เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 388 สิบวัน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 388 สิบวัน
เล่มที่ 13 ตอนที่ 388 สิบวัน
“ท่านแม่กลายเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวตั้งแต่เมื่อใด ทำเอาข้าไม่รู้ว่าควรพูดอันใดเลย!”
หนานกงอี้จือที่ถูกมารดาพุ่งเข้ามากอดอย่างกะทันหัน รู้สึกไม่คุ้นชินเป็นอย่างยิ่งจริงๆ แต่เขาก็รู้สึกได้โดยพลันว่าอ้อมกอดนี้ช่างอบอุ่นยิ่ง
“เจ้าเด็กหน้าเหม็น!” ได้ยินคำพูดดื้อรั้นของเขา ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็ปล่อยมือแต่กลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์จนต้องกอดเขากลับมาอีกครา “ในใจแม่ล้วนนับว่าพวกเจ้าเป็นลูก ทุกคนต่างสำคัญมากที่สุด แต่แม่เชื่อว่าเจ้ารู้ว่าเซ่าเฉิงไม่มีมารดา ดังนั้นข้าจึงต้องแบ่งความสนใจให้เขามากเสียหน่อย แต่ก็ใช่ว่าข้าจะมองข้ามเจ้าเข้าใจหรือไม่?”
แม้แม่ของเขาจะพูดเช่นนี้กับเขาตั้งแต่เด็กจนหูชาไปหมด แต่เขาก็นึกถึงยามที่เพิ่งถูกญาติผู้พี่ช่วยเหลือกลับมาจากเมืองผิงเฉิง ญาติผู้พี่เคยบอกว่าท่านแม่เป็นห่วงเขามากจริงๆ
หนานกงอี้จือตัดสินใจที่จะไม่พูดมากอีก “ลูกเข้าใจขอรับ เป็นลูกที่ทำให้ท่านแม่เป็นห่วง แต่ยามนี้ไม่ใช่ว่าลูกมายืนอยู่ตรงหน้าท่านแล้วหรือขอรับ?”
“เจ้าเด็กหน้าเหม็นนี่ยังจะกล้าพูดเช่นนี้อีก เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามที่ได้ข่าวว่าเจ้าหายตัวไปแม่ตกใจแทบตาย หากเกิดเรื่องร้ายอันใดขึ้นกับเจ้า เจ้าจะให้แม่ใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร?”
ท่านแม่ที่แต่ไหนแต่ไรล้วนมีท่าทีผ่าเผยอยู่เสมอไหนเลยจะเคยพูดจาเช่นนี้
เห็นความรู้สึกผิดและโทษตัวเองในแววตาของนาง หนานกงอี้จือก็กอดมารดาไว้ในอ้อมกอดแน่นเป็นครั้งแรก “ท่านแม่ ลูกรับปากท่านว่าหลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นขอรับรองว่าจะปลอดภัยกลับมาขอรับ แต่ยามนี้ข้ายังต้องเข้าวังไปจัดการเรื่องของญาติผู้พี่ก่อน ท่านว่าถูกต้องหรือไม่ขอรับ?”
นางเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลลงมา ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวตีไปที่ไหล่ของเขา “สมกับที่เป็นลูกข้า ถูกต้อง เซ่าเฉินกำลังตกอยู่ในอันตราย ยามนี้เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือการทำให้เรื่องราวทั้งหมดกระจ่าง พวกเราก็จะสามารถคิดหนทางแก้ปัญหาได้แล้ว ไปเถอะ คนขององค์ชายเจ็ดต้องไปเฝ้าอยู่นอกประตูเมืองแล้วเป็นแน่ แต่แม่จัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อนเถอะ”
หลังจากหนานกงอี้จือออกไป หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบอธิบายเรื่องทั้งหมดที่พวกเขาตรวจสอบองค์ชายเจ็ดให้ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวฟัง
เป็นไปดังคาดฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวนั้นโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง “สารเลว! ฉินเสียนถิงเขา คิดไม่ถึงว่าฉินเสียนถิงเขาจะทำเรื่องเนรคุณเช่นนี้! เขาแอบชุบเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวไว้เขาต้องการจะทำอันใด ต้องการจะก่อกบฏหรือ? เห็นได้ชัดว่าเขาขวัญกล้าเทียมฟ้าแต่กลับมาใส่ความเซ่าเฉินของพวกเรา ข้า ข้าจะเข้าวังไปทูลเรื่องทั้งหมดแก่ฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”
เห็นแม่บุญธรรมโกรธจนก้าวเดินหมายจะออกไป ถึงขั้นที่ถือมีดปังตอไว้ด้วยท่าทางอยากจะไปสับฉินเสียนถิง หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบขวางนางไว้ “แม่บุญธรรมโปรดระงับโทสะก่อนเจ้าค่ะ หนานกงอี้จือก็เข้าวังหลวงไปแล้วเพื่ออธิบายสถานการณ์อย่างละเอียดให้ฝ่าบาททรงทราบ ท่านช่วยข้าคิดหาวิธีว่าจะช่วยเซ่าเฉินออกมาจากในคุกคุมขังนักโทษประหารจะดีกว่ากระมังเจ้าคะ”
“ใช่ใช่ใช่ การช่วยเซ่าเฉินออกมาก่อนเป็นเรื่องสำคัญ” ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวสงบจิตใจลง แต่เพียงไม่นานนางก็รู้สึกสับสนขึ้นมา “แต่ มู่เอ๋อร์เจ้าอาจจะไม่รู้ คุกคุมขังนักโทษประหารหาใช่คุกธรรมดา หากเข้าไปแล้วจะต้องได้รับโทษประหารอย่างไม่ต้องสงสัย ตามหลักแล้วเซ่าเฉินไม่น่าจะถูกจับไปคุมขังที่นั่น”
เห็นแม่บุญธรรมสับสนเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็คาดเดาอย่างกล้าหาญ “ท่านแม่บุญธรรม หรือฉินเสียนถิงจะปลอมแปลงราชโองการเจ้าคะ?”
ได้ยินคำพูดนี้ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็รีบปิดปากของของหลิงมู่เอ๋อร์เอาไว้แน่น “เด็กโง่ คำพูดเช่นนี้ไม่อาจพูดจาส่งเดชได้”
“ข้าหาได้พูดจาส่งเดชนะเจ้าคะ วันนี้ข้ากับหนานกงอี้จือเห็นกับตาที่ประตูเมืองหลวง ว่าคนผู้นั้นนำราชโองการมาคุมตัวเซ่าเฉินไปคุมขังที่คุกคุมขังนักโทษ แม้ข้าจะไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของราชวงศ์ ทว่าองค์ชายที่ทำผิดแต่ยังไม่ได้ทำการพิจารณาคดีเหตุใดจึงถูกจับไปขังไว้ในคุกนักโทษประหารเล่าเจ้าคะ? ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเซ่าเฉินจะกี่มากน้อยข้าก็พอรู้อยู่เจ้าค่ะ ตามที่ข้าเข้าใจฝ่าบาทพระองค์ย่อมไม่ทำเช่นนี้แน่เจ้าค่ะ ท่านแม่บุญธรรม ช่วงนี้ในเมืองหลวงมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ?”
ได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์ซักไซ้ ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็หวนคิดอย่างละเอียด “หลังจากพวกเจ้าออกจากเมืองหลวงทุกอย่างที่นี่ก็ล้วนสงบสุขเกินไป ไม่มีเรื่องรุนแรงอันใดเกิดขึ้นยกเว้นเมื่อครึ่งเดือนก่อน ที่จู่ๆ ฉินเสียนถิงเหมือนจะเข้าวังหลวงไปพูดสิ่งใดกับฝ่าบาท วันรุ่งขึ้นจึงมีคนนำราชโองการออกมา เรื่องนี้พวกเราก็เพิ่งรู้หลังจากผ่านไปหลายวัน ทั้งยังเป็นเพราะฝ่าบาททรงประชวรข่าวจึงเพิ่งแพร่กระจายออกมา”
คิดมาถึงตรงนี้ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็เดือดดาลขึ้นมา “เจ้าเด็กสมควรตายฉินเสียนถิง เขาวางแผนก่อกบฏก็แล้วไปเถอะยังจะมาโยนความผิดให้ผู้อื่นอีก หากข้าหาหลักฐานเจอจะทำให้เขาไม่ได้ตายดีแน่!”
