เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 488 ล่องูออกจากถ้ำ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 488 ล่องูออกจากถ้ำ
เล่มที่ 17 ตอนที่ 488 ล่องูออกจากถ้ำ
“เซ่าเฉิน ท่านหาข้าอยู่หรือ?”
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์จัดการเรื่องเจิ้งเฟยของเซียวเหยาหวางกลับมาก็เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินพาใครบางคนเข้ามา เมื่อมองอย่างชัดเจนก็รู้สึกคุ้นหน้าเป็นอย่างมาก
“เจ้าเป็นผู้คุมนักโทษที่เฝ้าคุกหลวงใช่หรือไม่?”
ผู้คุมนักโทษรีบคุกเข่าลงบนพื้น “กระหม่อมขอถวายความเคารพเจิ้งเฟยขององค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”
“มิต้องเกรงใจ ลุกขึ้นเถิด เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่?” กล่าวจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็เดินไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว “ซางจือบอกว่าท่านเรียกข้า เป็นเพราะเขาหรือ?”
“จัดการเรื่องเจิ้งเฟยของเซียวเหยาหวางเรียบร้อยแล้วหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้าพลางถาม
“ใช่ เมื่อครู่ข้ากับท่านแม่บุญธรรมไปรับโอรสน้อยเป็นเพื่อนนาง เซียวเหยาหวางอยู่ในคุกหลวงเกรงว่านางก็ย่อมไม่ปลอดภัยเช่นกัน แม้ท่านแม่บุญธรรมจะเสนอว่าจะพาคนไปที่จวนหนิงกั๋วโหว แต่ข้ากังวลว่าจะรบกวนความเป็นอยู่ของท่านแม่บุญธรรมจึงรับมาอยู่ที่ตำหนักพวกเรา ท่านจะตำหนิข้าหรือไม่?”
“เจ้าเป็นเจิ้งเฟยของข้า เป็นนายหญิงของตำหนักองค์ชายรอง ข้าจะกล้าสงสัยการตัดสินใจของภรรยาได้อย่างไร?” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวจบก็ใช้สายตาส่งสัญญาณให้ผู้คุมนักโทษเป็นการสื่อว่าให้เขารายงานสถานการณ์เมื่อครู่อีกครา
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้คุมนักโทษ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ตกใจยิ่ง “เจ้าว่าอย่างไรนะ ฉินรั่วเฉินทรมานฉินอวี้เหิงโดยมิได้รับอนุญาตหรือ?”
ผู้คุมนักโทษได้ยินคนเรียกชื่อขององค์ชายทั้งสองคนอย่างวางอำนาจเป็นครั้งแรก เขารีบคุกเข่าลงไปบนพื้น “กระหม่อมย่อมไม่กล้าโกหกเจิ้งเฟยขององค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสามไม่เพียงแต่ถูกทรมานแต่ยังถึงขั้น…ได้ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจิ้งเฟยขององค์ชายรอง องค์ชายรอง กระหม่อมมาเพื่อส่งต่อคำพูดขององค์ชายสามตามรับสั่ง อย่างไรก็ขอให้ทั้งสองพระองค์ช่วยองค์ชายสามด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ตกไปอยู่ในกำมือของฉินรั่วเฉินย่อมมีจุดจบไม่ดีเป็นแน่ ฉินรั่วเฉินอยากทำให้เขาตายตกนานแล้ว ครานี้จึงคว้าโอกาสที่หาได้ยากไว้ เกรงว่าครั้งนี้ฉินอวี้เหิงหากไม่ตายก็ย่อมถูกแล่เนื้อเป็นแน่!”
หลิงมู่เอ๋อร์ทอดถอนใจและมองไปที่ผู้คุมนักโทษอีกครา “สามารถหนีออกจากคุกหลวงมาส่งข่าวได้ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ แต่เรื่องที่ฉินอวี้เหิงทำร้ายหมิ่นกุ้ยเฟยล้วนถูกทุกคนเห็นกับตา ต่อให้เซ่าเฉินมีฐานะเป็นองค์ชายรองก็ยังไม่อาจบอกว่าจะพาคนออกมาได้ การช่วยชีวิตย่อมมีขั้นตอน ทางฝั่งพวกเราคิดหนทางไว้แล้ว แน่นอนว่าข้าเชื่อว่าเขาจะอดทนไหว”
หลังผู้คุมนักโทษจากไป หลิงมู่เอ๋อร์ก็นั่งลงข้างซั่งกวนเซ่าเฉินด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด กำหมัดแน่นและทุบลงไปบนโต๊ะอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “สมควรตายนัก ช้างกายฝ่าบาทต้องมีไส้ศึกเป็นแน่ หากข้าเดาไม่ผิดคนผู้นั้นก็คือสี่กงกง!”
