เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 12 ตอนที่ 339 กฎวัง
เล่มที่ 12 ตอนที่ 339 กฎวัง
ออกมาจากตำหนักตากอากาศด้วยความโมโห หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเพียงว่าอารมณ์ดีของทั้งวันได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว
เมื่อครู่หากมิใช่เพราะอามู่เต๋อมาปรากฏกายได้ทันเวลา นางจะต้องให้มั่วจวินเหยาได้ชดใช้ค่าตอบแทนอย่างสาสม
ไม่ได้ นางกล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลง!
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห นางเสียใจจริงๆ ที่ก่อนจากมาไม่ได้วางยาองค์หญิงที่ร้ายกาจผู้นั้นสักหน่อย แต่ว่าไม่เป็นไร ครั้งหน้าเมื่อพบกันอีกครั้งค่อยสั่งสอนนางก็ยังไม่สาย
“แม่นางหลิง โปรดรอก่อน”
ในยามที่กำลังจะก้าวออกจากซุ้มประตูโค้ง ด้านหลังมีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังมา หลิงมู่เอ๋อร์หันสายตากลับไปตามสัญชาตญาณ ก็เห็นสตรีที่ดูเยือกเย็นสง่างามผู้หนึ่งนำหญิงรับใช้กลุ่มหนึ่งค่อยๆ เยื้องกรายมา
นางมองอย่างละเอียดรู้สึกว่าใบหน้านั้นคุ้นเคยอยู่บ้าง เหมือนเคยพบในที่ใดมาก่อน
“บังอาจ เห็นเหนียงเหนียงแล้วยังไม่ทำความเคารพ?”
ในตอนที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังเหม่อลอยนั่นเอง มัวมัวชรานางหนึ่งขยับมาข้างกายนาง ด้านหนึ่งตะคอก อีกด้านคิดจะถีบเข่าของนางบังคับให้นางคุกเข่าลง
หลิงมู่เอ๋อร์มองแผนการร้ายของนางออก พลิ้วหลบเบาๆ และทำให้นางสะดุดล้มอย่างไร้ร่องรอย ทำเอามัวมัวชราล้มลงในท่าสุนัขกินดิน
“โอ๊หยา โอ๊ย”
มัวมัวชราร้องเสียงดังอย่างเจ็บปวด รู้ว่าเป็นฝีมือของหลิงมู่เอ๋อร์ นางรีบมองไปทางกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทันที “เหนียงเหนียงโปรดทรงให้ความเป็นธรรมแก่บ่าวด้วย หญิงสามัญชนที่ต่ำช้านางนี้ ไม่เพียงไม่แสดงความเคารพต่อพระองค์ ยังปฏิบัติต่อบ่าวชราเช่นนี้อีก กระดูกของบ่าวชราแทบล้มจนหักแล้วเพคะ”
หลิงมู่เอ๋อร์หรี่ตา เหลือบมองมัวมัวชราทีหนึ่ง จากนั้นก็มองกุ้ยเฟย ในสมองพลันมีแสงสว่างวาบผ่าน พลันนึกขึ้นมาได้แล้ว
คนผู้นี้มิใช่มารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายเจ็ด หมิ่นกุ้ยเฟยหรือ?
ตอนนั้น ในงานเลี้ยงวังหลวงที่ฝ่าบาททรงจัดเพื่อฉลองให้สามเหล่าทัพ นางสร้างความลำบากให้กับพี่เซิงเอ๋อร์ ยังเป็นนางที่ช่วยนางออกหน้า ดูท่าคงจะรู้แล้วว่า ตอนนั้นนางเพื่อช่วยเซิงเอ๋อร์ได้จงใจหลอกนาง ยามนี้คิดจะมาคิดบัญชีตามทีหลัง?
ไม่เช่นนั้นจะให้มัวมัวชรามาข่มขู่นางตั้งแต่เริ่มเพื่อแสดงอำนาจได้อย่างไร?
“มัวมัวใส่ร้ายมู่เอ๋อร์แล้วจริงๆ ท่านเดินเข้ามาอย่างกะทันหัน ข้ายังไม่ทันรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ท่านก็ล้มลงอย่างกะทันหันแล้ว จะใส่ร้ายข้าได้อย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มแต่เพียงใบหน้า มองหมิ่นกุ้ยเฟยอีกครั้ง นางทำการคารวะอย่างเคารพ “หญิงสามัญชนคารวะเหนียงเหนียง มิทราบว่ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทรงมีธุระใด”
นางกล่าวจบ ก็รีบเสริมว่า “เมื่อครู่ในยามที่ข้าออกจากห้องทรงพระอักษรมา ฝ่าบาทได้ทรงกำชับเป็นพิเศษให้รีบกลับไป จะได้ตระเตรียมสิ่งของสำหรับงานแต่ง หากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทรงไม่มีเรื่องสำคัญใดแล้วละก็ ครั้งหน้าพวกเราค่อยสนทนา?”
