เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 15 ตอนที่ 442 พลาดโอกาส
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 15 ตอนที่ 442 พลาดโอกาส
เล่มที่ 15 ตอนที่ 442 พลาดโอกาส
“องค์ชายรอง เมื่อครู่ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ปลดไท่จื่อออกจากตำแหน่ง และให้ท่านเข้าวังโดยทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
ยามที่บ่าวจากวังหลวงซึ่งรออยู่ในตำหนักนานแล้วเห็นรถม้าของซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมา เขาก็พุ่งออกมาจากประตูตำหนักโดยพลัน ไม่รอให้ทั้งสองคนลงจากรถม้า เสียงก็ดังเข้าไปผ่านม่านรถม้าแล้ว
“เจ้าพูดอันใด?”
หลิงมู่เอ๋อร์พุ่งออกมาจากรถม้าด้วยความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
บ่าวผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าผู้ที่ตอบกลับมาจะเป็นเจิ้งเฟยขององค์ชายรองจึงรีบร้อนทำความเคารพนาง ยามที่เงยหน้ากลับเห็นรองเท้าบุรุษสีดำคู่หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
“องค์ องค์ชายรอง?”
“เสด็จพ่อตอบรับฎีกาขององค์ชายหกจริงหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินมีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง
ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ฉินรั่วเฉินได้ยื่นเรื่องขอให้ปลดไท่จื่อออกจากตำแหน่งต่อหน้าเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ เสด็จพ่อหมดสติไปทันทีโดยที่มิได้ตอบอันใด
ช่วงนี้เขามิค่อยได้เข้าไปที่ราชสำนัก เมื่อวานได้ยินว่าอาการประชวรของเสด็จพ่อดีขึ้นแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าแค่คืนเดียว สถานการณ์ในราชสำนักจะเกิดความผันผวนครั้งใหญ่เช่นนี้
“ท่านไปเถอะ ข้าจะรอท่านอยู่ในบ้าน” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นหัวใจ
ตั้งแต่ที่นางตอบรับการเป็นเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง นางก็เตรียมตัวเผชิญหน้ากับงานรัดตัวของสามีแล้ว
“แต่ร่างกายเจ้าเล่า?” ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกไม่วางใจ หันกลับไปคิดจะบอกกับบ่าวผู้นั้นว่าจะเข้าวังช้าหน่อย
หลิงมู่เอ๋อร์กลับไม่ให้โอกาสเขา
“แม้ไท่จื่อจะเป็นพวกเดินทางสายกลาง แต่เบื้องหลังการถวายฎีกาของฉินรั่วเฉินยังมีการแต่งตั้งให้ท่านเป็นไท่จื่อด้วย ตำแหน่งนั้นแม้ท่านจะต้องการแต่ก็ไม่อาจได้รับมาด้วยวิธีเช่นนี้ เรื่องนี้ท่านจำต้องเข้าวังไปหารือกับฝ่าบาท ไม่เช่นนั้นตำหนักองค์ชายรองและตำหนักไท่จื่อจะยิ่งมีปัญหากัน!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไหนเลยจะไม่รู้เหตุผลนั้น?
หลังจากการถวายฎีกาในวันนั้นเขาก็ให้หนานกงอี้จือไปปลอบขวัญที่ตำหนักไท่จื่อแทนเขา ไท่จื่อฉลาดเฉลียวจึงร่วมมือกับหนานกงอี้จืออย่างดียิ่ง ทั้งสองคนทะเลาะกันใหญ่โตที่ตำหนักไท่จื่อจนมีข่าวลือว่าสถานการณ์ร้ายแรงยิ่ง อีกทั้งหนานกงอี้จือยังถูกคนขับไล่ออกมาด้วย
บ่ายวันนั้นเขาส่งสายลับเข้าไปตรวจสอบองค์ชายหก เป็นไปดังคาดคือฉินรั่วเฉินที่ได้ยินข่าวมีท่าทียินดีเป็นอย่างยิ่ง
หากหลิงมู่เอ๋อร์มิได้หมดสติไปอย่างกะทันหันถึงครึ่งเดือน เขาคงคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้ได้แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะยังมิอาจรอดพ้นจากแผนการของฉินรั่วเฉินได้
“ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด” ซั่งกวนเซ่าเฉินกอดนางจากทางด้านหลังแน่น ก่อนจะหมุนกายออกไปแต่หลังจากเดินไปได้หกจั้งก็ถอยกลับมา
“ข้าจะสั่งคนให้ไปส่งเจ้าที่จวนตระกูลหลิงก่อนดีหรือไม่?”