“สี่กงกงถวายการรับใช้เสด็จพ่อมาหลายปี แต่ไหนแต่ไรก็ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์มาโดยตลอด ข้าเชื่อว่าเขาย่อมมีเหตุผลบางอย่าง” ซั่งกวนเซ่าเฉินถอนหายใจอย่างหนักหน่วง แม้จะไม่อยากยอมรับความจริงเรื่องนี้ แต่ถึงอย่างไรอี้กุ้ยเฟยก็ตายเพราะเขา ฆ่าคนย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิต ไม่ว่าเขาจะทำอันใดก็ล้วนควรชดใช้การกระทำของตนเอง
“ข้าควรจะรู้สึกว่าสถานการณ์ผิดปกตินานแล้ว ไม่กี่วันมานี้ยามที่พบสี่กงกงเขาล้วนหลบเลี่ยงสายตา อีกทั้งวันนั้นที่ไถ่ถามเรื่องของฝ่าบาทเป็นพิเศษ เขาก็มีท่าทีคลุมเครือเห็นได้ชัดว่าเขาจงใจยกเรื่องห้องเครื่องมาเป็นหลักฐานว่าตนเองไม่อยู่ หากข้าสังเกตพบให้เร็วกว่านี้เสียหน่อยบางทีคงไม่ต้องอ้อมค้อมมากมายถึงเพียงนี้ และฉินอวี้เหิงคงไม่ต้องไปอยู่ในคุกจนชีวิตตกอยู่ในอันตราย”
หลิงมู่เอ๋อร์นึกเสียใจภายหลังเป็นอย่างยิ่ง การสังเกตของนางเริ่มอ่อนด้อยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?
“สามี คนทำผิดก็ย่อมต้องชดใช้การกระทำของเขาใช่หรือไม่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ้มบาง “ตามที่ภรรยาว่า”—————-
“ผู้ใดกล้ามาลอบโจมตีข้า ปล่อยข้านะ!”
หนานกงอี้จือถูกคนปิดตาทั้งยังมัดมือมัดเท้าเหมือนว่าจะถูกใส่อยู่ในกระสอบ รู้สึกว่ารอบด้านโคลงเคลงราวกับเขากำลังถูกพาไปที่ใดสักแห่ง เขาพยายามดิ้นรนขัดขืน “ข้าคือหนิงกั๋วโหวซื่อจื่อ กล้ามาทำร้ายข้าเช่นนี้ต่อให้มีสิบหัวล้วนไม่พอให้ตัด หากเก่งจริงก็ปล่อยข้าแล้วพวกเรามาสู้กันตัวต่อตัว!”
“เงียบหน่อย เสียงดังเสียจริง รออีกเดี๋ยวค่อยไปพูดกับพญายมเถิด”
ผู้ที่คุมตัวเขาอยู่เตะเขาคราหนึ่งอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย แรงเตะนั้นรุนแรงจนทำให้หนานกงอี้จือร้องโอดโอยออกมาอย่างเจ็บปวด
“โอ๊ย! ไอ้สุนัขสารเลวอาศัยบารมีเจ้านายเที่ยวกัดชาวบ้าน บอกมาว่าเจ้านายของเจ้าคือผู้ใด หลังจากข้าออกไปได้ไม่เพียงเจ้าเท่านั้นแต่เจ้านายของเจ้าก็ล้วนจะถูกฝังดินไปด้วย!”