รู้นิสัยของแม่บุญธรรมดีว่าไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปเด็ดขาด หลิงมู่เอ๋อร์ก็สงบใจครุ่นคิดอย่างสงบ
ใช่แล้ว ฝ่าบาท
“เมื่อครู่แม่บุญธรรมบอกว่าฝ่าบาททรงประชวรหรือเจ้าคะ?”
“ถูกต้อง ได้ข่าวว่าเป็นเพราะเรื่องที่เซ่าเฉินจะก่อกบฏทำให้ฝ่าบาททรงกระอักเลือดออกมาคราหนึ่ง หลังจากนั้นก็ทรงล้มป่วย หลายวันมานี้หมิ่นกุ้ยเฟยก็คอยดูแลอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด” พูดไปพูดมาแม่บุญธรรมก็ราวกับคาดเดาสิ่งใดได้ “หรือหมิ่นกุ้ยเฟยที่คอยอยู่ข้างกายจะคอยเป่าหูทำให้ฝ่าบาทสับสนจนลงโทษประหารเซ่าเฉิน?”
ได้ยินคำพูดนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็ขนลุกขึ้นมาทั่วทั้งร่าง ในใจรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีโดนพลัน
“เจตนาขององค์ชายเจ็ดไม่บริสุทธิ์ เกรงว่าเรื่องนี้คงขาดการสนับสนุนจากหมิ่นกุ้ยเฟยไปไม่ได้ ตำแหน่งหวางโฮ่วว่างมาตลอดหมิ่นกุ้ยเฟยจะไม่หมายตาได้อย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว ทันใดนั้นก็มีบ่าวรับรีบร้อนเข้ามารายงาน
“ฮูหยิน นอกประตูมีชายสองคนมาขอเข้าพบขอรับ”
ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวแปลกใจ “ชายสองคนนั้นบอกว่าเป็นผู้ใด?”
“หนึ่งในนั้นมีนามว่ามั่วชิงขอรับ” บ่าวรับใช้ตอบกลับ
หลิงมู่เอ๋อร์รีบกระโดดขึ้นมาโดยพลัน “รีบให้เขาเข้ามา!”
บ่าวรับใช้มองไปทางฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวอย่างไม่มั่นใจ หลังจากได้รับการพยักหน้าอนุญาตจากฮูหยิน บ่าวรับใช้ก็ไปจัดการทันที
เพียงไม่นานก็เห็นมั่วชิงพาข้าหลวงท้องถิ่นหลิ่วฉางอวี้ก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ข้าน้อย/กระหม่อมขอคารวะฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหว ขอถวายความเคารพเจิ้งเฟยขององค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสองคนประสานมือทำความเคารพ
“ลุกขึ้นเถอะ” ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวรีบให้ทั้งสองคนลุกขึ้น แต่นางล้วนไม่รู้จักคนแปลกหน้าทั้งสอง “เหตุใดพวกเจ้าทั้งสองคนจึงมาที่นี่?”
