เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 13 ตอนที่ 370 สอบสวน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 13 ตอนที่ 370 สอบสวน
เล่มที่ 13 ตอนที่ 370 สอบสวน
หลิงมู่เอ๋อร์แค่นเสียงเย็นชา “แน่นอนว่าเป็นเพราะการกระทำอันชั่วช้าของพวกเจ้า แต่สิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องโหดเหี้ยมไร้คุณธรรมที่เมืองผิงเฉิงเกือบทั้งหมดล้วนเป็นพวกเจ้าลงมือทำ”
“ไม่ใช่ พวกเจ้าใส่ความพวกเราหอวีรบุรุษ” ชายผู้นั้นกล่าว “ข้ายอมรับว่าแรกเริ่มหอวีรบุรุษของพวกเราชั่วช้าก็จริง แต่หลังจากที่ได้รับการเตือนสติจากท่านผู้นำหอ พวกเราก็ไม่กล้าข่มเหงชาวบ้านอีก ถึงขั้นที่ยามนี้ข่าวลือทั้งหมดข้างนอกนั้นล้วนเป็นเรื่องโกหก อีกทั้งยังมีคนบางส่วนที่แสร้งปลอมเป็นคนของพวกเราหอวีรบุรุษด้วย”
ไม่ว่าคำพูดนี้ของเขาจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินที่ได้ยินกับหูแล้ว ก็ยิ่งสงสัยเกี่ยวกับผู้นำของหอวีรบุรุษเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้นำหอวีรบุรุษของพวกเจ้าคือผู้ใดกัน?” ซั่งกวนเซ่าเฉินถามเสียงเย็น
ชายผู้นั้นกลับมีท่าทีลำบากใจ “เรื่องนี้…ขอกล่าวตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ความจริงข้าก็ไม่เคยเห็นท่านผู้นำหอเช่นกัน”
“ไม่บอกใช่หรือไม่ ดูท่าขาข้างนี้เจ้าคงไม่ต้องการแล้วเช่นกันกระมัง” พูดจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยกกริชขึ้นอีกครา
ชายผู้นั้นกลับตกใจกลัวจนฉี่ราด “ไว้ชีวิต แม่นางโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น”
เห็นท่าทีหลับตาแน่นอย่างกลัวตายของเขา พวกเขาก็คาดว่าเขาคงไม่กล้าพูดโกหก
“หอวีรบุรุษของพวกเจ้าก่อตั้งมาห้าปีแล้ว และเมื่อครู่เจ้าก็เพิ่งบอกว่าเจ้าเป็นคนสนิทที่ผู้นำหอเชื่อใจมากที่สุด แต่เจ้ากลับไม่เคยเห็นผู้นำหอหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์เหน็บแนม
“ใช่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านผู้นำหอสวมหน้ากากอยู่ทุกวัน ความจริงท่านผู้นำหอมาที่หอวีรบุรุษน้อยครั้งมาก หากมีเรื่องอันใดก็ล้วนให้หัวหน้าหน่วยย่อยจัดการทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นช่วงหนึ่งปีมานี้ท่านผู้นำหอยังไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้ง พวกเราก็ล้วนสงสัยว่าบางครั้งคำสั่งของหัวหน้าหน่วยย่อยเป็นความจริงหรือคำลวงกันแน่”
ได้ยินคำพูดของชายผู้นี้ซั่งกวนเซ่าเฉินก็วิเคราะห์อยู่ในใจ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังหอวีรบุรุษคือน้องเจ็ดของเขาฉินเสียนถิง เพราะหนึ่งปีมานี้อีกฝ่ายอยู่ที่เมืองหลวงมาโดยตลอดไม่มีทางออกมาได้
“เช่นนั้นพวกเจ้าเป็นคนของหอวีรบุรุษเช่นไรกัน ไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยสักครั้งเลยหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่ล้มเลิก
“บอกตามตรงว่าข้าไม่รู้จริงๆ เมื่อครู่ที่ข้าเพิ่งบอกไปว่าข้าเป็นคนสนิทที่ท่านผู้นำหอไว้วางใจมากที่สุดล้วนเป็นเรื่องที่โกหกพวกเจ้า อย่าว่าแต่โฉมหน้าที่แท้จริงของท่านผู้นำหอเลย ข้ายังไม่เคยเห็นท่านผู้นำหอเลยสักครั้ง ข้าเป็นแค่ลิ่วล้อผู้หนึ่งข้างกายหัวหน้าหน่วยย่อยเท่านั้น”
ได้ยินคำพูดเช่นนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ สิ่งที่เรียกว่าปลาหมอตายเพราะปากเป็นเช่นนี้เอง
“ข้าขอถามเจ้าว่าที่เมืองผิงเฉิงยังมีที่หลบซ่อนตัวของพวกเจ้าอีกกี่มากน้อย? วันนี้เมื่อเช้าที่ประตูเมืองผิงเฉิงพวกเราไล่ตามคนของพวกเจ้าไป เหตุใดจู่ๆ คนของพวกเจ้าก็หายไปได้?”
