เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 387 คุกคุมขังนักโทษประหาร
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 387 คุกคุมขังนักโทษประหาร
เล่มที่ 13 ตอนที่ 387 คุกคุมขังนักโทษประหาร
ห้าวันต่อมาทุกคนก็เร่งรุดกลับมาที่เมืองหลวง
เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าพวกเขาเร็วพอที่จะสามารถกลับไปถึงเมืองหลวงก่อนซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิวซีได้ และจะสามารถตรวจสอบสถานการณ์ของเมืองหลวงในปัจจุบันล่วงหน้าได้ แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากพวกเขาเพิ่งเข้าเมืองหลวง พวกซั่งกวนเซ่าเฉินก็ตามเข้าเมืองหลวงมาด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้นางยิ่งแปลกใจก็คือซั่งกวนเซ่าเฉินที่เดิมทีเพียงแค่สวมโซ่เหล็ก กลับถูกขังอยู่ในรถส่งตัวนักโทษ
“เกิดอันใดขึ้น?” หลิงมู่เอ๋อร์ที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดตกใจอย่างถึงที่สุด นางก้าวไปข้างหน้าหมายจะพุ่งเข้าไปถามให้ชัดเจน หนานกงอี้จือราวกับเข้าใจบางสิ่งจึงรีบดึงนางไว้
“มู่เอ๋อร์รอเดี๋ยว เจ้าดูทางด้านนั้นก่อน” หนานกงอี้จือชี้ไปยังทิศทางตรงข้าม ก็เห็นเพียงมีคนสามคนที่กำลังขี่ม้าอยู่โดยในมือถือราชโองการเอาไว้ ราวกับมารออยู่ก่อนนานแล้ว
“น่าจะเป็นคำตัดสินของญาติผู้พี่ พวกเรารอดูก่อนเถอะ”
หนานกงอี้จือกล่าวจบก็มองคนผู้นั้นที่อยู่บนหลังม้า ซึ่งกำลังเปิดราชโองการในมือ “ด้วยโองการจากสวรรค์ ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา องค์ชายรองซั่งกวนเซ่าเฉินแอบลักลอบชุบเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวจึงสงสัยว่ามีเจตนาก่อกบฏ ถ่ายทอดคำสั่งให้นำตัวองค์ชายรองรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับตำหนักองค์ชายรองไปขังที่คุกของนักโทษประหาร หลังสอบปากคำให้ทำการตัดสินโทษประหาร จบราชโองการ!”
อ่านราชโองการจบชายที่ขี่ม้ามาผู้นั้นก็เดินไปหาหลิวซี ก่อนจะส่งราชโองการในมือให้เขาและตะโกนว่า “เอาตัวไป!”
หลิวซีดูเหมือนจะตกใจเป็นอย่างยิ่งกับคำตัดสินเช่นนี้ เขามองชายผู้นั้นอย่างตกตะลึง หลังจากเห็นเพียงชายผู้นั้นส่ายศีรษะให้เขาเล็กน้อย เขาก็ไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงใช้มือส่งสัญญาณให้คนข้างหลัง และซั่งกวนเซ่าเฉินที่นั่งอยู่ในรถนักโทษก็ถูกพาตัวไปอีกทางหนึ่ง
จากระยะไกล หลิงมู่เอ๋อร์มองเรื่องทั้งหมดผ่านสายตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางดิ้นรนจนหลุดพ้นจากหนานกงอี้จือและกำลังจะออกไป
“มู่เอ๋อร์เจ้าจะทำอันใด!” หนานกงอี้จือตกใจยิ่ง แต่ยังดีที่มือไวพอจึงจับหลิงมู่เอ๋อร์ให้อยู่ที่เดิมได้อีกครา
“ท่านไม่เห็นหรือ พวกเขาต้องการพาเซ่าเฉินไปขังที่คุกนักโทษประหาร!” หลิงมู่เอ๋อร์คลุ้มคลั่ง
นางไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของราชวงศ์ นางรู้เพียงว่าสามีของนางถูกจับไปขังไว้ในคุกที่ขังนักโทษประหาร คุกขังนักโทษประหารคือที่ใด เขาจะตายหรือ?
เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!