“เรียนฮูหยิน ข้าน้อยเป็นองครักษ์ข้างกายของซื่อจื่อ ตามคำสั่งของซื่อจื่อจึงได้พาตัวหลิ่วฉางอวี้ผู้เป็นข้าหลวงท้องถิ่นของเมืองผิงเฉิงกลับมาที่เมืองหลวงขอรับ แต่ข้าน้อยเพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายรอง อีกทั้งยังไร้หนทางติดต่อกับซื่อจื่อจึงทำได้เพียงมาที่จวนหนิงกั๋วโหวขอรับ” มั่วชิงรายงานหลังจากนั้นก็มองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ “เจิ้งเฟยขององค์ชายรอง กระหม่อมพาข้าหลวงท้องถิ่นของเมืองผิงเฉิงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าก็ยังไม่รู้สถานการณ์อย่างละเอียดเช่นกัน แต่ในเมื่อใต้เท้าข้าหลวงมาแล้วเช่นนั้นเรื่องราวก็ย่อมจัดการได้ง่ายขึ้นมาก” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวก่อนจะดันหลิ่วฉางอวี้ไปเบื้องหน้าฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหว “ท่านแม่บุญธรรม นี่คือใต้เท้าข้าหลวงท้องถิ่นของเมืองผิงเฉิงที่ข้าเพิ่งบอกท่านไปเมื่อครู่เจ้าค่ะ ยามนี้ในมือของพวกเรามีสมุดบัญชีของฉินเสียนถิงแล้ว ทั้งยังมีคำให้การของใต้เท้าข้าหลวงท้องถิ่น เชื่อว่าหลังจากฝ่าบาทได้ทราบเรื่องทั้งหมดจะต้องปล่อยเซ่าเฉินแน่นอนเจ้าค่ะ”
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์มั่นใจเช่นนี้ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็รู้สึกว่าค่อนข้างมีเหตุผลอยู่หลายส่วน “แม้นี่จะเป็นหลักฐานที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่อย่างน้อยจะต้องสามารถพาเจ้าเด็กหน้าเหม็นเฉินเอ๋อร์ออกมาจากคุกคุมขังนักโทษประหารได้แน่ เช่นนี้หลังจากอี้จือกลับมาหากไม่ได้ผลลัพธ์อันใด ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตัวเอง”
มีฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวเป็นหลักประกัน แม้ฉินเสียนถิงจะส่งคนมาเฝ้าจับตาดูอยู่รอบเมืองหลวงก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอันใด
“ขอบคุณท่านแม่บุญธรรมเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ!” หลิงมู่เอ๋อร์รีบกล่าวขอบคุณ
แม่บุญธรรมจัดห้องไว้ให้ทั้งมั่วชิงและหลิ่วฉางอวี้ ก่อนที่ทุกคนจะรอคอยหนานกงอี้จือกลับมาอย่างสงบ
ภายในห้องหลิงมู่เอ๋อร์กำลังรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าเดินทางจากเมืองหรงเฉิงไปเมืองผิงเฉิง จากนั้นจึงเดินทางจากเมืองผิงเฉิงกลับมาที่เมืองหลวง ว่ากันตามหลักแล้วน่าจะมาถึงช้ากว่าพวกข้าสองวัน เหตุใดขึงไล่ตามมาเร็วเช่นนี้?”
มั่วชิงราวกับคิดไว้ก่อนแล้วว่านางจะถามเช่นนี้ เขาใช้สายตาชี้ไปทางหลิ่วฉางอวี้ “เรื่องนี้โชคดีที่มีใต้เท้าข้าหลวงพ่ะย่ะค่ะ หลังจากใต้เท้าข้าหลวงได้ยินข่าวว่าเกิดเรื่องกับองค์ชายรองก็ให้ความร่วมมือกับพวกเราอย่างดียิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังคิดเพียงว่าหากสามารถมาถึงเมืองหลวงได้ก่อนกำหนดก็จะสามารถช่วยเหลือองค์ชายรองได้เร็วขึ้น จึงได้ใช้ถนนเส้นเล็กเร่งรุดกลับมา ยังดีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินคำพูดเช่นนี้สายตาของหลิงมู่เอ๋อร์ก็มองพิจารณาหลิ่วฉางอวี้ใหม่อีกครา ชายผู้นี้แม้จะอายุเกินสี่สิบปีและผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่ดูแล้วมีความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่เหมือนผู้ที่มีความคิดร้ายอันใด แต่ติดต่อกับเขาที่เมืองผิงเฉิงไม่กี่วันไม่น่าจะทำให้คนผู้นี้จงรักภักดีต่อพวกเขาได้มากถึงเพียงนี้
หรือนางจะคิดมากเกินไป?
