เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 487 สุนัขรับใช้
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 487 สุนัขรับใช้
เล่มที่ 17 ตอนที่ 487 สุนัขรับใช้
ถึงอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าสาวใช้จะฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้ หมิ่นกุ้ยเฟยรู้สึกมีความสุขยิ่ง “ทำได้ดี”
ยามนี้นางกำลังต้องการกำลังคนอีกทั้งนางยังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กับผู้ที่จงรักภักดีต่อนางแต่ไหนแต่ไรนางก็หาได้ตระหนี่ถี่เหนียวด้วย
“เจ้าไปหยิบกล่องในลิ้นชักชั้นที่สามออกมา”
สาวใช้ไม่รู้ว่านางจะทำอันใดแต่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย ทว่ายามที่หมิ่นกุ้ยเฟยส่งของที่อยู่ข้างในให้นาง สาวใช้ก็ตะลึงงัน
“เหนียงเหนียงให้หม่อมฉันจริงหรือเพคะ?”
“ลองสวมดูว่าชอบหรือไม่ หากไม่ชอบเปิ่นกงจะตกรางวัลอย่างอื่นให้เจ้า” วันนี้หมิ่นกุ้ยเฟยอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง คำพูดจึงล้วนอ่อนโยน
สาวใช้ตกใจรีบคุกเข่าลงไปบนพื้นแทบไม่ทัน “หม่อมฉันกลัวแล้วเพคะ เหนียงเหนียง หม่อมฉันเป็นสาวใช้ข้างกายท่านคอยปรนนิบัติท่านมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย จะกล้ารับของของเหนียงเหนียงมาได้อย่างไรเพคะ”
“บอกว่าเป็นรางวัลให้เจ้าก็คือเป็นรางวัลให้เจ้าสิ เจ้าจะกลัวอันใด คงมิได้กังวลว่าข้าจะอยากเอาคืนใช่หรือไม่?”
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ!” สาวใช้ตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง นางไม่เข้าใจอารมณ์ของเหนียงเหนียงจริงๆ
แม้จะคอยตามปรนนิบัติมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่เหนียงเหนียงเป็นคนนิสัยรุนแรง ปกติก็มักจะลงโทษหรือด่ากราดอยู่เป็นประจำแต่เหตุใดวันนี้จึงอ่อนโยนขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้?
หรือที่กล่าวกันในการแสดงงิ้วจะเป็นความจริง ผู้ที่ผ่านความตายมาคราหนึ่งแล้วจะมีนิสัยเปลี่ยนไป?
“เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีเปิ่นกงย่อมตกรางวัลให้เจ้าเป็นธรรมดา ปิ่นปักผมไข่มุกในมือของเจ้าเป็นของที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้ยามที่เปิ่นกงเพิ่งเข้าวังหลวง แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้วแต่รูปแบบและลวดลายล้วนยอดเยี่ยมยิ่ง หากเจ้าชอบก็เอาไปใช้เถิด”
หมิ่นกุ้ยเฟยกล่าวและปีนกลับขึ้นเตียงอย่างระมัดระวัง
นางอยู่ในกระถางไฟนานถึงเพียงนั้นจนก้นล้วนไหม้ไปหมดจำต้องพักรักษาตัวให้ดี ไม่เช่นนั้นจะปรนนิบัติฮ่องเต้ได้อย่างไร?
“หม่อมฉันขอบพระทัยเหนียงเหนียงเป็นอย่างยิ่งเพคะ!”
สาวใช้เก็บปิ่นปักผมไข่มุกที่อยู่ในมือ นางจะไม่ชอบได้อย่างไร แม้นางจะเป็นเพียงสาวใช้แต่อยู่ข้างกายเหนียงเหนียงมานานหลายปี สิ่งใดล้ำค่าหรือสิ่งใดด้อยค่าย่อมต้องมองออกเป็นธรรมดา
แม้จะรู้ว่าในเรื่องนี้เหนียงเหนียงยังมีเรื่องจะขอให้นางไปจัดการ แต่ตราบใดที่สวมปิ่นปักผมไข่มุกอันนี้ออกไป ในภายภาคหน้ามิใช่ว่านางจะสามารถเดินอยู่ในวังหลวงอย่างวางอำนาจได้หรือ?
