เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 288 วิเคราะห์
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 10 ตอนที่ 288 วิเคราะห์
เล่มที่ 10 ตอนที่ 288 วิเคราะห์
“แม้ชายชุดดำที่มาลอบสังหารซั่งกวนเซ่าเฉินจะถูกข้าจับกุมไว้แล้ว และต่อให้พวกเขาสารภาพว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคือองค์ชายเจ็ดทว่าเขาย่อมไม่ยอมรับ อาจถึงขั้นย้อนกลับมาแว้งกัดและไม่อาจจัดการเขาได้”
เพราะเหตุนี้ซูเช่อจึงถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องของเทียนหมา เขาแค่หลบเลี่ยงนกขมิ้นข้างหลังตั๊กแตน [1] เจ้าคิดว่าควรระวังหรือไม่เล่า?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่กล้าล้อเล่นกับเขาอีก พูดได้ว่าเรื่องที่นางกังวลที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว
หากองค์ชายเจ็ดยิ่งสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ อันตรายในอนาคตของพวกเขาก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน หรือต้องออกจากเมืองหลวงจริงๆ?
“ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าวันหนึ่งชีวิตจะเป็นเช่นนี้?” นางถามคำถามซึ่งราวกับเป็นการถามตัวเอง
ซูเช่อที่รินเหล้าอยู่ชะงักมือ
หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าเขาไม่ยอมรับจึงยิ้มเจื่อน “ใช่แล้ว ในยามนี้ท่านเป็นเสียนหวาง เหตุใดจึงจะทิ้งทุกอย่างตรงหน้าเพื่อชีวิตที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเล่า”
ซูเช่อกดไหเหล้าลงบนโต๊ะอย่างกะทันหัน จ้องมองดวงตาของนางอย่างจริงจัง “แต่ไหนแต่ไรข้าหาได้สนใจยศถาหรือความมั่งคั่ง จะจวิ้นอ๋องซูเช่อก็ดีหรือจะเสียนหวางก็ดี ข้าซูเช่อใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้สิ่งที่ต้องการมีเพียงความสุขสงบ อำนาจในมือก็เปรียบได้กับกรงเหล็ก ข้าเพียงปรารถนาอยากไปอยู่กับคนที่รักฉันสามีภรรยาในชนบทอันห่างไกล”
ยามที่พูดเช่นนี้สายตาก็หยุดอยู่ที่ร่างหลิงมู่เอ๋อร์ตั้งแต่ต้นจนจบ นางหลบเลี่ยงสายตาที่มองมาโดยพลัน เขารู้ว่าแม่นางผู้นี้ฟังเข้าใจแต่เขาก็ยังอยากหยั่งเชิง
“หลิงมู่เอ๋อร์ ข้าเคยบอกเจ้านานแล้วว่าระลอกคลื่นใหญ่ในเมืองหลวงไม่เหมาะกับเจ้า เป็นข้าผิดเองข้าไม่ควรทำให้เจ้ามาพัวพันด้วยตั้งแต่แรก แต่หากเจ้าต้องการจะไปข้าก็ย่อมยืนอยู่ข้างหลังเจ้าเสมอ!”
หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์เต้น ‘ตึกตัก’ นางยอมรับว่าชั่วขณะนั้นหัวใจนางสั่นไหว
ยามที่นางต้องการจะหลีกหนีก็มีคนเตรียมพร้อมยินดีจูงมือนางบอกว่า ‘ข้าจะปกป้องเจ้าไปทั้งชีวิต’ คำมั่นเช่นนี้ความรู้สึกปลอดภัยเช่นนี้จะมีสตรีคนใดไม่ต้องการเล่า?