“ในเมื่อเจ้าก็ได้ยินแล้วเช่นนั้นก็ยิ่งไม่อาจออกไปได้ นักโทษที่ถูกขังในคุกนักโทษประหารย่อมทำให้ครอบครัวต้องมาพัวพันด้วย ราชโองการเมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินแล้ว เกรงว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับตำหนักองค์ชายรองทั้งหมดคงล้วนถูกพาไปขังแล้ว ไปเถอะ ไปที่ปลอดภัยกับข้าก่อน!”
ไม่สนใจการต่อต้านของหลิงมู่เอ๋อร์ หนานกงอี้จือบังคับพาหลิงมู่เอ๋อร์ไป แม้ว่าฝ่ายหลังจะยังทุ่มเทดิ้นรนขัดขืนก็ตาม
“ข้าไม่ไป ข้าต้องไปถามให้ชัดเจนว่าตกลงมันเกิดเรื่องอันใดขึ้น!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวคัดค้าน
“ผู้ที่มาถ่ายทอดคำสั่งก็ล้วนต้องเชื่อฟังและทำตาม เจ้าไปถามก็ไม่มีประโยชน์ ยามนี้วิธีเดียวที่จะสามารถช่วยญาติผู้พี่ได้คือการไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนว่าหลายวันมานี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่เมืองหลวง และฉินเสียนถิงที่อยู่เบื้องหลังได้ทำสิ่งใดลงไป! มิใช่หรือมู่เอ๋อร์?” หนานกงอี้จือกดเสียงต่ำอย่างกังวลว่าผู้ที่มาถ่ายทอดราชโองการจะเห็นหลิงมู่เอ๋อร์และจับตัวนางไป เขารีบหลบโดยที่พานางเลี้ยวเข้าไปในตรอก
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ก็เพิ่งจะสงบใจลงได้ แต่นางก็ยังคงเป็นห่วงความปลอดภัยของซั่งกวนเซ่าเฉิน “เหตุใดจึงถูกนำตัวไปขังที่คุกของนักโทษประหารเล่า มิใช่บอกว่าอย่างมากก็อยู่ระดับคุกหลวงหรือ? เซ่าเฉินจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”
เห็นความเคร่งเครียดของหลิงมู่เอ๋อร์ หนานกงอี้จือก็สูดหายใจเข้าลึก “ไหนเลยข้าจะไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของญาติผู้พี่ เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจะต้องมีเงื่อนงำบางอย่างเป็นแน่ เจ้ากลับไปที่จวนหนิงกั๋วโหวกับข้าก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวพวกเราก็ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้แล้ว เจ้าวางใจเถอะญาติผู้พี่จะไม่เป็นอันใด”
เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตา หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่มีทางเลือกทำให้เพียงกลับไปจวนหนิงกั๋วโหวกับเขา
นอกคุกของนักโทษประหาร
ชายที่มารับหน้าที่ต่อก่อนหน้านี้มองไปทางหลิวซี “แม่ทัพใหญ่ส่งองค์ชายรองให้ข้าก็พอ ผู้ที่เข้าไปในคุกนักโทษประหารย่อมไม่ได้ออกมาอีกตลอดชีวิต แต่ข้าได้ยินว่าได้ยินว่าองค์ชายรองเดินทางไปเมืองผิงเฉิงครานี้ ได้พาเจิ้งเฟยขององค์ชายรองไปด้วย ไม่ทราบว่ายามนี้เจิ้งเฟยขององค์ชายรองอยู่ที่ใดหรือ?”
เมื่อได้ยินคำว่าเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เดิมทีอยู่อย่างนิ่งสงบมาตลอดก็ราวกับตื่นตัวขึ้นมาโดยพลัน เขายืนอยู่หน้ากรงขังอย่างตึงเครียด “เรื่องนี้เปิ่นหวางจื่อไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่เกี่ยวอันใดกับสนมรักของข้า ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ!”