พูดจบนางหมุนกายคิดจะจากไป
“เจ้าไม่จำเป็นต้องนำฝ่าบาทมาข่มข้า ที่วันนี้ข้ามาหาเจ้าก็เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท” หมิ่นกุ้ยเฟยกล่าวกับเงาหลังของนาง
หรือว่าฝ่าบาททรงมีเรื่องใดที่ลืมกำชับ ดังนั้นจึงให้หมิ่นกุ้ยเฟยมาดักนางที่ประตูวังเป็นพิเศษ?
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะ “ยังขอเชิญให้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทรงให้ความกระจ่างเพคะ”
“เหอะ ไม่รีบร้อน วันนี้เปิ่นกงมีเวลามากมายมาเล่นเกมคำศัพท์เป็นเพื่อนเจ้า เรื่องงานอีกครู่ค่อยพูดก็ไม่เป็นไร พวกเรามาพลิกบัญชีเก่ากันก่อน”
หมิ่นกุ้ยเฟยยกมุมปากอย่างหยิ่งผยอง ใบหน้าให้ความรู้สึกไม่ควรมีเรื่องด้วย วาจายิ่งกล่าวอย่างเปิดเผยถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมความพร้อมมา
หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจแล้วว่า นางรู้แล้วว่าคำพูดในครั้งที่แล้วของนางเป็นการพูดเหลวไหลเพื่อหลอกนาง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปนานถึงเพียงนั้นแล้วนางยังคิดถึงอยู่อีกเท่านั้น ท่านซึ่งเป็นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงก็ช่างใจแคบเสียเหลือเกิน
เท้าแรกเพิ่งเสียเปรียบมาจากตำหนักตากอากาศ เท้าหลังก็ยังมาเจอหมิ่นกุ้ยเฟยตัวปัญหาเช่นนี้อีก หรือว่าวันนี้นางออกประตูมาไม่ได้เปิดปฏิทินดูฤกษ์ก่อน? ในชั่วพริบตา อารมณ์ก็เสียจนแทบระเบิดแล้ว!
“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทรงตรัสถึงสิ่งใดกันเพคะ มู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ” แม้ว่าในใจจะโมโห บนใบหน้ายังคงต้องแสดงความเป็นมิตร เพราะในยามนี้ หมิ่นกุ้ยเฟยจึงจะเป็นเจ้านายที่ใหญ่ที่สุดในวังหลัง
เมื่อคืน ซั่งกวนเซ่าเฉินได้กำชับนางเป็นพิเศษ ว่าวันหลังเมื่อพบหมิ่นกุ้ยเฟยต้องอ้อมไปเสียหน่อย เพราะฮ่องเต้ได้มอบอำนาจทั้งหมดของหวางโฮ่วให้กับหมิ่นกุ้ยเฟยแล้ว
แม้จะมิได้แต่งตั้งตำแหน่งให้นาง ทว่ามีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือ นางก็คือเจ้านายผู้อยู่ใต้คนเพียงคนเดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น
“เหอะ เจ้าอย่าได้แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง วันนั้นข้าสั่งสอนลูกสะใภ้ของตน เจ้ากลับออกมาช่วยออกหน้าให้นาง เสียทีที่ข้ายังเชื่อคำพูดของเจ้า ไม่สร้างความลำบากใจให้นางสารเลวคนนั้น หากมิใช่ภายหลังลูกชายของข้าเตือนขึ้นมา จนถึงตอนนี้ข้ายังถูกเจ้าหลอกลวงอยู่เลย!”