“ไม่ต้องหรอก”
หลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด
มิใช่ว่านางไม่คิดถึงครอบครัว เพียงแต่นางกลัวว่าหลังจากเจอท่านแม่แล้วจะอดไม่ได้จนพูดปัญหาในช่วงนี้ออกไป
ท่านพ่อกับท่านแม่ลำบากมาทั้งชีวิต อายุมากแล้วสมควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ควรทำให้พวกเขาต้องมามีเรื่องกังวลอีก
“ข้าไม่อยากไปที่ใดแล้ว อยากกลับไปรอท่านในบ้าน ท่านก็รีบกลับมาเล่า”
“ได้”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพลิกตัวขึ้นม้ามุ่งตรงไปทางวังหลวงทันที โดยที่ไม่สังเกตว่าในมุมฝั่งตรงข้ามมีเงาร่างที่กำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่แม้แต่น้อย
“คุณหนู ท่านหลับแล้วหรือเจ้าคะ?”
ในขณะที่สติยังไม่แจ่มชัดก็ราวกับได้ยินเสียงของซางจือ หลิงมู่เอ๋อร์สวมเสื้อคลุมก่อนจะลงจากเตียงไปเปิดประตู “เจ้ากลับมาได้อย่างไร? วันนี้ที่โรงหมอไม่ยุ่งหรือ?”
“เป็นองค์ชายรองสั่งให้ซางจือกลับมาเจ้าค่ะ บอกว่าคุณหนูร่างกายไม่สู้ดี” ซางจือรีบพยุงนางนั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะเทชาร้อนให้นาง “ร่างกายคุณตกลงแล้วเกิดอันใดขึ้น แม้แต่คุณหนูก็ล้วนตรวจสอบไม่ทราบเลยหรือเจ้าคะ?”
เห็นใบหน้าของซางจือเต็มไปด้วยความกังวล หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่คิดจะปิดบังนาง “ความจริงข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น อาการป่วยนี้เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แม้จะบอกว่าร่างกายข้าหาได้รู้สึกอันใดเป็นพิเศษทว่าก็มักจะรู้สึกง่วงอยู่บ่อยๆ”
“ง่วงบ่อยก็เป็นเรื่องปกติเจ้าค่ะ คนท้องไหนเลยจะไม่รู้สึกง่วงแต่หากคุณหนูเบื่อ ซางจือจะอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูเองเจ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน เจ้าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าหรอก”
“เช่นนั้นข้าจะเฝ้าคุณหนูอยู่นอกประตูนะเจ้าคะ หากคุณหนูมีคำสั่งอันใดก็เรียกข้าได้เลยเจ้าค่ะ” ซางจือเชื่อฟังและไม่กล้ารบกวนนาง ทั้งยังรู้นิสัยของคุณหนูดีจึงรีบกล่าวเสริม “คุณหนูโปรดอย่าได้รู้สึกเกรงใจเกินไปเลยเจ้าค่ะ นี่เป็นรับสั่งขององค์ชายรอง หากซางจือไม่อาจปฏิบัติให้ดีได้ หลังจากองค์ชายรองกลับมาจะต้องตำหนิซางจือเป็นแน่ ที่โรงหมอมีเจี้ยงเซียงอยู่ ท่านโปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ”
นางพูดมาถึงส่วนนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยืนหยัดต่อไปไม่ไหว จึงพยักหน้าก่อนจะกลับไปนอนลงบนเตียง
เป็นความจริงที่คนท้องช่วงสามเดือนแรกจะขี้เซาอยู่บ้าง แต่นางยืนยันได้ว่าอาการของนางหาได้เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์
หรือมิติในร่างของนางจะมีการเปลี่ยนแปลง?
เป็นไปไม่ได้ มิติของนางอยู่กับนางมาตลอดตั้งแต่ชีวิตก่อน แม้จะบอกว่าหลังเกิดใหม่มิติก็ยังเกิดใหม่ตามนางมา แต่ความรู้สึกอันแปลกประหลาดนี้ช่างน่ากลัวเกินไปจริงๆ
คนปกติผู้หนึ่ง เหตุใดหลังจากตั้งครรภ์แล้วชีพจรจึงหยุดเต้นอย่างกะทันหันได้เล่า?