ชายผู้นั้นไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่วันนี้ แต่ได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์พูดเช่นนี้เขาก็คาดเดาอันใดได้ “ถูกต้อง ที่เมืองผิงเฉิงพวกเรามีเครือข่ายอยู่ทุกหนแห่งมากมายที่ประตูเมือง ตลาด หลังภูเขา และข้างวัดล้วนมีหน่วยย่อยของพวกเรา ไม่เช่นนั้นจะรองรับคนของหอวีรบุรษของพวกเรามีมากมายถึงเพียงนี้ได้หรือ! วันนี้ช่วงเช้าตรู่น่าจะเป็นคนของพวกเราพบว่าพวกเจ้ากำลังตามร่องรอยไปอยู่ จึงวิ่งไปซ่อนตัวในหน่วยย่อยที่ใกล้ที่สุด ดังนั้นพวกเจ้าจึงรู้สึกราวกับว่าหายตัวไปอย่างกะทันหัน”
ได้ยินคำอธิบายเช่นนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
“สิ่งที่พวกเจ้าอยากรู้ข้าก็ล้วนพูดไปหมดแล้ว ยามนี้เจ้าจะปล่อยข้าไปได้แล้วหรือไม่?” ชายผู้นั้นกล่าว แต่เพราะความเจ็บปวดที่ขาซ้ายทำให้สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นซีดเผือดทั่วทั้งร่างก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“ต่อให้ข้าปล่อยเจ้าไป เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะหนีไปได้ไกลนัก? เป็นดั่งที่เจ้าพูดว่าบริเวณใกล้เคียงกับเมืองผิงเฉิงล้วนมีคนของหอวีรบุรุษของพวกเจ้าอยู่ ข่าวที่เจ้าถูกจับตัวไปย่อมแพร่กระจายออกไปแล้วเป็นแน่ เจ้าไม่กลัวว่าหากผู้นำหอของพวกเจ้ารู้เข้า ว่าเจ้าตกอยู่ในกำมือของพวกเราแล้วหลังกลับไปเจ้าจะถูกฆ่าตายหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มอย่างหยิ่งทะนง
“ไม่มีทาง ท่านผู้นำหอเป็นผู้มีคุณธรรมลึกล้ำ เอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างดียิ่ง ทั้งยังไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์” ชายผู้นั้นอธิบายออกมาก่อนโดยพลัน
ดูท่าผู้นำหอผู้นี้จะมีชื่อเสียงที่ดียิ่งในกลุ่มหอวีรบุรุษ
“พวกเจ้าหอวีรบุรุษนอกจากทำตัวโหดเหี้ยมไร้คุณธรรมยังทำเรื่องอันใดอีกบ้าง อย่างเช่นการแอบเลี้ยงดูปลูกฝังผู้ใด?” ซั่งกวนเซ่าเฉินถามหยั่งเชิง
แต่คำพูดนี้ทำให้ชายผู้นั้นกล่าวออกมา “พวกเรา เมื่อก่อนพวกเราทำการออกปล้นสะดมชาวบ้าน แต่เมื่อสองปีก่อนหลังจากที่ผู้นำหอห้ามไม่ให้กระทำความชั่วช้าอีก ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้นมานานแล้ว และหากพูดถึงหอวีรบุรุษก็กลับกลายเป็นเพียงแค่ชื่ออันว่างเปล่าไปแล้ว แต่ได้ยินมาว่าอำนาจของหอวีรบุรุษแผ่ขยายออกไปรอบเมืองหลายแห่ง ทว่าแท้จริงแล้วท่านผู้นำหอต้องการจะทำอันใดพวกเราที่เป็นเพียงลิ่วล้อไม่มีคุณสมบัติที่จะรู้ได้”
ได้ยินเช่นนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินก็คาดเดาไว้ในใจได้พอประมาณแล้ว เหตุผลที่ฉินเสียนถิงแผ่ขยายอำนาจของหอวีรบุรุษและแอบเลี้ยงดูกำลังทหาร…ก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับทางกองทัพ
“บอกข้ามาว่าคนที่เฝ้าหนานกงอี้จือมีอยู่กี่คน?”