ยิ่งคิดหมิ่นกุ้ยเฟยก็ยิ่งโมโห ใบหน้าที่งดงามก็เครียดขึงขึ้นมา “ใครเข้ามา จับหญิงสามัญชนชั้นต่ำนางนี้ไว้ กล้าหลอกลวงเปิ่นกง ควรใช้กฎวังจัดการ”
กฎวังคืออะไร? ไม่มีอะไรนอกจากโบยไม่กี่สิบที
แต่อย่าพูดถึงถูกตี แม้แต่แตะนางก็ไม่ให้องครักษ์ที่บุกเข้ามาได้แต่แม้เพียงครั้ง “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง เกรงว่าทรงไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้กับข้า”
“หือ? ข้าไม่มีสิทธิ์?” หมิ่นกุ้ยเฟยราวกับได้ยินเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าก็มิปาน นางส่งสายตาให้องครักษ์ เป็นสัญญาณให้ทุกคนถอยไปก่อน นางกลับเข้าไปใกล้หลิงมู่เอ๋อร์ทีละก้าว “เจ้าเป็นเพียงหญิงสามัญชั้นต่ำเท่านั้น ข้าสั่งสอนเจ้า ยังจะต้องการฐานะเยี่ยงไรอีกหรือ?”
“เมื่อก่อนข้าเป็นเพียงสามัญชนชั้นต่ำคนหนึ่งจริงๆ แต่ทันทีที่ราชโองการของฝ่าบาทประกาศลงมา ว่าข้าเป็นพระชายาในอนาคตขององค์ชายรอง หากข้าจำไม่ผิดแล้วละก็ ตามกฎของเทียนเฉา ท่านยังต้องทำความเคารพข้าด้วยซ้ำ”
เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งชั่วร้ายและเย้ายวนขึ้นเรื่อยๆ สายตาที่มองหมิ่นกุ้ยเฟยก็ยิ่งมองมายิ่งหยิ่งยโสเช่นกัน
กฎของเทียนเฉา องค์ชายถือเป็นใหญ่ ต่อจากนั้นจึงเป็นเหนียงเหนียงจากตำหนักต่างๆ
แม้หมิ่นกุ้ยเฟยในยามนี้จะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่หวางโฮ่ว ในด้านฐานะจึงต่ำกว่านางอยู่ขั้นหนึ่ง
“เจ้า!”
หมิ่นกุ้ยเฟยโมโหอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าสามัญชนชั้นต่ำนางนี้จะปากคอเราะร้ายเช่นนี้ “ช่างเป็นเด็กสาวที่ปากคอเราะร้ายเหลือเกิน เจ้าก็ใช้วิธีนี้หลอกล่อองค์ชายรองให้อยู่ข้างกายกระมัง วันนี้หากข้ามิได้รับการสั่งสอนด้วยตนเอง ยังไม่รู้ว่าเจ้าร้ายกาจเช่นนี้!”
ทรวงอกของหมิ่นกุ้ยเฟยกระเพื่อมขึ้นลง เห็นได้ชัดว่าโมโหไม่เบา “อย่างที่คิด ข้าก็ว่าแล้ว เพียงแค่หญิงสามัญชนคนหนึ่งเท่านั้น จะดึงดูดสายตาขององค์ชายรองผู้สูงส่งได้อย่างไร ที่แท้เจ้าก็อาศัยปากนี้ดึงดูดเขา ทว่า วันเวลาที่ดีของเจ้าก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว!”
หมิ่นกุ้ยเฟยกัดฟัน มองนางราวกับมองศัตรูคู่แค้น “เปิ่นกงยามนี้ขอออกคำสั่งกับเจ้า วันหลังอยู่ห่างองค์ชายรองให้มากหน่อย ส่วนเรื่องวันแต่งงานของพวกเจ้าสองคน แน่นอนว่าย่อมเป็นโมฆะ”
พิธีแต่งงานก็ใกล้จะถึงแล้ว นางบอกว่าเป็นโมฆะก็เป็นโมฆะ?
สีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดำทะมึน ทั่วทั้งร่างก็แผ่ไอหนาวที่กดดันผู้คนออกมา นางราวกับไม่กลัวการเอะอะโวยวายที่หยิ่งยโสของหมิ่นกุ้ยเฟย แต่กลับกล้าไปเผชิญหน้ากับนาง “อาศัยอะไรให้ข้าฟังท่าน?”
“เพราะนี่คือพระประสงค์ของฝ่าบาท!” หมิ่นกุ้ยเฟยเชิดศีรษะ ดวงตาทั้งคู่หรี่จนเป็นเส้นเดียว กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจในเหตุผลของตนโดยไม่มีร่องรอยของการโป้ปดแม้แต่น้อย
“เป็นไปไม่ได้!” หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่านางโกหกตนทันที
เมื่อครู่ฮ่องเต้ยังทรงตรัสความในใจกับนางอยู่เลย อีกทั้งยังยอมรับฐานะของนาง เหตุใดชั่วพริบตาก็เปลี่ยนใจเล่า?
