เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 276 ทูต
เล่มที่ 10 ตอนที่ 276 ทูต
ทูตของทางแคว้นซีอวี้สวมหน้ากากเรียบๆ ใส่ชุดราบเรียบดูสุภาพ มือทั้งสองข้างไพล่หลังไว้ทำให้บรรยากาศทั้งตัวของเขายิ่งดูเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์ ราวกับได้กลิ่นอายของผู้สูงศักดิ์โดยกำเนิด ทุกย่างก้าวที่เดินล้วนดูนุ่มนวลเห็นได้ถึงกำลังภายในที่ไม่ธรรมดา
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองทูตผู้นั้นอย่างเคร่งเครียดอยู่นาน จนแน่ใจว่าเขาเพียงแค่มีรูปร่างและภาพจำที่คล้ายกับคนผู้นั้นเท่านั้น โดยเฉพาะการที่เขาไม่ปรากฏตัวตั้งแต่แรกและเพิ่งกลับมายังงานเลี้ยง
“ดูท่าแล้วพวกเราคงคิดมากเกินไป คนผู้นี้สองแขนยังอยู่ดีไม่มีทางเป็นเขาได้” ซั่งกวนเซ่าเฉินถอนหายใจ “แต่ที่ไปตรวจสอบมาคือเขาไปที่โรงหมอของมู่เอ๋อร์จริงหรือ?”
หนานกงอี้จือพยักหน้ากำลังจะรายงานข้อมูล แต่หางตากลับเห็นหน้ากากของทูตที่เปิดออกโดยบังเอิญ เขาอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง “ไม่ญาติผู้พี่ พวกเราไม่ได้คิดมากเกินไป”
สิ้นเสียงของหนานกงอี้จือก็มีเสียงกรีดร้องตามหลังทุกคนมา ซั่งกวนเซ่าเฉินหันกลับไปโดยพลัน จึงบังเอิญเห็นทูตของซีอวี้กำลังสวมหน้ากากกลับไปใหม่อีกครั้งพอดี แต่เพียงชั่วครู่นั้นเขาก็ยังทันเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นที่อยู่ภายใต้หน้ากาก
“อามู่เต๋อ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินคิดจะพุ่งเข้าไปทันทีแต่กลับถูกหนานกงอี้จือรีบกอดแขนไว้ “ญาติผู้พี่ท่านคิดจะทำอันใด?”
“เหตุใดเขาจึงเป็นทูตของแคว้นซีอวี้ได้? เขามาทำอันใดที่แคว้นเทียนเฉาของพวกเรา อีกทั้งเมื่อครู่ยังไปที่โรงหมอของมู่เอ๋อร์อีก ข้าจะไปถามให้ชัดเจน!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่นึกว่าชายผู้นั้นไปเจอมู่เอ๋อร์ก่อนที่จะเข้าวังหลวงก็เป็นไปได้สูงที่มู่เอ๋อร์จะตกอยู่ในอันตราย หัวใจของเขาราวกับแขวนอยู่ในลำคออีกครา
“อย่าใจร้อน” หนานกงอี้จือพยายามปลอบเขาอย่างสุดกำลัง “ญาติผู้พี่ท่านยังไม่เข้าใจหรือ? เหตุใดอามู่เต๋อจึงยังไม่ตาย? แขนของเขาที่ขาดไปแล้วเหตุใดจึงกลับมาได้? เหตุใดจึงไปพบมู่เอ๋อร์ก่อน แล้วเหตุใดทูตจึงเป็นเขา? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่องค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์บอกว่าสถานะของทูตที่มาคืออันใดเล่า?”
