ไม่ เป็นไปไม่ได้
“ในเมื่อไม่ฆ่าข้า เช่นนั้นหากปล่อยข้าไปท่านอย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน!”
หงยวนกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องโดยพลัน แต่น่าเสียดายที่มือยังไม่ทันสัมผัสกับประตู เข็มเงินสามเล่มก็พุ่งดัง ‘ฟิ้ว’ เข้ามาระหว่างซอกนิ้วของนางอย่างแม่นยำ
“ผู้ใดบอกว่าข้าจะไล่เจ้าออกจากตำหนัก?”
หงยวนสับสนมึนงง “ในเมื่อท่านรู้แล้วว่าข้าถูกคนสั่งให้มาเข้าใกล้ท่าน เหตุใดจึงจะยังปล่อยข้าไว้ในตำหนักองค์ชายรองอีก?”
“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าชื่นชมความซื่อสัตย์ของเจ้า หากเจ้าสามารถเป็นประโยชน์ให้ข้าได้เช่นนั้นก็นับว่าดี แน่นอนว่าหากเจ้าเป็นคนที่ศัตรูของข้าส่งมา แทนที่จะไล่เจ้าออกไปจากตำหนักองค์ชายรอง ให้พวกเขาหาโอกาสเอาคนแปลกหน้าที่ข้าไม่ทันระวังแทรกซึมเข้ามาอีกไม่สู้ปล่อยเจ้าไว้จะดีกว่า ข้ากลับอยากจะเห็นนักว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเจ้าคิดจะทำอันใด!”