“บังอาจ! ต่อให้เปิ่นกงจะใหญ่ที่สุดในวังหลัง ก็ไม่กล้าปลอมแปลงถ่ายทอดพระราชดำรัสของฝ่าบาทโดยพลการ หรือเจ้าคิดว่าข้ากำลังหลอกเจ้าหรือ?” สายตาที่เหน็บหนาวและคมกริบของหมิ่นกุ้ยเฟยพุ่งเข้ามา ราวเจตนาที่จะสังหารนางทิ้งในทันที
หลิงมู่เอ๋อร์มองดวงตาของนางอย่างตั้งใจ พบว่าด้านในมีการหลบเลี่ยงอยู่เล็กน้อย นางมั่นใจว่าหมิ่นกุ้ยเฟยกำลังโกหก แต่นางกล่าวไม่ผิด ตัวนางในตอนนี้ต้องการความเชื่อถือจากฮ่องเต้มากที่สุด ไม่อาจเกิดความผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น นางย่อมไม่กล้าประกาศราชโองการเท็จ
หรือฝ่าบาททรงเป็นคนประเภทสองหน้าจริงๆ เท้าแรกเพิ่งยอมรับฐานะของนาง เท้าหลังก็ให้คนมาเป็นทูตเจรจา ให้นางจากเซ่าเฉินไปด้วยตนเอง
จักรพรรดิที่ไร้คุณธรรม ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
“หากมิได้เห็นพระราชโองการของฝ่าบาทด้วยตาตัวเอง ข้าไม่มีทางเชื่อคำพูดของท่าน หากเหนียงเหนียงทรงไม่มีเรื่องอื่น หญิงสามัญชนนางนี้ก็ขอทูลลาแล้ว”
“หยุดนะ!” หมิ่นกุ้ยเฟยจะปล่อยนางไปง่ายๆ ได้อย่างไร
แต่หลิงมู่เอ๋อร์ราวกับมิได้ยินก็ไม่ปาน มิได้มีเจตนาที่จะหยุดลงแม้แต่น้อย
“ช่างเป็นเด็กสาวที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าเหลือเกิน แม้แต่คำพูดของเปิ่นกงก็ไม่ฟัง ใครก็ได้ จับตัวนางไว้!”
นางออกคำสั่งทีหนึ่ง องครักษ์อยู่ด้านหลังก็พุ่งเข้าหาหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ชูมือขวาขึ้นสูง เผยกำไลที่สามารถเทียบได้กับป้ายทองอภัยโทษวงนั้นออกมา “ข้าจะดูว่าผู้ใดกล้าแตะต้องข้าแม้เพียงครั้งเดียว”
องครักษ์ที่บุกเข้ามารีบหยุดอยู่กับที่ทันที พากันมองนางอย่างประหลาดใจ จากนั้นเผยแววตาขลาดกลัวออกมา
เห็นได้ชัดว่าหมิ่นกุ้ยเฟยรู้ว่านางมีของศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ แต่นางไม่กลัว
“เพียงแค่ของแทนใจของฝ่าบาทกับอดีตหวางโฮ่วเท่านั้น เจ้ายังคิดว่ามันเป็นของวิเศษแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ บอกเจ้าตามจริง ของสิ่งนี้ ในสายตาของคนอื่นอาจมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่อยู่เบื้องหน้าข้า มันไม่มีค่าแม้แต่น้อย”
ที่หมิ่นกุ้ยเฟยทนไม่ได้ที่สุดก็คือ นางถือว่ามีกำไลอยู่ในมือจึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ยามนี้ทั่วทั้งวังหลวง มีผู้ใดไม่เชื่อฟังนางโดยมิกล้าฝ่าฝืน เด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้กลับกล้าท้าทายความน่ายำเกรงของนาง นางจะต้องให้นางได้รู้จักความร้ายกาจให้ได้
“ใครเข้ามา จับตัวนางไว้ ส่วนทางฝ่าบาท เปิ่นกงจะรับผิดชอบเอง ลากไป” ท่าทางของหมิ่นกุ้ยเฟยแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก
เหล่าองครักษ์เมื่อเห็นเช่นนั้นก็พุ่งเข้าหาหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง ใครจะคาดว่าด้านหลังของทุกคน ก็มีเสียงที่เปี่ยมพลังอีกเสียงหนึ่งปรากฏขึ้นมา
“หยุดมือ!”