แต่ขาข้างหนึ่งของนางจมลงไปในหนองน้ำแล้ว ยิ่งพยายามดิ้นรนก็มีแต่จะทำให้จมลงไปลึกขึ้น
“มู่เอ๋อร์ขอบคุณเสียนหวางที่ดูแลเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มรวดเดียว แม้ท่าทางจะสง่างามแต่ก็ปฏิเสธอย่างตัดเยื่อใยยิ่ง
“ที่เจ้าไม่ไปก็เพียงเพราะวางใจเรื่องหลิงจือเซวียนไม่ได้ แต่นั่นเป็นเส้นทางที่เขาเลือก”
ซูเช่อหาได้ชนแก้วกับนาง แต่ริมเหล้าดื่มย้อมใจกับตัวเอง
“องค์ชายเจ็ดเริ่มลงมือกับซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว อีกทั้งในเรื่องนี้เขายังกระตือรือร้นในการจัดการหวางโฮ่วเช่นนี้ ดูท่าแล้วคงเป็นการทำเพื่อแผนของตัวเอง หลิงจือเซวียนและจูฉีเป็นผู้ช่วยของเขา ไม่ว่าสองคนนี้ในอนาคตจะล้วนแยกตัวไม่ข้องเกี่ยวด้วยอย่างไรเจ้าก็ต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม”
“เช่นเดียวกัน” หลิงมู่เอ๋อร์ราวกับไม่สนใจอันตรายที่จะมาถึง “เรื่องของหวางโฮ่ว ข้ากับท่านเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน องค์ชายเจ็ดจะมองว่าท่านกับข้ามิได้ลงเรือลำเดียวกันได้อย่างไร? เรื่องของหลันเชี่ยนหยิ่งเดิมคนที่ท่านต้องการวางหลุมพรางก็คือเขา ไท่จื่อหาได้วางแผนกับท่าน แต่องค์ชายเจ็ดก็มิใช่คู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่ายดายนักขอเสียนหวางโปรดรักษาตัวด้วย!”
รอยยิ้มเอ็นดูฉาบอยู่มุมปากของซูเช่อ เห็นได้ชัดว่าเป็นการพูดคุยที่จริงจังยิ่ง แต่เหตุใดคำพูดที่ออกมาจากปากเล็กๆ ของนางจึงดูไม่ยี่หระเช่นนี้เล่า?
“แทนที่จะมาเป็นห่วงข้าไม่สู้เป็นห่วงตัวเจ้าเองให้มากๆ จะดีกว่า เจ้ารับมือองค์ชายเจ็ดเพียงคนเดียวก็เกินพอแล้ว ในยามนี้ยังมีอามู่เต๋อปรากฏตัวขึ้นมาอีกคน หากเขาไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการจากเจ้าย่อมไม่มีทางรามือเป็นแน่ แม่นางน้อยเจ้าจะเจอกับปัญหาใหญ่ด้วย”
พรึ่บ พัดพับได้ในมือถูกคลี่ออก ซูเช่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ
ราวกับคุณชายสูงศักดิ์ที่หลุดออกมาจากภาพวาด มีใบหน้างามดั่งหยก ดวงตาราวกับดวงดารา ยามที่เขานั่งลงตรงข้ามนางแล้วมองนางพลางยิ้มเช่นนี้ ก็ทำให้หมอกควันสลัวทั้งหมดสลายหายไป
หลิงมู่เอ๋อร์กลืนน่องไก่คำสุดท้ายลงไป ก่อนจะจัดเสื้อผ้าหน้าผม “ข้าอิ่มหนำทีเดียว วันนี้ขอบคุณเสียนหวางเป็นอย่างยิ่งที่เลี้ยงอาหารด้วยเหล้าชั้นดีอาหารเลิศรสเช่นนี้ มืดแล้วข้าควรต้องกลับได้แล้ว พวกเราค่อยนัดหมายกันอีกทีดีหรือไม่?”