หาก หากสามารถได้รับความสนใจจากฮ่องเต้ด้วย เช่นนั้นนาง…
“เหนียงเหนียง ท่านดูเถิดเพคะ ฮ่องเต้เสด็จเพคะ”
เห็นเงาร่างสีทองสว่างไสวจากระยะไกล สาวใช้ก็กระโดดขึ้นมาอย่างดีใจยิ่ง
หมิ่นกุ้ยเฟยเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นมาแทบไม่ทัน แต่ยามที่นึกอันใดได้นางก็รีบนอนลงไปอีกครา “รีบเปิดแผลของเข้าเร็วเข้า และเอายาพวกนั้นออกมาให้หมด”
“เพคะ!”
สาวใช้มิกล้าทำลวกๆ รีบนำขวดยาออกมาเรียงโดยรอบอย่างรวดเร็ว ยามที่ฮ่องเต้เพิ่งก้าวเข้ามาในประตูห้อง นางก็รีบนั่งลงไปร้องไห้อยู่ข้างกายหมิ่นกุ้ยเฟยแล้ว
“เหนียงเหนียง ท่านว่าเหตุใดชีวิตท่านจึงลำบากถึงเพียงนี้เพคะ เพิ่งสูญเสียองค์ชายเจ็ดไปยังมาถูกคนรังแกเช่นนี้ เหนียงเหนียง หม่อมฉันรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนท่านจริงๆ เพคะ!”
สาวใช้ร้องไห้ไปก็แสร้งใส่ยาให้หมิ่นกุ้ยเฟยไปด้วย
หมิ่นกุ้ยเฟยได้ยินก็โกรธเกรี้ยว “สามหาว! เปิ่นกงยังเป็นสนมรักของฝ่าบาทอยู่ เจ้าจะมาพูดว่าชีวิตลำบากได้อย่างไร? องค์ชายสามผู้นั้นเพิ่งสูญเสียมารดาไปจึงข่มกลั้นโทสะไม่อยู่ไปชั่วครู่ เรื่องที่ลงมือกับข้าก็พอจะให้อภัยได้ ช่างเถิด เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ซักไซ้อีก แต่…โอ๊ย เจ้าเบามือหน่อย”
“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ หม่อมฉันจะระวังให้มากกว่านี้เพคะ”
ได้ยินเสียงร้องของหมิ่นกุ้ยเฟย สาวใช้ก็ตกใจรีบคุกเข่าขออภัยอย่างร้อนรน หางตาแสร้งเหลือบไปเห็นฮ่องเต้ก่อนนางจะรีบทำความเคารพ “หม่อมฉันขอถวายความเคารพฝ่าบาทเพคะ”
เมื่อได้ยินเสียง หมิ่นกุ้ยเฟยก็แสร้งทำเป็นเพิ่งรู้ว่าฮ่องเต้มาและรีบดิ้นรนหมายจะลุกขึ้นมา
ฮ่องเต้เห็นเช่นนี้ก็รีบเข้าไปห้ามนาง “ได้รับบาดเจ็บอยู่ นอนลงไปอย่าขยับ”บราวนี่ออนไลน์
แม้ใบหน้าของฮ่องเต้จะไม่ได้แสดงท่าทีห่วงใยมากนัก แต่หมิ่นกุ้ยเฟยรู้ว่าในเมื่อเขามาเขาก็ย่อมอภัยให้นางแล้ว “ฝ่าบาท ขอบพระทัยฝ่าบาทอย่างยิ่งเพคะที่มาเยี่ยมหม่อมฉัน พระวรกายของฝ่าบาทดีขึ้นแล้วหรือไม่เพคะ?”
ถูกบ่าวพยุงให้นั่งลงข้างเตียงก่อนจะพิจารณาบาดแผลบนร่างของหมิ่นกุ้ยเฟยอย่างละเอียด ฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้วแน่น “ไม่รู้ว่าระยะนี้ในวังหลวงมีอาเพศอันใดจึงได้เกิดเรื่องต่อเนื่องเช่นนี้! ร่างกายของเจิ้นดีขึ้นแล้ว แต่เจ้ากลับ…”
ฮ่องเต้ทอดถอนใจอย่างโศกเศร้า “สี่กงกง”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเอายาสมานแผลของเจิ้นมาให้หมิ่นกุ้ยเฟย”
ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ยามที่เห็นบาดแผลบนไหล่ของหมิ่นกุ้ยเฟยกลับยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น
หมิ่นกุ้ยเฟยเห็นเช่นนั้นก็ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ “ไม่ได้นะเพคะฝ่าบาท นั่นเป็นยาของฝ่าบาท หม่อมฉันจะกล้าได้อย่างไรเพคะ?”