ชายผู้นั้นกะพริบตา “หนึ่งร้อย ไม่สิ วันนี้เขาหลบหนีออกมาเป็นครั้งแรกการคุ้มกันย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว อย่างน้อยก็สองร้อยคน”
“ขอบใจมากที่เตือน!” เพิ่งสิ้นคำพูดของชายผู้นั้น เมื่อได้รับสายตาที่ส่งสัญญาณมาของซั่งกวนเซ่าเฉิน หลิงมู่เอ๋อร์ก็ใช้เข็มเงินเล่มหนึ่งแทงเข้าไปที่จุดฝังเข็มของเขา เห็นเพียงชายผู้นั้นดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลงก่อนจะสลบไป
“ฮูหยินเขาตายแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” มั่วชิงรู้สึกสงสัย
“ก่อนที่จะช่วยชีวิตหนานกงอี้จือได้ เขาจะยังตายไม่ได้” หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ มองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินอีกครานางถาม “รู้แล้วว่าสถานที่ที่ใช้ซ่อนตัวหนานกงอี้จืออยู่ที่ใด ท่านคิดว่าควรทำอย่างไรดี?”
“เหยียโปรดภัยให้กระหม่อมที่กล่าวให้มากความด้วยพ่ะย่ะค่ะ” มั่วชิงเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินมิได้พูดอันใดจึงเริ่มเปิดปากกล่าว “เมื่อครู่คนผู้นี้บอกไว้แล้วว่าคนของหอวีรบุรุษมีเยอะมากทีเดียว อีกทั้งคนของพวกเราก็พลีชีพทั้งหมดไปในสงครามใหญ่เมื่อครู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้มีเพียงพวกเราสามคน แม้จะเรียกคนของที่ว่าการมาด้วยก็ยังมีไม่ถึงร้อยคน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังไม่มีอาวุธจะไปช่วยหนานกงซื่อจื่ออกมาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
จำต้องยอมรับว่าคำเตือนนี้ของมั่วชิงนั้นถูกต้อง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็สับสนอยู่บ้าง “ไม่ผิด เปิ่นหวางจื่อก็ครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อยู่เช่นกัน แต่เมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้วว่าต่อให้จะเป็นถ้ำพยัคฆ์บึงมังกร ตราบใดที่มีความหวังที่จะช่วยหนานกงอี้จือได้ข้าก็ต้องพุ่งเข้าชน”
“พวกท่านไม่ต้องกังวลเรื่องอาวุธและกำลังคน” ทันใดนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ก็กล่าวขึ้นมาอย่างมั่นใจ มือทั้งสองข้างไพล่หลังไว้เดินไปข้างหน้าทั้งสองคนด้วยสีหน้าหยิ่งยโส “เรื่องอาวุธให้ข้าจัดการเอง ส่วนเรื่องกำลังคน…” นางมองมั่วชิงอย่างมีเลศนัย
“เจ้าไม่ได้บอกแล้วหรือว่าคนของหอวีรบุรุษแม้จะมีมากแต่ก็หาใช่ว่าทุกคนจะล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา? ในเมื่อมีคนที่ไม่มีความสามารถมาปะปนอยู่ด้วย เช่นนั้นพวกเราก็แค่ต้องทำให้จำนวนคนสูสีกับพวกเขาเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินและมั่วชิงไม่เข้าใจความนัยในคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ จึงใช้สายตามองนางเป็นสัญญาณให้นางพูดต่อ
“หอวีรบุรุษทำเรื่องชั่วช้าไร้คุณธรรมมาหลายปี ในใจของเหล่าประชาชนมีความเจ็บปวดและความเกลียดชังประทับอยู่ เหล่าประชาชนแทบทนไม่ไหวที่จะได้กวาดล้างพวกเขาให้สิ้นมานานแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เสนอรางวัลเพื่อรับสมัครคนก็สิ้นเรื่อง”
หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน “แต่ละคนจะได้รับหนึ่งร้อยตำลึง พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำอันใดเพียงแค่ต้องถืออาวุธตามหลังคนของข้าหลวงไปก็พอ เมืองผิงเฉิงเป็นเขตปกครองขององค์ชายเจ็ดจำนวนคนของที่ว่าการในเมืองของข้าหลวงย่อมไม่น้อย ขอเพียงพวกเขานำทัพให้ประชาชนทั่วไปปะปนเข้ามาด้วย ตราบใดที่สามารถสร้างความวุ่นวายให้หอวีรบุรุษได้ พวกเราก็จะฉวยโอกาสเข้าไปช่วยหนานกงอี้จือได้อย่างง่ายดายมิใช่หรือ?”