หนานกงอี้จือโวยวายเพราะถูกมัดอยู่ในกระสอบจึงไม่มีหนทางตอบโต้ และเมื่อครู่คนผู้นั้นยังบังเอิญเตะเข้าที่หลังศีรษะของเขา ทำให้เขารู้สึกเพียงว่ามึนศีรษะอีกทั้งร่างกายยังไร้เรี่ยวแรงเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนจู่ๆ เขาก็ถูกคนลอบโจมตี ไม่ทันได้ตอบโต้ก็มีมือสังหารหลายคนพุ่งเข้ามา ยามที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันยากจะต่อกรกับคู่ต่อสู้ได้เขาก็ถูกคนมัดไว้เสียแล้ว
เพราะถูกปิดตาจึงไม่รู้ว่าถูกพาไปที่ใด แต่คนเหล่านี้ไม่ทราบว่าทำอันใดกับเขาจึงทำให้ร่างกายของเขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงราวกับกุ้งที่ถูกต้มสุกจนนิ่ม
ญาติผู้พี่หนอญาติผู้พี่ พวกท่านต้องตามมานะ ชีวิตของข้าอยู่ในมือของพวกท่านแล้ว! พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งกันเชียว
เขาภาวนาในใจแต่ไม่ได้ยินเสียงอันใดอยู่นานทำให้เขากังวลขึ้นมา “ต่อให้ต้องการชีวิตของข้าก็ต้องให้ข้ารู้ก่อนว่าไปทำให้เทวดาองค์ใดขุ่นเคืองเข้า หากเป็นบุรุษที่ภักดีนักก็ปล่อยข้าออกไป!”
“ไอ้สุนัขสารเลว หากเจ้าไม่พูดหมายความว่ายอมรับว่าไม่ใช่บุรุษ หรือจะเป็นขันทีที่สูญเสียบ่อเกิดของชีวิตไปแล้วจริงๆ…”
ปัก!
เตะเข้าที่หน้าอกของเขาอีกคราหนึ่ง
“ในฐานะซื่อจื่อกลับพูดมากเช่นนี้ รออีกเดี๋ยวจะตัดลิ้นของเจ้าก่อนเลย!”
หนานกงอี้จือถูกเตะจนหายใจติดขัดและไอออกมาอย่างรุนแรง
เมื่อเขาหายใจเป็นปกติก็กำลังคิดจะด่าบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของอีกฝ่าย ใครจะรู้ว่าเขาจะถูกคนโยนไปไกลอย่างแรงราวกับทิ้งขยะ
เขากลิ้งอยู่บนพื้นราวกับลูกหนังทั้งยังบังเอิญกระทบกระเทือนบาดแผลจนเขาร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดอีกครา
ไม่ผิด หลังจากถูกมัดและหมดสติไปคนเหล่านี้ดูเหมือนจะสั่งสอนเขาอย่างรุนแรง ทำให้ทั้งร่างของเขาไม่เพียงแต่ไม่มีเรี่ยวแรงทว่ายังมีบาดแผลมากมายเต็มตัว เรื่องนี้เขาต้องไปคิดบัญชีกับญาติผู้พี่ กลับไปต้องให้ญาติผู้พี่ตกรางวัลให้เขาเสียแล้ว
กระสอบถูกคนเปิดจนมีแสงสาดส่องเข้ามา แม้จะถูกปิดตาอยู่แต่เขาก็ยังหลับตาแน่นและยื่นหูแยกแยะสภาพโดยรอบอย่างละเอียด
ดูเหมือนมีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา!
หนานกงอี้จือดิ้นรนโผล่ออกมาจากกระสอบแต่เพราะถูกมัดไว้ทั้งร่างจึงทำให้เขาราวกับเป็นหนอนตัวหนึ่งคลานอยู่บนพื้น
เขาอาศัยใช้หูแยกแยะทิศทางที่คนมาจนกระทั่งรู้สึกว่าร่างกายกระทบบางสิ่งจึงหยุด เขาลอบระแวดระวังแต่ท่าทางกลับยังดูเอ้อระเหยทั้งยังดูไม่จริงจัง
“เจ้าคือผู้ใดตกลงคิดจะทำอันใดกับข้า?”
“ข้าขอเตือนเจ้าว่าข้าเป็นซื่อจื่อเพียงคนเดียวของจวนหนิงกั๋วโหว หากกล้าทำร้ายข้าแม้เพียงเส้นขน ท่านพ่อท่านแม่ของข้าจะมาถลกหนังพวกเจ้าและเอาเลือดพวกเจ้าไปดื่ม!”
“เหตุใดจึงไม่พูด ตกลงว่าเป็นปีศาจวัวหรือปีศาจงูอันใด ทำไม คงมิใช่ว่ากลัวข้าหรอกกระมัง ข้า…”
ปัก!