“ล้วนเป็นยาทั้งนั้นจะมาของเจ้าหรือของข้าอันใด ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีของเจิ้น!” ฮ่องเต้โบกมือไล่สี่กงกง มองบาดแผลของนางอีกคราก็ลูบอย่างระมัดระวัง “เหิงเอ๋อร์มิได้ตั้งใจ ที่เจ้าเพิ่งพูดเมื่อครู่ถูกต้องแล้ว เขาเพิ่งสูญเสียมารดาไปทำให้ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ไปชั่วขณะจึงลงมือกับเจ้า แต่คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าเป็นความจริงหรือ เจ้าไม่โทษเขาจริงหรือ?”
หมิ่นกุ้ยเฟยรีบส่ายศีรษะ “หม่อมฉันก็เพิ่งสูญเสียคนที่รักไป แม้ผู้อื่นจะไม่เข้าใจแต่หม่อมฉันเข้าใจความเจ็บปวดขององค์ชายสามมากที่สุดเพคะ ฝ่าบาททรงวางพระทัยเถิดเพคะ หม่อมฉันไม่โทษองค์ชายสาม แน่นอนว่าขอฝ่าบาททรงอย่าโทษเขาด้วยเช่นกันเพคะ”
ได้ยินคำพูดนี้ฮ่องเต้ก็พยักหน้าอย่างพอใจ “เจ้าพูดไม่ผิด เขาเพิ่งสูญเสียมารดาทำให้จิตใจไม่มั่นคง แต่เจ้าได้รับบาดเจ็บเช่นนี้จะกี่มากน้อยเขาก็ต้องได้รับโทษจึงจะถูก ไม่เช่นนั้นจะอธิบายกับทั้งวังหลังได้อย่างไร ทั้งที่เหล่าสนมของเจิ้นยังใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน? ให้เขาพักอยู่ในคุกอีกสักสองสามวันเป็นการตักเตือนเสียหน่อยเถิด”
ฮ่องเต้เน้นคำว่า ‘ พัก’ ซึ่งหมายความว่าให้ดูแลอย่างดีมิให้คนลงโทษหรือทรมาน
หมิ่นกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นในใจก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก นางเกือบตายแต่กลับไม่ให้คนไปลงโทษ ถึงอย่างไรลูกก็สำคัญกว่าหรือ?
แต่น่าเสียดายที่ฮ่องเต้จะไม่มีทางรู้ว่าไท่จื่อต้องพบเจอสิ่งใดอยู่ในคุก และเรื่องทั้งหมดนี้นางย่อมไม่เป็นคนบอกออกไปเป็นแน่
“ฝ่าบาททรงมีเมตตา เชื่อว่าครั้งนี้หลังจากองค์ชายสามออกมาจะต้องระงับโทสะได้เป็นแน่ หม่อมฉัน…อื้อ”
หมิ่นกุ้ยเฟยอยากลุกขึ้นแต่กลับไม่ระวังจนกระทบกระเทือนบาดแผล
ได้ยินเสียงร้องของนาง ฮ่องเต้ก็รีบเข้ามา “บอกว่าให้เจ้าอย่าขยับ รีบนอนลงไปเร็ว!”
เห็นท่าทางเคร่งเครียดของฮ่องเต้ หมิ่นกุ้ยเฟยก็อิงข้างกายเขาอย่างยินดียิ่งและยืนกรานกอดแขนของเขาไม่ปล่อย “ฝ่าบาท ในใจฝ่าบาทยังเป็นห่วงหม่อมฉันใช่หรือไม่เพคะ? ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะที่ก่อนหน้านี้ทำเรื่องผิดพลาดไปมากมาย หลังจากรอดพ้นความตายในครั้งนี้มาได้ ไม่ว่าสิ่งใดหม่อมฉันก็คิดได้อย่างชัดเจนแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่ต้องการตำแหน่งหวางโฮ่วอันใดทั้งยังไม่ต้องการความโปรดปรานอันใด หม่อมฉันเพียงแค่อยากอยู่เคียงข้างฝ่าบาท ฝ่าบาททรงอภัยให้หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ?”