ทุกคนในราชสำนักต่างรู้ความสามารถและนิสัยขององค์ชายรอง หากเขาโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเกรงว่ากรงขังย่อมไม่อาจขังเขาไว้ได้
ชายผู้นั้นชะงักไปก่อนจะยกมุมปาก “องค์ชายรองโปรดระงับโทสะ พวกกระหม่อมเพียงแค่ทำตามรับสั่ง อย่างไรก็ขอให้องค์ชายรองอย่าได้โทษพวกกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนฝ่าบาทจะให้ท่านเข้าเฝ้าหรือไม่ ท่านโปรดรออยู่ที่นี่อย่างสงบเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ด้วยเกรงว่าองค์ชายรองจะโกรธเกรี้ยวจนนำพาหายนะมาให้พวกเขา ชายผู้นั้นจึงรีบพาหลิวซีออกจากคุกคุมขังนักโทษประหาร
ข้างนอกประตู เขาถามคำถามเมื่อครู่ซ้ำๆ ไม่หยุดด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “เจิ้งเฟยขององค์ชายรองเล่า อย่าบอกเชียวว่าเจ้าไม่รู้”
หลังจากหลิวซีเหลือบมองข้างหลังก็มองมาทางคนผู้นี้ที่อยู่เบื้องหน้าอีกครา เขาคือหวังอีไห่ผู้เป็นเซ่าชิงคนใหม่ที่ถูกแต่งตั้งให้อยู่ในกองกำลังบัญชาการขององค์ชายเจ็ด ก่อนหน้านี้คนผู้นี้เคยอยู่ในค่ายทหารเดียวกันกับเขาซึ่งเป็นพวกมีนิสัยคางคกขึ้นวอ
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขารู้สึกว่าเรื่องนี้องค์ชายรองไม่มีความผิด ด้วยบุญคุณที่จวนหนิงกั๋วโหวมีต่อเขา เขาย่อมไม่อาจทรยศเจิ้งเฟยขององค์ชายรองได้
“คราแรกราชโองการของฝ่าบาทมีรับสั่งเพียงแค่ให้ข้าไปพาตัวองค์ชายรองกลับมา โดยมิได้เกี่ยวข้องกับเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง ใครจะรู้ว่าหลังจากมาถึงเมืองหลวงแล้วแม้แต่เจิ้งเฟยขององค์ชายรองก็มีส่วนเกี่ยวพันด้วย ขออภัยข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจิ้งเฟยขององค์ชายรองไปที่ใดแล้ว”
กล่าวจบหลิวซีก็ยกกำปั้นขึ้นมาประสานมือก่อนจะสะบัดแขนเสื้อจากไป
“เพ้ย ข้ากำลังพูดกับเจ้า…” หวังอีไห่โกรธเกรี้ยวกับท่าทีหยิ่งผยองของเขา แต่คำพูดของเขายังไม่ทันจบหลิวซีก็ออกจากคุกคุมขังนักโทษประหารไปแล้ว เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเกรี้ยว “เหอะ”
ณ ตำหนักองค์ชายเจ็ด
หวังอีไห่มาหาฉินเสียนถิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมขอถวายความเคารพเหยียพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากได้รับการพยักหน้าจากองค์ชายเจ็ดเป็นสัญญาณ เขาก็รีบลุกขึ้นพุ่งเข้ามาราวกับสุนัขรับใช้ “เหยีย ตามรับสั่งของท่านได้นำตัวองค์ชายรองไปขังไว้ที่คุกของนักโทษประหารแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านเห็นว่าควรจัดการอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“นี่หวังอีไห่ เจ้าอยากจะกินสิ่งใดย่อมทำได้แต่ไม่อาจจะมาพูดจาส่งเดชได้ เจ้าได้รับคำสั่งของเสด็จพ่อให้นำราชโองการไปจับกุมตัวเสด็จพี่รอง เหตุใดจึงกลายเป็นคำสั่งของข้าได้เล่า?” องค์ชายเจ็ดเหลือบมอง สายตาโหดเหี้ยมที่พุ่งเข้ามาโดยพลันทำให้หวังอีไห่ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที
“ใช่ๆๆ เมื่อครู่กระหม่อมพลั้งปากไป พลั้งปากไปพ่ะย่ะค่ะ” กลัวว่าองค์ชายเจ็ดจะสั่งลงโทษเขา หวังอีไห่จึงรีบพยักหน้าแสดงความขอโทษ “เหยียโปรดวางใจพ่ะย่ะค่ะ ตราบใดที่คนเข้าไปในคุกคุมขังนักโทษประหาร ทั้งชีวิตก็ไม่อาจออกมาได้อีกพ่ะย่ะค่ะ ต้องการลงโทษคนผู้นั้นอย่างไรในคุกมิใช่ว่าขึ้นอยู่กับคำพูดเดียวของเหยียหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ได้ยินคำตอบเช่นนี้ มุมปากของฉินเสียนถิงก็ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะปิดบังได้ขึ้นมา
“แม้จะพูดเช่นนี้แต่คนผู้นั้นถึงอย่างไรก็เป็นเสด็จพี่รองของข้า เสด็จพ่อหาใช่ว่าให้ความสำคัญกับเขามาแค่วันสองวัน ไม่ช้าก็เร็วเขาย่อมได้ออกมา แต่ตราบใดที่เขาเข้าไปแล้วก็อย่าได้คิดจะออกมาอย่างปลอดภัยเลย!”