เท้าข้างหนึ่งเตะบนศีรษะของเขาอย่างรุนแรง หนานกงอี้จือที่หาได้เตรียมป้องกันตัวถูกเตะจนกลิ้งไป
เขาส่งเสียง ‘อึก’ และพ่นเลือดออกมารู้สึกเพียงว่าอวัยวะภายในทั้งหมดล้วนสั่นสะเทือน
คนผู้นี้ลงมือกับเขาอย่างโหดเหี้ยมนัก!
“เหอะ หนิงกั๋วโหวซื่อจื่อที่แท้ก็เป็นคนขี้ขลาดที่ต้องพึ่งพิงบิดามารดา!” ผู้ที่มัดเขาหัวเราะเยาะพลางกล่าว เปิดผ้าสีดำที่ปิดตาเขาออกและเย้ยหยัน “เจ้ามิใช่ว่าอยากเจอนายท่านของพวกเราหรือ จะให้เจ้าได้สมปรารถนาก่อนตาย”
แสงสว่างเสียดแทงดวงตาทำให้หนานกงอี้จือหลับตาตามสัญชาตญาณ ยามที่ลืมตาอย่างระมัดระวังที่เหนือศีรษะก็มีภาพการตกแต่งที่หรูหรางดงาม
เขาข่มกลั้นความเจ็บปวดและพลิกร่างอย่างยากลำบาก ไม่สนใจเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก เขายืดคอมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ “ที่นี่คือวังหลัง?”
“สมกับที่เป็นหนิงกั๋วโหวซื่อจื่อช่างมีความรู้มากอย่างที่คิดไว้ แม้แต่สถานที่อันไม่คุ้นเคยและเป็นที่ลับเช่นนี้ก็ยังสามารถมองออก”
แปะๆๆ ผู้มาใหม่ปรบมือไปพลางเอ่ยชื่นชม
หนานกงอี้จือดิ้นรน ยามที่หมุนกายกลับไปอย่างยากลำบากก็เห็นรองเท้าลายปักแสนประณีตคู่หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ตนอย่างช้าๆ
เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าอันชั่วร้ายและคุ้นเคยของหมิ่นกุ้ยเฟยอยู่ตรงหน้า!
“เป็นเจ้าอย่างที่คิด!”
เขากัดฟันดิ้นรน แทบอยากพุ่งเข้าไปหานาง แต่ทันใดนั้นคนข้างหลังก็ยกเท้าถีบหลังของเขา “อย่าขยับ หากทำให้เหนียงเหนียงตกใจ เจ้าจะถูกตัดขา!”
“ฮ่ะ ฮ่าๆๆ” หนานกงอี้จือยิ้มเยาะแม้จะขยับตัวไม่ได้แต่กลับไม่มีบรรยากาศของคนขี้ขลาดแม้แต่น้อย “เจ้าคิดว่าจะขู่ข้าได้หรือ อยากตัดขาข้าหรือ? ได้ เข้ามา!”
เขาคำรามราวกับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ยักษ์ที่เงยหน้าขึ้นมาจากความมืดมิดอย่างกะทันหัน
มือสังหารที่เดิมปฏิบัติกับเขาราวกับปลาซิวปลาสร้อยก็ถูกเสียงคำรามนี้กดดัน และมองไปทางหมิ่นกุ้ยเฟยอย่างไม่แน่ใจ
หมิ่นกุ้ยเฟยโบกมือแสดงท่าทีให้ถอยหลังไป เหลือบมองลงไปที่หนานกงอี้จืออีกครา “หนานกงอี้จือ เดิมเปิ่นกงไม่คิดจะทำให้เจ้าลำบาก แต่ใครใช้ให้เจ้ารนหาที่ตายเองเล่า เรื่องนี้จะมาโทษข้าไม่ได้”
เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยไอสังหารของนาง ที่มือขวาก็หยิบบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ หนานกงอี้จือรู้สึกได้ถึงแสงแวววาวของกริช!
“หากเจ้ากล้าทำร้ายข้าคงรู้ผลที่จะตามมาใช่หรือไม่!”