คิดไปคิดมานางก็หลับไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ในฝันรู้สึกเพียงว่ามีขนของบางสิ่งมาถูจมูกนาง ปากของนาง…จนกระทั่งไล่ลงมา
“ซางจืออย่าวุ่นวาย” นางพลิกตัวคิดจะหลับต่อไปท่ามกลางความมืดมิด
แต่ซางจือที่เชื่อฟังมาโดยตลอด นางบอกว่าจะอยู่เฝ้าหน้าประตูไม่มีทางจะเข้ามารบกวนเป็นอันขาด ยิ่งไปกว่านั้นนางจะกล้ามาแกล้งตนเล่นเช่นนี้ได้อย่างไร?
หลิงมู่เอ๋อร์ลืมตาขึ้นมาโดยพลัน เบื้องหน้ามีหน้ากากน่าเกลียดปรากฏอยู่ตรงหน้าในระยะใกล้ นางตกใจจนเปิดปากกำลังจะกรีดร้อง
“ชู่ว อย่าส่งเสียง ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า!”
เสียงชั่วร้ายของอามู่เต๋อดังขึ้นมาข้างหู
หลิงมู่เอ๋อร์ออกแรงสะบัดศีรษะที่ถูกเขากดไว้ มองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่พบเงาร่างของซางจือ แต่กลับมีปลายรองเท้าอันคุ้นเคยปรากฏอยู่ที่หลังฉากกั้น
“เจ้าทำอันใดกับซางจือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์นั่งบนเตียง มองอามู่เต๋ออย่างระแวดระวัง เห็นท่าทีหยิ่งยโสและชั่วร้ายของเขา นางก็กัดฟัน “ช่างกล้าบุกเข้ามาในตำหนักขององค์ชายรอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเข้ามาได้ง่ายๆ แต่ไม่มีทางออกไปได้โดยง่าย!”
“อย่าเครียดนักเลย เมื่อครู่ข้าบอกแล้วว่าข้ามิได้มาเพื่อทำร้ายเจ้า!” วันนี้อามู่เต๋ออารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ยามที่พูดครึ่งหน้าที่มิได้สวมหน้ากากก็ปรากฏมุมปากที่ยกขึ้น
“คนของเจ้าแค่หมดสติไปชั่วครู่เท่านั้น เพราะไม่อาจให้นางได้ยินความลับที่ไม่ควรฟังได้ ข้าจึงทำได้เพียงเท่านี้ แต่หากเจ้าไม่รู้จักวางตัวให้ดี นางจะฟื้นขึ้นมาอย่างราบรื่นหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนแล้ว”
คำพูดนี้เต็มไปด้วยความคุกคาม เห็นได้ชัดยิ่งว่าซางจือถูกเขาวางยาพิษ
ดวงตาทั้งสองข้างของหลิงมู่เอ๋อร์เบิกกว้างแทบอยากจะปล่อยคมดาบออกไปจากในดวงทั้งสองข้าง
“ตกลงเจ้าคิดจะทำอันใด? ที่นี่คือตำหนักขององค์ชายรอง ข้างนอกมีการคุ้มกันแน่นหนามีผู้คุ้มกันมากมาย ขอเพียงข้าส่งสัญญาณลับออกไปเจ้าก็เลิกหวังว่าจะมีชีวิตรอดไปได้เลย ทางที่ดีเจ้าควรให้เหตุผลที่ไม่ควรฆ่าเจ้ามาเสีย!” หลิงมู่เอ๋อร์กัดฟันกล่าว
“เจ้าไม่อยากฆ่าข้าหรือ?” อามู่เต๋อยิ้มเยาะ “เกรงว่าในใจเจ้าคงแทบอยากจะรีบฆ่าข้าให้เร็วขึ้นอีกหน่อยมากกว่ากระมัง”
เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นโดยที่ไม่กลัวจะถูกคนข้างนอกได้ยินแม้แต่น้อย แต่ก็เป็นเพราะความจองหองของเขาทำให้หลิงมู่เอ๋อร์รับรู้ได้ เกรงว่าคนภายนอกที่อยู่ในระยะสามจั้งคงล้วนถูกยาพิษของเขาควบคุมไว้แล้ว
“ในเมื่อรู้เจ้าก็ยังจะมารนหาที่ตาย!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบ มือที่ซ่อนอยู่ในผ้าห่มก็หยิบผงยาออกมาจากมิติก่อนจะยกมือขึ้นและสาดออกไป
อามู่เต๋อคาดเดาการเคลื่อนไหวของนางไว้ก่อนแล้ว จึงหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย
หลิงมู่เอ๋อร์ฉวยโอกาสลงจากเตียง ถอดเสื้อคลุมที่สวมอยู่ออก เปิดปากหมายจะตะโกนสุดเสียง
“ข้าสามารถแก้ความสับสนในใจของเจ้าเรื่องชีพจรของเจ้าได้ แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่อยากฟัง?” น้ำเสียงของอามู่เต๋อไม่รีบไม่ร้อน แต่ก็เป็นการทำให้ความคิดทั้งหมดของนางยุ่งเหยิงขึ้นมา
“ที่แท้เจ้าก็มาเพราะเรื่องนี้หรือ?”