มือที่เดิมอยากดึงแขนของนางที่กอดอยู่ออก เมื่อได้ยินคำว่า ‘รอดพ้นจากความตาย’ คำนี้ทำให้ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว คิดดูแล้วหมิ่นกุ้ยเฟยก็นับว่าได้ชดใช้การกระทำของตนเองแล้ว
“ช่างเถิด คนก็ล้วนผ่านความตายมาแล้วคราหนึ่งจะถือสาอันใดให้มากความอีก! ในเมื่อเจ้ารู้ตัวแล้วก็นับเป็นเรื่องที่ดี หลังจากนี้ก็พักอยู่ที่ตำหนักของเจ้าเสีย เท่านี้เจิ้นก็พอใจแล้ว”
แม้คำพูดนี้จะมิได้แสดงท่าทีที่ดีอันใด แต่หมิ่นกุ้ยเฟยก็ฟังออกว่าฮ่องเต้อภัยให้นางแล้ว
สตรีที่เขารักมากที่สุดเมื่อห้าปีก่อนก็ตายไปแล้ว อี้กุ้ยเฟยเพิ่งจากโลกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ครานี้นางก็เพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ ฮ่องเต้เป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึก ต่อให้ครานั้นนางจะเคยทำผิดไปมากมายก็ยังให้อภัย เพราะคนข้างกายเขาเหลือเพียงนางคนเดียว
“ฮ่องเต้ ระยะนี้หม่อมฉันคิดถึงพระองค์มากเลยเพคะ…”
หมิ่นกุ้ยเฟยพิงอยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ นางกอดเอวฮ่องเต้แน่นโดยไม่สนใจความเจ็บปวดของบาดแผล วันนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ปล่อยฮ่องเต้ไป
ขอเพียงเขายังอยู่ พรุ่งนี้นางย่อมได้รับความโปรดปรานกลับมาอีกครา
“เอาเถิด วันนี้เจิ้นแค่รู้สึกว่าร่างกายไม่เลวจึงมาเยี่ยมเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่ได้เป็นอันใดมากเจิ้นก็วางใจ เจ้าน่าจะรู้ว่าข้างนอกยังมีคนมากมายต้องการเข้าเฝ้าเจิ้น เจ้าพักฟื้นให้ดีแล้วเจิ้นจะมาหาเจ้าอีกคราวันอื่น”
ตบแขนนางเพื่อสื่อให้นางปล่อยตน แม้ฮ่องเต้จะมิได้ขยับอีกแต่ดวงตาเฉียบแหลมทั้งสองข้างก็จ้องมองนางอยู่ตลอด
หมิ่นกุ้ยเฟยรู้ว่าหากไม่ปล่อยมือย่อมกลายเป็นนางไม่รู้จักวางตัวให้ดี นางต้องทำตัวเป็นสตรีว่าง่ายจึงจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ นางไม่มีถิงเอ๋อร์แล้วย่อมไม่อาจเสียทุกสิ่งตรงหน้าไปได้อีก
“เช่นนั้นฝ่าบาทโปรดรักษาพระวรกายด้วยเพคะ!” หมิ่นกุ้ยเฟยมองฮ่องเต้จากไป ก่อนที่มุมปากของนางจะยกขึ้นในมุมที่เขามองไม่เห็นด้วยความยินดีที่ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้
ยามที่สาวใช้นำยาสมานแผลกลับมาอีกคราก็เห็นว่าในห้องเหลือเพียงเหนียงเหนียงที่มีรอยยิ้มชั่วร้ายคนเดียว นางตัวสั่นเทาแต่ก็ยังเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม “เหนียงเหนียงเหตุใดฝ่าบาทจึงเสด็จไปแล้วหรือเพคะ?”
“ไปแล้วอย่างไร ฝ่าบาทมาที่นี่แล้วนับว่าให้ความสำคัญกับข้า ทั้งวังหลังย่อมรู้แล้วว่าข้ายังคงเป็นกุ้ยเฟยที่ฝ่าบาทโปรดปรานมากที่สุด! ยามนี้แม้ฝ่าบาทจะยังมิยกเลิกการกักตัวของข้า แต่ข้ากลับอยากเห็นนักว่าหลังจากนี้ที่วังหลังยังจะมีผู้ใดกล้าไม่เคารพข้า!”
หมิ่นกุ้ยเฟยเชิดคางอย่างจองหองด้วยท่าทีไม่รีบไม่ร้อน
ยามที่ฮ่องเต้ออกไปเมื่อครู่ นางได้ถามกับบ่าวรับใช้จนรู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ล้วนออกหน้าไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่กลับถูกฮ่องเต้ปฏิเสธ
ทว่าฮ่องเต้กลับมาหานางที่นี่!
หมายความว่าอย่างไรเล่า?
หมายความว่าในใจฮ่องเต้ยังมีนางอยู่ หมายความว่าเรื่องนี้เขาก็อยากลงโทษฉินอวี้เหิงอยู่บ้าง
เชื่อว่าอีกไม่ช้าข่าวลือย่อมแพร่กระจายไปทั่ววังหลังว่าฮ่องเต้เห็นนางสำคัญกว่าองค์ชาย หลังจากนี้นางจะต้องเป็นผู้ที่คุมวังหลังเป็นแน่
“ยินดีด้วยเพคะเหนียงเหนียง ขอแสดงความยินดีกับเหนียงเหนียงด้วยเพคะ ในเคราะห์ร้ายก็ยังมีเคราะห์ดีอยู่นะเพคะ!”