“ผลที่จะตามมา?” หมิ่นกุ้ยเฟยรู้สึกว่าน่าขัน “เรื่องที่เปิ่นกงไม่ควรทำก็ล้วนทำหมดแล้ว ยามนี้ขอเพียงจัดการเจ้าที่มากเรื่องที่สุดคนสุดท้ายทิ้ง ข้ายังจะต้องกลัวอันใดอีก?”
กล่าวจบนางก็ถือกริชกดลงไปบนคอของเขา “บอกมาว่านางสารเลวหลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นพบอันใด? ขอเพียงเจ้าบอกมาอย่างว่าง่ายข้าก็จะปล่อยเจ้าไปในสภาพที่ศพสมบูรณ์”
ยามที่กริชอันเย็นเฉียบกดลงบนคอ หนานกงอี้จือก็ตัวสั่นอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่ใช่เพราะกลัวแต่เขารู้สึกหนาวจริงๆ
กริชที่แหลมคมจนแทบจะตัดเหล็กได้ราวกับตัดโคลนทำจากวัสดุชั้นดี นับว่าเป็นของดีจริงๆ
หนานกงอี้จือเอาปลายลิ้นดุนกระพุ้งแก้มขวา ก่อนน้ำลายในปากที่มีเลือดผสมอยู่จะถูกถ่มใส่ใบหน้าของหมิ่นกุ้นเฟย “อยู่ในกระถางไฟนานถึงเพียงนั้นเหตุใดเจ้ายังไม่ถูกไฟเผาตายอีก หญิงเฒ่าเช่นเจ้ามิใช่ว่าแก่ชราเหมือนไข่มุกที่เริ่มเหลืองหรือ ช่างทนไฟเสียจริง!”
“เจ้า…”
หมิ่นกุ้ยเฟยถูกทำให้อับอายจนโทสะแล่นขึ้นมาถึงศีรษะ “เดิมข้ายังไม่คิดจะฆ่าเจ้า แต่ทั้งหมดนี้เป็นเจ้าที่บังคับข้าเอง”
กริชในมือของนางฟันเข้าที่คอของเขาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าแรงจะไม่มากแค่ก็ทำให้เกิดรอยบนผิวจนมีเลือดไหลออกมาโดยพลัน
“เจ้ามันหญิงสารเลว!”
หนานกงอี้จือตื่นตระหนกรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่คอและเลือดที่ไหลรินลงมา นี่เขาจะตายแล้วหรือ?
ไร้หนทางปิดปากแผล ภายใต้สถานการณ์ที่เลือดไหลรินออกมาคงทำให้เสียเลือดจนตายเป็นแน่ แต่หูของเขาราวกับได้ยินการเคลื่อนไหวอันใด
ไม่ หน้าที่ของเขายังไม่สำเร็จ หากคนบนหลังคาเผยพิรุธออกมายามนี้ การเสียสละของเขาคงนับว่าสูญเปล่าเป็นแน่
เขารีบตะโกน “หมิ่นกุ้ยเฟย เจ้าไม่เพียงแต่สังหารอี้กุ้ยเฟยมายามนี้ยังหมายจะสังหารข้าอีกหรือ? เจ้าน่าจะรู้ว่าหากลงมือกับข้าย่อมกลายเป็นศัตรูกับจวนหนิงกั๋วโหว เจ้าคิดให้ดีก่อนจะดีกว่ากระมัง!”
หมิ่นกุ้ยเฟยชะงัก คาดไม่ถึงว่าเขาจะตะโกนขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่คิดไปคิดมาเขาก็ล้วนใกล้ตายแล้วยังต้องระวังอันใดอีก?
“บาดแผลของเจ้าหากพันแผลไม่ทันเวลาอีกไม่นานเจ้าก็คงตายอยู่ที่นี่ หลังเจ้าตายข้าค่อยแอบส่งคนเอาเจ้าไปทิ้งที่สุสานรวม ถึงครานั้นอย่าว่าแต่จวนหนิงกั๋วโหวเลย ใต้ผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ผู้ใดจะรู้ว่าข้าเป็นคนลงมือ?”
หมิ่นกุ้ยเฟยตะคอก “หนานกงอี้จือ ถึงยามนั้นที่เจ้าตายก็จะล้วนไม่มีผู้ใดพบว่าเจ้าตายไปแล้ว ดังนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง พวกหลิงมู่เอ๋อร์พบอันใด ยามที่ข้าสังหารอี้กุ้ยเฟยเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยอันใดไว้…”
ปัง