คิ้วของหลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งขมวดมากขึ้น ไอสังหารจากก้นบึ้งในดวงตาของนางที่ส่งไปถึงอามู่เต๋อยิ่งเข้มข้นมากขึ้น
“อามู่เต๋อ เจ้ายั่วโทสะข้าอยู่หลายครั้งหลายครา เจ้าน่าจะรู้ว่าความอดทนของข้ามีขีดจำกัด วันนี้จงส่งชีวิตเจ้ามาเสีย!”
นางไม่คิดจะฟังแผนอื่นของชายผู้นี้อีก ตั้งท่าทางเตรียมเข้าไปต่อสู้ในระยะใกล้เรียบร้อย นางก็สาวเท้าพุ่งเข้าไป
“หากข้าเดาไม่ผิด อาการป่วยช่วงนี้ของเจ้าคงมีความเกี่ยวข้องกับสมบัติลับภายในร่างกายของเจ้า หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่อยากรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด?”
อามู่เต๋อหลบเลี่ยงโดยมิได้โจมตี แต่เป็นเพราะคำพูดเดียวนี้ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์หยุดมือ
“เจ้ารู้อันใด?”
“รู้ไม่มาก แต่บังเอิญว่ามีประโยชน์กับเจ้า”
เขายิ้มด้วยรอยยิ้มกลับกลอกแต่กลับพยายามแสดงออกมาว่าเขาจริงใจยิ่ง
“แคว้นซีอวี้ของพวกเรามีตำราโบราณอยู่เล่มหนึ่งที่บันทึกปรากฏการณ์แปลกประหลาดในโลกไว้มากมาย บังเอิญว่าครั้นข้ายังเยาว์วัยเคยอ่านอยู่หลายครา หากข้าจำไม่ผิด อาการเช่นนี้ของเจ้าก็มีปรากฏอยู่ในตำราเล่มนั้นเช่นกัน”
“จริงหรือ?” หลิงมู่เอ๋อรยอมรับว่านางรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง
แต่ไม่นานก็ตั้งสติได้ อาการของนางมีสาเหตุมาจากมิติ ไม่เช่นนั้นวันนั้นนางย่อมไม่มีทางฝันว่าวิ่งไปถึงมิติของซั่งกวนเซ่าเฉิน
ต่อให้อามู่เต๋อจะเก่งกาจก็ไม่มีทางคาดเดาได้ว่าสมบัติในร่างของนางจะเป็นมิติที่ลี้ลับเช่นนี้ เช่นนั้นเขาย่อมจงใจวางหลุมพรางนางเป็นแน่!
“เจ้าไม่รู้อันใดเลย แล้วรู้ได้อย่างไรว่าอาการของข้าเหมือนกับที่เจ้าเคยอ่านมา? อามู่เต๋อ ตลอดมาเจ้าอยากพาข้าไปที่แคว้นซีอวี้ เจ้าก็แค่อยากยึดเอาสมบัติของข้าไปเท่านั้น เจ้าคิดว่าข้าจะไปกับเจ้าหรือ?”
“เจ้าต้องไปแน่!”
อามู่เต๋อก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว หาเก้าอี้มานั่งทั้งยังรินชาให้ตัวเองอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
หลังจากชาร้อนไหลลงกระเพาะ เขาก็ราวกับรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่งก่อนจะไหวไหล่ทั้งสองข้าง หลังจากนั้นมุมปากทั้งสองข้างของเขาก็โค้งขึ้น “ยังไม่ฟังข้าพูดจนจบแล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ข้าพูดมันไม่จริง?”