สาวใช้รีบเยินยอทั้งยังส่งยาสมานแผลที่ฮ่องเต้พระราชทานมาไปให้นาง
ของที่พระหมื่นปีพระราชทานต่อให้เป็นผ้าขาดๆ ก็ยังนับเป็นของดี
หมิ่นกุ้ยเฟยรีบเก็บมาราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
“เหนียงเหนียงเพคะ ยามที่หม่อมฉันออกไปข้างนอกบังเอิญได้ทราบข่าวบางอย่างมา ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียง…” สาวใช้กล่าวอย่างระมัดระวังด้วยเกรงว่าจะรบกวนอารมณ์อันดีของนาง
เห็นสาวใช้อ้ำอึ้งเช่นนี้หมิ่นกุ้ยเฟยก็ชะงักและรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา “เป็นพวกหลิงมู่เอ๋อร์พบอันใดหรือ?”
สาวใช้เห็นเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าตรงหน้านาง “เหนียงเหนียงโปรดระงับโทสะเพคะ โปรดระวังร่างกายด้วยเพคะ”
กล่าวจบนางก็มองไปข้างหลังอย่างระแวดระวัง ก่อนจะพุ่งตัวไปเบื้องหน้านาง “เหนียงเหนียงก็ทรงทราบว่าญาติผู้พี่ของหม่อมฉันผู้นั้นเป็นบ่าวชั้นผู้น้อยที่ทำงานอยู่ในวังซึ่งมักจะมีข่าวลือมากมายอยู่เสมอ และเมื่อครู่ญาติผู้พี่ก็ให้คนมาส่งข่าวว่าเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนเจิ้งเฟยขององค์ชายรองได้ตรวจร่างไร้วิญญาณของอี้กุ้ยเฟยอีกครา ดูเหมือนจะพบบางสิ่งแต่เพื่อปิดบังนางจึงจงใจให้หนานกงซื่อจื่อออกไปตรวจสอบนอกวังหลวง ยามที่ญาติผู้พี่เฝ้าประตูวังหลวงก็เห็นว่ายามที่หนานกงซื่อจื่อออกไปจากวังหลวงในอ้อมแขนโอบบางสิ่งไปด้วยเพคะ ดูเหมือน ดูเหมือนจะเป็นเสื้อผ้าของอี้กุ้ยเฟยเพคะ”
ได้ยินคำพูดนี้หัวใจของหมิ่นกุ้ยเฟยก็ราวกับถูกยกขึ้นมาในลำคอโดยพลัน “เสื้อผ้า? หรือเปิ่นกงยังทิ้งร่องรอยอันใดไว้อีก?”
นางยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น “แม้ชุดที่เปิ่นกงสวมในวันนั้นจะล้วนถูกเผาไปหมดแล้ว ต่อให้พวกเขาค้นพบอันใดก็ไม่อาจรู้ว่าเป็นข้า แต่ในเมื่อหนานกงอี้จือรนหาที่ตายเช่นนั้นพวกเราก็ย่อมต้องสงเคราะห์เขา!”
กล่าวจบนางก็มองสาวใช้ด้วยแววตาชั่วร้าย “ชุนซิ่งไปถามญาติผู้พี่ของเจ้าว่าอยากมารับใช้ข้างกายฝ่าบาทหรือไม่?”
ได้ยินคำพูดนี้สาวใช้ก็รีบคุกเข่าลงไปบนพื้น “เหนียงเหนียง ขอบพระทัยเหนียงเหนียงในความเมตตาเป็นอย่างยิ่งเพคะ!”
“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณข้า หากจัดการได้ดีย่อมเป็นผลดีแก่ตัวเขาเอง! แม้เปิ่นกงจะยังมิใช่หวางโฮ่วแต่คนที่สมควรตายก็ล้วนตายไปหมดแล้ว ตำแหน่งหวางโฮ่วจะยังมิใช่ของข้าอีกหรือ? การจะเสนอคนไปอยู่เบื้องหน้าฝ่าบาทก็ย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้โดยง่ายแล้ว”
ในแววตาของหมิ่นกุ้ยเฟยฉายแววชั่วร้าย “หนานกงอี้จือ เขามิใช่ว่าเต็มใจไปเป็นสุนัขรับใช้ของซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์หรือ? เช่นนั้นก็ทำให้เขากลายเป็นสุนัขที่พูดไม่ได้ตัวหนึ่งไปเสีย!”