ทุกคนหันสายตากลับไป รวมถึงหลิงมู่เอ๋อร์ด้วย เมื่อเห็นอวี้กุ้ยเฟยที่ถูกคนประคองเดินออกมาก็ล้วนตะลึงไป
วันนี้สีหน้าของอวี้กุ้ยเฟยไม่ค่อยดี ค่อนข้างซีดขาวอยู่บ้าง คิดว่าน่าจะเป็นเพราะร่างกายไม่แข็งแรง ตนเองก็ป่วยมากแล้ว ยังจะมาคุ้มครองนางอีก ในเสี้ยววินาทีนั้นหลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกตื้นตันอยู่บ้าง ต่อหน้าหมิ่นกุ้ยเฟย เดินส่ายอาดๆ ไปโค้งคารวะอวี้กุ้ยเฟย “เหนียงเหนียง วรกายของพระองค์ไม่สบาย เหตุใดจึงออกมาเล่าเพคะ?”
“ทั่วทั้งวังหลังมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า เจ้ามีอันตราย ข้าจะปิดประตูไม่ออกมาได้อย่างไร?” อวี้กุ้ยเฟยตรัสไปก็ทรงไอไปสองสามครั้ง แต่นางจงใจตะโกนเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าพูดให้หมิ่นกุ้ยเฟยฟัง
“แต่ว่า…” หลิงมู่เอ๋อร์ยังคิดจะพูดสิ่งใด แต่สายตาของอวี้กุ้ยเฟยส่งสัญญาณยับยั้ง
อวี้กุ้ยเฟยปล่อยให้มัวมัวประคองเดินไปถึงเบื้องหน้าของหมิ่นกุ้ยเฟย มองตาของนางอย่างหยิ่งยโส “ไม่ทราบว่าน้องสาวมาหาผู้มีพระคุณของข้าด้วยเรื่องอันใด เท่าที่ข้ารู้ นางมิได้ทำผิดกฎของวังข้อใด และก็มิได้ล่วงเกินน้องสาว นี่เจ้าคิดจะส่งนางไปที่ใดกันเล่า?”
เห็นสายตาที่หนาวเหน็บเสียดกระดูกของอวี้กุ้ยเฟย หมิ่นกุ้ยเฟยถอยหลังไปครึ่งก้าว
ผู้คนกล่าวว่า บนร่างของสตรีที่เคยเสียสติมีพลังปีศาจพิเศษบางอย่าง สามารถส่งพลังงานปีศาจนั้นมาติดต่อเจ้าได้
สตรีในตำหนักเย็นนางนั้นก็คือตัวอย่างที่มีชีวิต ดังนั้น ทุกครั้งที่นางพบอวี้กุ้ยเฟย ในใจล้วนมีความรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้ามองตาของนาง
“พี่สาวร่างกายไม่สบายอยู่ เหตุใดจึงไม่อยู่ในตำหนักบรรทมดีๆ อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้จะไม่ทำให้อาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้นไปอีกหรือ?” หมิ่นกุ้ยเฟยมิได้ตอบคำถามของนาง แต่กำชับสาวใช้ที่อยู่เบื้องหลังของนาง “พวกเจ้าปรนนิบัติอย่างไรกัน อากาศหนาวเช่นนี้ หากอาการป่วยของเจ้านายหนักขึ้นพวกเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ ยังไม่รีบส่งเจ้านายของพวกเจ้ากลับไปอีก?”
ใครจะคาดว่า อวี้กุ้ยเฟยบันดาลโทสะทันที “บังอาจ! หมิ่นกุ้ยเฟย หากพูดถึงลำดับฐานะแล้ว ข้าสูงกว่าเจ้า ข้ากำลังถามเจ้า เจ้ากลับจะไล่ข้าไป ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเช่นนี้ ดูท่าข้าจะต้องไปเข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์พูดคุยกับฝ่าบาทเสียหน่อย ว่าตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่กฎระเบียบของวังหลังแห่งนี้ถูกยกเลิกไปเพราะขาดหวางโฮ่วไปคนหนึ่ง!”
หมิ่นกุ้ยเฟยตะลึงไป คิดไม่ถึงอย่างเห็นได้ชัดว่า อวี้กุ้ยเฟยจะบันดาลโทสะขึ้นมากะทันหัน แต่รอบด้านมีข้ารับใช้คอยดูอยู่มากขนาดนี้ วันนี้หากนางก้มหัวให้อวี้กุ้ยเฟย จะไม่ถูกทุกคนดูถูกหรือ
“พี่สาว ข้าเห็นแก่ที่ท่านอายุมากกว่าจึงเรียกท่านคำหนึ่งว่าพี่สาว แต่ท่านอย่าได้ลืมไปว่า ฝ่าบาทได้ทรงมอบอำนาจของหวางโฮ่วทั้งหมดให้ข้า มิได้มอบให้ท่านนะ”