จำต้องยอมรับว่านี่เป็นความคิดที่ดีจริงๆ
แต่ยังมีคำถามต่อมา มั่วชิงขมวดคิ้ว “ฮูหยิน เมื่อครู่คนผู้นี้บอกว่าคนที่เฝ้าหนานกงซื่อจื่อน่าจะมีสองร้อยคน หากพวกเราต้องการให้จำนวนคนเท่ากับพวกเขาต้องมีสองร้อยคนขึ้นไป แต่ชาวบ้านคนหนึ่งต่อหนึ่งร้อยตำลึง เช่นนั้นมัน…?”
“เจ้าไม่มี มิได้หมายความว่าข้าไม่มี!”
หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้วอย่างมั่นใจในตัวเอง
พูดให้มากความอีกก็เกรงว่าจะเป็นการเผยความลับ นางมองไปยังซั่งกวนเซ่าเฉินที่ใช่สายตาส่งสัญญาณให้นางไม่หยุด “เหยียคิดว่าแผนการนี้เป็นเช่นไรเพคะ? หากพูดว่าเป็นไปได้พวกเราก็ต้องคว้าโอกาสช่วยคนไว้ใช่หรือไม่เพคะ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตระหนักได้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์ต้องการพูดกับเขา หลังจากครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก็หยักหน้าให้มั่วชิง “ทำตามพูดของฮูหยิน เจ้าไปรวบรวมกำลังคนก่อน เงินและอาวุธจะถูกส่งมาในอีกไม่ช้า”
“พ่ะย่ะค่ะเหยีย”
มั่วชิงรับคำสั่งก่อนจะออกไปโดยพลัน
ซั่งกวนเซ่าเฉินจับมือของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้อย่างตึงเครียด “เจ้าจะไปหาอาวุธและเงินมากมายเช่นนั้นมาจากที่ใด?”
พวกเขาออกมาอย่างกะทันหัน อย่าว่าแต่หลิงมู่เอ๋อร์เลย แม้แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าการจะช่วยหนานกงอี้จือต้องใช้เงิน
“ท่านยังจำที่ข้าถามท่านในคราแรกได้หรือไม่ว่า หลังจากท่านมีสมบัติลับเช่นเดียวกับข้าแล้วท่านคิดจะใส่สิ่งใดไว้ แล้วท่านพูดว่าอย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์ถาม
ซั่งกวนเซ่าเฉินตะลึงงันโดยพลัน “มู่เอ๋อร์เจ้า…”
“ถูกต้อง ท่านพูดตั้งแต่แรกว่าท่านต้องการอาวุธที่เพียงพอ เงินที่มากพอ อาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ ท่านบอกว่าหากแคว้นตกอยู่ในภาวะยากลำบาก อย่างน้อยท่านก็ยังสามารถสนับสนุนด้วยการใช้ของเหล่านี้ปกป้องแคว้นได้ เช่นนั้นข้าจะทำแทนท่านเอง”
หลิงมู่เอ๋อร์จับมือของเขาครุ่นคิดในใจพาเขาเข้าไปในมิติ
“นี่เป็นของขวัญแต่งงานที่ข้ามอบให้ท่าน ชอบหรือไม่สามี?’