ซูเช่อไม่ได้พูดอันใดทำแค่เพียงยิ้มและพยักหน้าให้นาง แต่ยามที่นางเดินไปถึงประตูเสียงอันไพเราะราวกับท่วงทำนองของเปียโนก็ค่อยๆ ดังนั้นมาจากข้างหลัง
“ข้าจะเก็บความลับของเจ้าไว้ไม่ให้ผู้ใดรู้แม้แต่อามู่เต๋อ”
ฝีเท้าของหลิงมู่เอ๋อร์ชะงักไปก่อนจะหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว และยิ้มหวานให้เขา “ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง”
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ออกไป จื่อถงก็กระโดดเข้ามาจากหน้าต่าง “นายท่านขอรับ ตามคำสั่งของท่านได้จัดเตรียมคนไปซุ่มอยู่รอบตัวอามู่เต๋ออย่างลับๆ แล้วขอรับ หากเขามีการเคลื่อนไหวอันใดจะมีคนมารายงานพวกเราขอรับ”
“ทำได้ดี”
ซูเช่อพูดพลางทิ้งไหเหล้าในมือ “มานั่งดื่มเป็นเพื่อนข้าเถอะ”
หากจะให้ฝึกดาบเป็นเพื่อนย่อมได้ แต่ให้เป็นคู่มือในการดื่มเหล้ากับเขาที่เป็นเจ้านายได้อย่างไร ทว่าหาได้ยากที่นายท่านจะอารมณ์ดีเช่นนี้ วันนี้เขาจึงไม่อยากขัดอารมณ์ ทำเพียงแค่กัดฟันดื่มกับเขาไหแล้วไหเล่า
หวางโฮ่วถูกส่งเข้าตำหนักเย็น ความแค้นในชีวิตก็นับว่าได้รับการชำระแล้ว หลันเชี่ยนหยิ่งที่หมั้นหมายกันก็ไปเป็นเช่อเฟยของไท่จื่อแล้ว ซูเช่อรู้สึกว่าในยามนี้เขาหาได้มีสิ่งใดติดค้างจึงรู้สึกโล่งใจ เช่นนั้นเป้าหมายต่อไปของเขาก็มีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือการปกป้องคนที่เขาอยากปกป้องให้ดี
เมื่อออกมาจากเยว่โหลวหลิงมู่เอ๋อร์ก็กำลังคิดว่าจะกลับจวนตระกูลหลิง ทันใดนั้นเองก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างหลังนางก่อนจะดึงนางเข้าไปในตรอกและกดลงชิดกับกำแพง
ผู้ใดกันที่กล้ามาซุ่มโจมตีจากข้างหลังเช่นนี้?
นางตอบสนองด้วยสัญชาตญาณควักเข็มเงินออกมาจากแขนเสื้อโดยพลัน ก่อนจะได้ยินเพียงเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นเหนือหัว
“ไปไหนมา หืม?”
ยามที่เงยหน้าก็เห็นใบหน้าที่มีเสน่ห์ร้ายกาจของซั่งกวนเซ่าเฉิน
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?” หลิงมู่เอ๋อร์พยายามดิ้นรนหลายครา แต่กลับพบว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขายามที่ฉวยโอกาสขัดขืนเขา นางก็รู้สึกเพียงว่าอากาศหนาวอยู่บ้าง นางจึงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทา
ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นเช่นนั้นก็โยนเตาอุ่นที่เตรียมมาเข้าไปในอ้อมกอดของนางโดยพลัน “คนขับรถม้าบอกข้าว่ามีคนมาขวางทางและชิงตัวเจ้าไป ข้าจึงอยากมาดูว่าผู้ใดกล้ามาช่วงชิงสตรีของข้าไป”
พูดจบซั่งกวนเซ่าเฉินก็เดินอ้อมนางคิดจะไปที่เยว่โหลว หลิงมู่เอ่อร์รีบวิ่งไปขวางเบื้องหน้าเขา
“ใครเป็นสตรีของท่าน? ช่างพูดโกหกได้อย่างหน้าไม่เปลี่ยนสีจริงๆ” หลิงมู่เอ๋อร์ยืดแขนทั้งสองข้างขวางทางเขา เชิดหน้าขึ้นอย่างจองหอง “หม่อมฉันย่อมเป็นของตัวหม่อมฉันเองหาได้เป็นของผู้ใด หม่อมฉันมีสิทธิ์ที่จะไปเจอผู้ใดก็ได้นี่เป็นอิสระของหม่อมฉัน องค์ชายรองทำเกินไปแล้ว…นี่ ท่านจะทำอันใด”
หลิงมู่เอ๋อร์ถึงอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะพุ่งเข้ามาหิ้วนางขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้
ไม่ว่าหมัดของนางจะปะทะกับร่างของเขาอย่างไร ซั่งกวนเซ่าเฉินก็หาได้คิดจะปล่อยนางลง
“เป็นความจริงที่เจ้ายังไม่ใช่สตรีของข้า แต่ข้าสามารถทำให้เจ้ากลายเป็นสตรีของข้าได้ทุกเมื่อ!”