เขาเลิกคิ้วพลางกล่าวต่อ “ตำราโบราณเล่มนั้นกล่าวไว้ว่าชีพจรของผู้ที่มีความผิดปกติย่อมมีร่างกายที่ไม่ปกติ หลิงมู่เอ๋อร์ ร่างกายของเจ้าไม่เหมือนกับคนทั่วไป ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่? แม้ข้าจะไม่รู้ว่าสมบัติของเจ้าคือสิ่งใดก็ตาม ข้ายอมรับว่าข้าอยากได้มันมาก เช่นนั้นพวกเรามาทำให้มันง่ายดีหรือไม่ ข้าจะบอกว่าต้องรักษาอาการของเจ้าอย่างไร หลังจากเจ้ารักษาหายดีแล้วจะต้องมอบสมบัติให้ข้า”
“รักษาให้หายดีก่อนค่อยพูดเถอะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเยาะก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเขา
“เจ้าไม่กลัวว่าหลังรักษาหายดีแล้ว ข้าจะฆ่าเจ้าหรือ?”
“หากเจ้ามีความสามารถก็เชิญลงมือกับข้าได้ทุกเมื่อ บอกตามตรงข้ายังสงสัยมากกว่าด้วยซ้ำกว่าเจ้าจะใช้วิธีใดฆ่าข้า!”
คำพูดอันหยิ่งยโสที่ถูกเขาพูดออกมานี้ทำให้มุมปากของหลิงมู่เอ๋อร์กระตุกด้วยความโกรธ
“ในตำรากล่าวว่าหากต้องการรักษาชีพจรที่ผิดปกติ ขอเพียงใช้ดอกไม้ประจำแคว้นของแคว้นซีอวี้ก็พอ เจ้าควรรู้ว่าดอกไม้ประจำแคว้นของแคว้นซีอวี้มีเพียงที่วังหลวงของแคว้นซีอวี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจำนวนไม่มากและจะบานทุกๆ สิบปี บังเอิญว่าอีกสองเดือนจะครบรอบสิบปี เอาเช่นนี้เถอะ เปิ่นหวางจื่อจะให้คนมาส่งจดหมายเชิญให้เจ้าในภายหลัง เพื่อเชิญเจ้าไปแคว้นวีอวี้เป็นอย่างไร?”
อามู่เต๋อมีท่าทีจริงใจราวกับเชิญเพื่อนสนิทของเขา
“เจ้าคิดว่าเจ้าพูดมาไม่กี่ประโยคแล้วข้าจะเชื่อเจ้าหรือ?”
ดอกไม้ประจำแคว้น? ดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? สามารถบำรุงชีพจรของคนได้ด้วยหรือ?
ในเมื่อยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น เหตุใดเขาจึงไม่ใช้รักษาหน้าตาอัปลักษณ์ของเขาให้หายดีเล่า?
“เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า ถึงอย่างไรข้าก็ถ่ายทอดความจริงใจให้เจ้าแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้ามีวิธีตรวจสอบว่าคำพูดนี้เป็นความจริงหรือความเท็จ หลิงมู่เอ๋อร์ ข้าจะรอเจ้า”
อามู่เต๋อวางถ้วยชาลง แทบจะในชั่วพริบตาเดียวที่เท้าของเขามีเสียงของสายลมก่อนจะไปถึงที่หน้าประตูแล้ว
เขาหันหลังให้หลิงมู่เอ๋อร์ขณะที่โยนขวดยาสีดำขวดหนึ่งมา หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ต้องเปิดดูแค่วางไว้ใต้จมูกและดมกลิ่นก็รู้ว่าคงเป็นยาถอนพิษอย่างไม่ต้องสงสัย
“ได้ยินว่ายามที่เจ้าหมดสติไปล้วนตรวจชีพจรไม่พบ นี่หาใช่อาการปกติ แม้เจ้าจะมีเวลาสองเดือนให้สามารถครุ่นคิดได้ แต่เมื่อครู่ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้ที่บานเพียงสิบปีครั้ง ครั้งหนึ่งจะบานแค่วันเดียวเท่านั้น”
กล่าวจบเขาก็หายไปจากตรงหน้า เวลาราวกับผ่านไปนานแต่ยังคงได้ยินเสียงแผ่วเบาของเขาดังขึ้นมา “หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าใคร่ครวญให้ดีเถอะ โอกาสหายากเช่นนี้อย่าได้พลาดโอกาสจะดีกว่า”