หลิงมู่เอ๋อร์เปิดโรงเก็บของในมิติ เห็นเพียงเบื้องหน้ามีอาวุธและอาหารมากมายนับไม่ถ้วน ซั่งกวนเซ่าเฉินถูกทำให้ตะลึงงันไปอีกครา
หลังจากออกมาจากมิติเขาก็รีบซักถาม “ของเหล่านี้เจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อใด?”
“หนึ่งวันก่อนวันแต่งงาน” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มอย่างซุกซน “ท่านส่งของหมั้นให้ข้าตั้งมากมาย แน่นอนว่าข้าก็มีสินเดิมด้วยเช่นกัน นี่เป็นวิธีที่ข้าคิดไว้นานแล้ว ว่าไปแล้วท่านจะขอบคุณข้าอย่างไรหรือ?”
เห็นท่าทีเย่อหยิ่งและเชื่อมั่นใจตัวเองของแม่นางน้อย ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปกอดนางไว้ในอ้อมแขนแน่น “มู่เอ๋อร์เจ้าเป็นสมบัติของข้าจริงๆ เจ้าเป็นสมบัติที่สวรรค์มอบให้ข้าจริงๆ!”
ปล่อยให้เขากอดจนรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของเขา และความปิติยินดีเช่นเดียวกับเขา หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเพียงความพึงพอใจที่ไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน
ในวันแต่งงานเจี้ยงเซียงมารายงานว่าทั้งร้านขายอาวุธ และเหลาอาหารล้วนนำของที่นางต้องการมาส่งยังสถานที่ที่นางกำหนดไว้แล้ว แต่ในยามนั้นเพราะการเสียชีวิตของโจวฉี่เยี่ยนทำให้ไปรับสินค้าล่าช้า ดังนั้นวันที่พวกเขาวางแผนจะออกเดินทางไปเมืองผิงเฉิง นางจึงฉวยโอกาสใช้เวลานั้นเก็บของเหล่านั้นเข้ามา
แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เอามาใช้ประโยชน์เร็วถึงเพียงนี้
“พวกเรามีเวลาไม่มาก ไปกันเถอะ เรื่องช่วยเหลือหนานกงอี้จือต้องมาก่อน” หลิงมู่เอ๋อร์เตือน
ซั่งกวนเซ่าเฉินปล่อยมือที่กอดนางไว้ รู้ว่าหากให้นางอยู่ที่นี่นางย่อมไม่เห็นด้วย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงส่งสายตาเคร่งเครียดมองไปยังดวงตาของนาง “อีกเดี๋ยวจะเกิดความวุ่นวายขึ้น หากมีเรื่องอันใดเจ้ามาหลบหลังข้าเสีย หรือไม่…”
“หรือไม่ก็ฉวยโอกาสช่วงที่ไม่มีผู้ใดสังเกตซ่อนตัวในมิติเสีย” หลิงมู่เอ๋อร์ชิงพูดก่อน “ท่านวางใจเถอะข้าปกป้องตัวเองได้ แต่หนานกงอี้จือได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งที่ซ่อนตัวของพวกหอวีรบุรุษก็มีการป้องกันแน่นหนา ต้องการพาตัวคนเจ็บออกมาต่อหน้าสายตามากมายย่อมไม่ง่าย คืนนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าย่อมเป็นการต่อสู้ที่รุนแรง ท่านก็ระวังตัวด้วย”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้าให้นาง จับมือนางและออกจากจวนไป
“เหยียรวบรวมคนสองร้อยคนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากมั่วชิงแจกจ่ายเงินทั้งหมดแล้วก็เข้ามารายงาน
ในขณะเดียวกันหลิ่วฉางอวี้ที่เมื่อครู่เพิ่งกลับมายังที่ว่าการก็พาคนทั้งหมดในที่ว่าการมา แม้จะมีเพียงห้าสิบสองคนแต่นั่นก็เพียงพอแล้ว
“ทูลเหยียคนทั้งหมดของที่ว่าการเมืองผิงเฉิงพร้อมรับคำสั่งจากเหยียแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองผ่านสายตาก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ออกเดินทาง!”