พูดจบก็โหมประทับจูบอย่างเร่าร้อนรุนแรง หลิงมู่เอ๋อร์ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อต้านโดนสิ้นเชิง ทั้งยังถูกเขากักตัวไว้หายในรถม้าแคบๆ จึงทำได้เพียงปล่อยให้เขาเอาเปรียบ
“นี่คือบทลงโทษที่เจ้าแอบไปเจอชายอื่นอีก!” เมื่อรู้สึกได้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์ใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินจึงเพิ่งปล่อยนาง
หลิงมู่เอ๋อร์ใช้แรงที่เหลืออยู่ชกออกไปด้วยความโกรธแต่ก็ยังชกพลาด “ซั่งกวนเซ่าเฉินท่านมันคนชั่ว ท่านรังแกข้า!”
นางถูกจูบจนสิ้นเรี่ยวแรงทำได้เพียงปล่อยให้เขาจับข้อมืออิงอยู่ในอ้อมกอดของเขา รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขาที่ปะทะกับศีรษะของตน “หากข้าไม่ใช้อำนาจให้บทเรียนจ้าก็เกรงว่าคงไม่มีโอกาสแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามที่เจ้ากับซูเช่อมาพบกัน อามู่เต๋อเข้าวังหลวงไปพูดอันใดกับเสด็จพ่อ?”
“คนอัปลักษณ์ผู้นั้นจะทำอันใดแล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้า?” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่สนใจ นางรู้สึกแต่เพียงความโกรธ เหตุใดทุกครั้งหลังเหตุการณ์อันดุเดือด เขาจะทำเหมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นทำราวกับเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ในขณะที่นางราวกับเป็นสุนัขจนตรอก
“ท่านรู้ว่าคนที่ข้าไปพบคือซูเช่อแต่ท่านก็ยังรังแกข้าหรือ?”
“หากเขาอยากปกป้องเจ้าจริงก็ไม่ควรมาพบเจ้าตามลำพังในยามนี้!” ซั่งกวนเซ่าเฉินโกรธเกรี้ยวยิ่ง หากเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะนางขวางไว้เขาคงไปคุยกับซูเช่อให้รู้เรื่องไปแล้ว
“เขาเพียงแค่รู้สึกขอบคุณข้าอย่างบริสุทธิ์ใจ” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากให้เขาโกรธเกินไป ท่าทางยามเขาโกรธขึ้นมาดูรุนแรงยิ่งทั้งยังดูไม่ค่อยน่ารักอยู่บ้าง
“แม้ว่าหวางโฮ่วจะถูกส่งเข้าตำหนักเย็นไปแล้วแต่เรื่องนี้มีส่วนพัวพันมากเกินไป หวางโฮ่วถูกผู้คนมากมายจับตามองอยู่ ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้มีหลายคนที่เลี่ยงการถูกจับตามองไม่ได้จนทำเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขได้ลงไป หากถูกคนพบว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าแม้จะเป็นข้าก็ไม่อาจปกป้องเจ้าได้ มู่เอ๋อร์รับปากข้าเถอะว่าหลังจากนี้จะไม่เข้าไปเสี่ยงอันตรายอีก ได้หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเสียงน้อยใจของหลิงมู่เอ๋อร์ ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เดิมทีอยากสั่งสอนนางด้วยคำพูดรุนแรงเพื่อให้นางจำอย่างขึ้นใจสุดท้ายก็ตัดใจทำไม่ลง ทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมนางราวกับโน้มน้าวเด็ก
“สุดท้ายแล้วผู้ที่จะได้รับตำแหน่งหวางโฮ่วไม่ใช่หมิ่นกุ้ยเฟยหรือ?” หลิงมู่เอ่อร์รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า นางยอมรับว่านางหาได้คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากนัก
“แน่นอนว่านางเป็นผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดแต่แล้วคนอื่นเล่า เจ้าคิดว่าพวกเขาจะไม่อยากต่อสู้แย่งชิงกันเลยหรือ?”