“มู่เอ๋อร์ขอบคุณใต้เท้าข้าหลวงเป็นอย่างยิ่ง”
เห็นนางนอบน้อมหลิ่วฉางอวี้ก็รู้สึกว่าได้รับความสำคัญอย่างคาดไม่ถึง “เจิ้งเฟยขององค์ชายรองโปรดอย่าทรงทำเช่นนี้ต่อกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของกระหม่อม พระองค์ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ามาถึงเมืองหลวงแล้วเป็นธรรมดาที่ข้าจะไม่อาจเกรงใจเจ้าได้ หากทางด้านหนานกงอี้จือไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาด ถึงยามนั้นข้าคงต้องพาเจ้าเข้าวังหลวงไปกราบทูลต่อหน้าฝ่าบาท ขอเพียงเจ้ากล่าวความจริงต่อฝ่าบาทเหมือนที่พูดความจริงกับพวกเราในเมืองผิงเฉิงก็พอ”
หลิ่วฉางอวี้พยักหน้า “เจิ้งเฟยขององค์ชายรองโปรดวางใจกระหม่อมจะบอกทุกอย่างที่รู้อย่างไม่ปิดบังแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบเขาก็ก้มศีรษะอย่างนอบน้อม แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดความจนปัญญาที่ฉายผ่านหางตาของเขาหลังจากก้มศีรษะ
เมื่อฟ้ามืดในที่สุดหนานกงอี้จือก็กลับมาจากวังหลวง
เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหดหู่ผิดหวังหม่นหมองจนคอตกยามที่ปรากฏตัว หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้ได้ว่าเขาคงล้มเหลว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าเด็กหน้าเหม็นเจ้าพูดมา!” ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวกังวลเป็นอย่างยิ่งจนใช้กำปั้นตีไปบนหัวของเขาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“ท่านแม่! ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่านแม่นะขอรับ!” หนานกงอี้จือถูกทำให้ตกใจจนสะดุ้ง แต่เมื่อเห็นมั่วชิงกับหลิ่วฉางอวี้ บนใบหน้าของเขาก็ฉายแววสงสัย “เหตุใดพวกเจ้าสองคนจึงกลับมาเร็วถึงเพียงนี้?”
แต่ไม่รอให้ทั้งสองคนตอบเขาก็รีบเปิดปากพูด “เรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่ข้าคิดไว้มาก มู่เอ๋อร์หลังจากเจ้าได้ยินเรื่องนี้อย่าได้หุนหันเกินไปเล่า”
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า หนานกงอี้จือก็กล่าวต่อ “ช่วงเช้าวันนี้ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแต่กลับไม่ได้พบฝ่าบาท มีเพียงคนมาบอกว่าฝ่าบาททรงประชวรจึงไม่ให้ผู้ใดเข้าเฝ้า เมื่อหมดหนทางข้าก็ทำได้เพียงรวมกลุ่มกับเหล่าขุนนางคุกเข่าอยู่หน้าประตูตำหนักหย่างซินอยู่สองชั่วยามเต็มๆ จนกระทั่งช่วงบ่ายฝ่าบาทจึงเพิ่งยอมให้ข้าเข้าเฝ้า”
กล่าวจบหนานกงอี้จือก็ทอดถอนใจ “แต่ฝ่าบาททรงประชวรหนัก ไม่ว่าข้าจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้ญาติผู้พี่อย่างไรฝ่าบาทก็ไม่ทรงเชื่อ ทว่าฝ่าบาททรงให้เวลาพวกเราสิบวัน หากสามารถหาหลักฐานพิสูจน์ว่าคนพวกนั้นหาใช่คนของญาติผู้พี่ได้ก็จะปล่อยญาติผู้พี่ แต่หากทำไม่ได้…”
หนานกงอี้จือส่ายศีรษะทำท่าทางปาดคอ
หลิงมู่เอ๋อร์ระเบิดโทสะโดยพลัน “ช่างน่ารังเกียจนัก! ฉินเสียนถิง ต้องเป็นฉินเสียนถิงแน่ที่รวมหัวกับหมิ่นกุ้ยเฟยเป่าหูฝ่าบาท ข้าจะเข้าวังหลวงไปอธิบายกับฝ่าบาทให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้”
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์มีท่าทีหุนหันพลันแล่น หนานกงอี้จือก็รีบใช้สายตาส่งสัญญาณให้มั่วชิง ให้เขาขวางหลิงมู่เอ๋อร์ไว้
“มู่เอ๋อร์ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้หุนหันพลันแล่น ฝ่าบาทให้เวลาพวกเราสิบวัน เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าในระยะเวลาสิบวันนี้อย่างน้อยญาติผู้พี่ก็จะยังไม่เป็นอันใด หากเจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทอีกครั้งในยามนี้อาจไม่เหลือแม้แต่เวลาสิบวันนี้ก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเป็นห่วงครอบครัวของเจ้าก่อนเถอะ…”