แววตาของฉินเสียนถิงมีแสงวาบผ่าน ยามที่มองหวังอีไห่อีกคราเขาก็กวักมือด้วยท่าทางไม่ยี่หระเป็นสัญญาณให้เข้ามาใกล้ๆ
หวังอีไห่รีบพุ่งเข้ามาราวกับพวกชอบเลียแข้งเลียขา “เหยียมีรับสั่งอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เปิ่นหวางจื่อได้ยินข่าวลือมาว่าเครื่องมือทรมานนักโทษในคุกนักโทษประหารไม่ธรรมดา เสด็จพี่รองมีฐานะสูงศักดิ์ มิใช่ว่าต้องให้เขาได้ลองทั้งหมดหรือ?”
ได้ยินคำพูดนี้หวังอีไห่ก็ชะงักไป แต่เพียงไม่นานก็ยิ้มพลางพยักหน้าตอบรับ “ตามที่เหยียกล่าวพ่ะย่ะค่ะ เรื่องลองแน่นอนว่าต้องลองพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…”
หวังอีไห่ชะงักไปแต่เขาเห็นสายตาไม่สบอารมณ์ขององค์ชายเจ็ดหลังได้ยินคำพูดนี้ได้อย่างชัดเจน เขาจึงรีบเปิดปากกล่าว “เพียงแต่ครั้งนี้หลิวซีพาองค์ชายรองกลับมาเมืองหลวงโดยที่มิได้พาเจิ้งเฟยขององค์ชายรองกลับมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าคนของกระหม่อมจะไปจับคนที่ตำหนักขององค์ชายรองแล้วแต่เกรงว่า…”
“เหอะ! หลิงมู่เอ๋อร์สตรีผู้นี้ช่างกลับกลอกและมากเล่ห์นัก แต่ยามนี้ดูท่าแล้วก็ยังกลัวตายอยู่เหมือนกัน” เมื่อรู้ว่าจับหลิงมู่เอ๋อร์มาไม่ได้องค์ชายเจ็ดก็ไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง “เดิมทีข้าคิดว่าหากซั่งกวนเซ่าเฉินถูกจับ นางที่ลุ่มหลงเขาจะต้องตามมาด้วยเป็นแน่ ยามนี้ดูแล้วนางก็เป็นเพียงเท่านี้เอง!”
หมัดทุบลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรง แต่เพียงไม่นานเขาก็เข้าใจบางอย่าง “ไม่ถูก ซั่งกวนเซ่าเฉินถูกจับตัวมา หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ นางย่อมต้องคิดหาทุกวิธีเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับเขาแน่ หวังอีไห่?”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งคนไปจับตาดูตำหนักขององค์ชายรองรวมถึงทั้งในนอกเมืองหลวงไว้ หากพบเจิ้งเฟยขององค์ชายรองให้จับตัวมาทันที!”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง!”
เห็นหวังอีไห่กำลังจะออกไป ฉินเสียนถิงก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน “รอเดี๋ยว”
“ไม่ทราบว่าเหยียทรงมีรับสั่งอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หวังอีไห่รีบถอยกลับมาประจบสอพลอ
“หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง นางจะต้องคาดเดาได้เป็นแน่ว่าข้าจะจับตามองทั้งในและนอกเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีจวนหนิงกั๋วโหวคอยหนุนหลัง การจะหลบซ่อนตัวย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่มีเพียงวิธีเดียวที่จะสามารถหลอกล่อให้นางออกมาได้สำเร็จ”
เขายิ้มอย่างชั่วร้าย “เจ้านำทหารไปล้อมจวนตระกูลหลิงทันที และจับตัวทุกคนในจวนตระกูลหลิงมาให้ข้า!”
“จวนตระกูลหลิงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หวังอีไห่ไม่เข้าใจความคิดขององค์ชายเจ็ด แต่เขาก็รู้ว่าจวนตระกูลหลิงหาได้มีความผิด “เหยีย ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้จับกุมคนของตำหนักองค์ชายรอง แต่จวนตระกูลหลิง…”
“สารเลว! เปิ่นหวางจื่อให้เจ้าไปก็ไปเสีย นี่เจ้าจะขัดคำสั่งของข้าหรือ?” ฉินเสียนถิงเดือดดาล
หวังอีไห่รีบคุกเข่าลงบนพื้น “กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
เห็นท่าทีระแวดระวังโดยที่ตัวสั่นเทิ้มของเขา ฉินเสียนถิงก็ตระหนักได้ว่าเขาอาจจะโกรธเกรี้ยวมากเกินไป จึงรีบหายใจเข้าลึกและสงบจิตใจลง “เจ้าวางใจเถอะ ข้าให้เจ้าไปจับกุมตัวคนในจวนตระกูลหลิงเพียงแค่เพื่อหลอกล่อหลิงมู่เอ๋อร์ออกมา หาใช่ว่าให้เจ้าไปทำร้ายพวกเขา! เจ้าแค่ต้องไปทำตามคำสั่งของข้า แน่นอนว่าหากเจ้ากลัวก็ให้คนไปล้อมจวนตระกูลหลิงเสีย และปล่อยข่าวลือออกไปขอเพียงสามารถล่อให้หลิงมู่เอ๋อร์ออกมาได้ก็พอ”
ได้ยินว่าไม่ต้องทำร้ายผู้บริสุทธิ์จนกระทบกับตำแหน่งของเขา หวังอีไห่ก็รีบตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงอี้จือเพิ่งพาหลิงมู่เอ๋อร์กลับมาถึงจวนหนิงกั๋วโหว ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็พุ่งออกมาแล้ว
นางจับตัวหลิงมู่เอ๋อร์ไว้อย่างเคร่งเครียด “มู่เอ๋อร์ ข้าล้วนได้ยินมาหมดแล้วเจ้าไม่ต้องกังวลเกินไป ครอบครัวเจ้าข้าให้คนไปคุ้มกันอยู่ก่อนแล้วจะไม่เป็นอันใดแน่นอน ส่วนเจ้าเด็กหน้าเหม็นเซ่าเฉินข้าก็คิดหาวิธีไว้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไปเข้าใจหรือไม่?”
คาดไม่ถึงว่าเพิ่งเข้าประตูมาก็จะได้รับความห่วงใยเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์โผเข้าไปในอ้อมกอดของฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหว “ท่านแม่บุญธรรม”
“เด็กโง่อย่าร้อง ข้ารู้ว่าในใจเจ้าร้อนรนกว่าผู้ใด แต่ไหนเลยพวกเราจะไม่ร้อนใจเล่า?” ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวกล่าว “เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะจัดการเพื่อให้อี้จือเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อนเพื่ออธิบายสถานการณ์อีกครา! ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้จับกุมตัวเซ่าเฉินอย่างกะทันหัน พวกเราเองก็เพิ่งรู้เรื่องวันนี้ เรื่องทั้งหมดนี้กะทันหันเกินไปแม่บุญธรรมล้วนไม่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเกิดอันใดขึ้น เจ้ามาอธิบายให้ข้าฟังเสียหน่อยเถอะ”
เห็นแม่บุญธรรมจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบหยักหน้า ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง “ขอบคุณแม่บุญธรรมเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
“เด็กโง่ กับแม่บุญธรรมจะมาเกรงใจอันใด” หลังจากปลอบใจหลิงมู่เอ๋อร์ ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็เพิ่งเดินมาข้างกายหนานกงอี้จือ นึกถึงก่อนหน้านี้ที่ซั่งกวนเซ่าเฉินบอกว่าไม่ได้ยินข่าวคราวของเด็กคนนี้เลยเกรงว่าชีวิตคงตกอยู่ในอันตราย มองดูเขาที่อยู่ตรงหน้าตนในยามนี้อีกครา ความคิดถึงทั้งหมดของผู้เป็นมารดาก็ปะทุออกมาทันที แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้กอดเขาอย่างจริงจังมากนัก นี่เป็นครั้งแรกที่นางกอดลูกชายตัวเองไว้ในอ้อมกอดแน่น
“กลับมาก็ดี ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว เด็กโง่ยกโทษให้แม่ด้วยที่มักจะเอาลูกตัวเองไว้ท้ายสุดเสมอ เจ้าเข้าใจแม่ใช่หรือไม่?”