ถูกซั่งกวนเซ่าเฉินถามกลับจนพูดไม่ออก หลิงมู่เอ๋อร์จมลงไปในความคิด
ใช่ ในวังหลังมีพระสนมมากมาย หมิ่นกุ้ยเฟยหาใช่ผู้ที่ได้รับความโปรดปรานมาตลอดเพียงผู้เดียว แม้นางจะอาศัยความสูงศักดิ์ของผู้เป็นลูกจึงทำให้มีโอกาสมากที่สุด แต่ผู้ที่ต้องการตำแหน่งหวางโฮ่วย่อมพยายามจัดการองค์ชายเจ็ดสุดกำลังแน่นอน จะมีสักกี่คนที่รอดชีวิตจากเล่ห์กลมากมายของวังหลัง? ทุกคนล้วนมีความโหดเหี้ยมหากเสียสติขึ้นมาย่อมไม่มีผู้ใดยอมแพ้ผู้ใด
“หากพวกเขารู้ว่าองค์ชายเจ็ดแอบทำการลับอันใดเพื่อจัดการหวางโฮ่ว หมิ่นกุ้ยเฟยย่อมไร้หนทางจะขึ้นเป็นหวางโฮ่ว หากองค์ชายเจ็ดถูกไล่ต้อนย่อมดึงซูเช่อลงน้ำไปด้วยอย่างแน่นอน” หลิงมู่เอ๋อร์วิเคราะห์
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้าหลายครา “ถูกต้อง เมื่อถึงครานั้นเจ้าที่เป็นหมอส่วนตัวของเสียนหวางแม้จะกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ไม่อาจล้างให้สะอาด [2] ยามนี้เข้าใจแล้วหรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงไม่ให้เจ้าไปมาหาสู่กับเขา?”
“เข้าใจแต่ใครจะรู้ว่าในใจท่านยังแอบคิดคำนวณสิ่งอื่นอยู่หรือไม่”
หลิงมู่เอ๋อร์ฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันระวังหลุดออกมาจากอ้อมแขนของเขาโดยพลัน
“อย่าเข้ามา!” เห็นเขาตรงเข้ามาหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยื่นแขนออกมาหยุดเขาไว้โดยพลัน “เรื่องที่หวางโฮ่วถูกพิษเป็นท่านที่ทูลขอรับสั่งเอง แม้จะเกิดเรื่องกับซูเช่อท่านก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความเกี่ยวข้องได้เช่นกัน หากมองเช่นนี้สิ่งที่ท่านต้องเป็นห่วงก็ไม่ใช่ข้าแล้ว”
นางจงใจส่ายศีรษะพลางพูด ผลคือซั่งกวนเซ่าเฉินร้อนใจจนหาได้สนใจการต่อต้านของนาง เขาบังคับกดนางไว้ในอ้อมกอด
“สาวน้อย ข้ายอมรับว่าข้าถูกเจ้าดึงดูดเป็นพิเศษจนอดไม่ได้ที่จะสนใจเจ้า แต่หลังจากที่เจ้าปฏิเสธการเป็นเช่อเฟยของข้าทำให้ข้าเสียใจจริงๆ ยามที่เห็นเจ้าเสียใจข้าก็ไม่สบายใจ ยามที่เห็นเจ้าหัวเราะมีความสุขข้าก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับเจ้าด้วย ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหากรู้ว่าเจ้าตกอยู่ในอันตราย ไม่ว่าเสด็จพ่อจะคัดค้านอย่างไรข้าก็ยังยืนกรานที่จะออกจากวังหลวงไปหาเจ้า ข้าอยากบอกเจ้าว่าข้าจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเจ้าให้เจ้าใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ”
หาได้ยากยิ่งที่จะได้ยินความคิดของเขา หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเพียงใบหน้าแดงเรื่อทั่วทั้งร่างกายร้อนผ่าวเป็นอย่างยิ่ง ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้แพร่กระจายไปสู่หัวใจ
“แต่เมื่อครู่ท่านบอกว่าอามู่เต๋อพูดอันใดกับฝ่าบาทหรือ?”
เชิงอรรถ
[1] นกขมิ้นข้างหลังตั๊กแตน หมายถึง คนที่ไร้วิสัยทัศน์มองแต่ผลลัพธ์ระยะสั้นไม่มองถึงผลลัพธ์ระยะยาว หรือหมายถึงคนที่จ้องจะล้างแค้นผู้อื่นโดยลืมไปว่าผู้อื่นก็จ้องจะล้างแค้นตัวเองอยู่
[2] กระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ไม่อาจล้างให้สะอาด หมายถึง หนีไม่พ้น หรือแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น