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในสมอง ซั่งกวนเซ่าเฉินราวกับถูกฟ้าผ่าจนหวั่นไหวผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังเรียกสติกลับมาไม่ได้
แต่เขาก็รีบดึงความคิดกลับมาและกลับเข้าไปในงานเลี้ยงอีกครา ในยามนี้ตั้งแต่ต้นทุกคนยังไม่อาจดึงสติกลับมาจากเสี้ยวหน้าอันดุร้ายของทูตจากแคว้นซีอวี้ได้ ต่อให้เขาจะสวมหน้ากากกลับไปใหม่และคำนับฮ่องเต้อย่างมีมารยาท ทว่าทุกคนก็ยังมองเขาราวกับมองสัตว์ร้ายแสนอัปลักษณ์
“เสด็จพ่อ ได้ยินว่าทูตจากแคว้นซีอวี้เข้าวังหลวงมาแล้วลูกจึงมารอพบพ่ะย่ะค่ะ แต่เหตุใดจึงรู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาทูตผู้นี้นัก?” ซั่งกวนเซ่าเฉินก้าวเข้าไปหาอามู่เต๋อทีละก้าว ท่าทีเยือกเย็นราวกับธารน้ำแข็งหมื่นปีแผ่ไปทั่วร่างทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือกโดยพลัน
ทูตจากแคว้นซีอวี้รับสายตารุนแรงมาอย่างกล้าหาญ หลังจากดื่มเหล้าหมดไปแก้วหนึ่งอย่างสุขุมด้วยท่าทีไม่รีบไม่ร้อนก็ยิ้มมองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉิน “องค์ชายรองหาได้มองผิด ข้าคืออามู่เต๋อที่สู้รบกับท่านในสนามรบที่ชายแดนมาหลายเดือน เป็นองค์ชายรองแห่งแคว้นซีอวี้และเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของเหยาเหยาอีกด้วย”
หลังจากสิ้นคำพูดของเขาก็เกิดเสียง ‘ฮือฮา’ ดังอื้ออึงในงานเลี้ยงอันเงียบสงบโดยพลัน
ทุกคนรวมทั้งฮ่องเต้ล้วนคาดไม่ถึงว่าทูตที่ถูกส่งมากับองค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ในครานี้จะเป็นองค์ชายแห่งแคว้นซีอวี้ ทั้งยังเป็นแม่ทัพใหญ่ที่สู้รบกับแคว้นเทียนเฉา
ตามหลักแล้วคนผู้นี้คือศัตรู
มิน่าเล่าเขาที่เป็นเพียงแม่ทัพคนหนึ่งถึงได้มีสิทธิยิ่งใหญ่ในการแสดงการจำนนของแคว้นซีอวี้ทั้งหมดต่อแคว้นเทียนเฉา
“เจ้ายังกล้ามาที่แคว้นเทียนเฉาอีกหรือ?” มือทั้งสองข้างของซั่งกวนเซ่าเฉินกำหมัดแน่น ก้นบึ้งของดวงตามีความเกลียดชังอามู่เต๋ออย่างรุนแรง
เห็นสายตาของทุกคนที่แทบจะทนไม่ไหวจนอยากจับพี่ชายกิน มั่วจวินเหยาก็กอดแขนของอามู่เต๋ออย่างสนิทสนม “เสด็จพ่อบอกว่านี่เป็นการแสดงความจริงใจที่ต้องการสงบศึกอย่างชัดเจนเพคะ ดังนั้นจึงตั้งใจส่งนายพลที่ทำศึกกับแคว้นเทียนเฉาทั้งยังเป็นเสด็จพี่ของหม่อมฉันมาทำหน้าที่ทูตด้วยตัวเอง ทำไมหรือเพคะ หรือแคว้นเทียนเฉาไม่พอใจกับการกระทำของพวกเราเพคะ?”
มั่วจวินเหยาสร้างภาพจำที่ตราตรึงกับทุกคนว่านางเป็นผู้ที่กล้าพูดกล้าทำ นางเชิดหน้าอย่างทะนงตน “ทหารสองฝ่ายสู้รบกันย่อมมีบาดแผลในใจ การบาดเจ็บล้มตายล้วนยากที่จะเลี่ยง บนสนามรบทุกคนล้วนเป็นศัตรูแต่ในยามนี้พวกเราขอสงบศึกและเป็นพันธมิตรกันแล้ว พวกท่านมองเสด็จพี่ของข้าเช่นนี้ข้ารู้สึกไม่ดีจริงๆ”
พูดจบมั่วจวินเหยาก็เอามือทั้งสองข้างมากอดอกด้วยท่าทีดุร้าย ทำให้บรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนและตึงเครียดเมื่อครู่ผ่อนคลายลงทันที
ทุกคนทั้งส่ายหัวและยิ้มเจื่อนให้นางด้วยท่าทีจนปัญญา มีเพียงซั่งกวนเซ่าเฉินที่ยังมีทีท่าเป็นศัตรูอยู่
อามู่เต๋อดันมั่วจวินเหยาหลบไป ก่อนจะตรงไปยังซั่งกวนเซ่าเฉินคลี่มุมปากอย่างเป็นมิตรราวกับจริงใจอย่างยิ่งยวด “ข้าเป็นองค์ชายรองแห่งแคว้นซีอวี้ ท่านก็เป็นองค์ชายรองแห่งแคว้นเทียนเฉา กล่าวได้ว่าพวกเราล้วนมีสถานะเป็นลูกคนรองของวงศ์ตระกูลช่างบังเอิญเสียจริงมิใช่หรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับคว้าคอเสื้อของเขาและถามอย่างเดือดดาล “อามู่เต๋อเจ้าคิดจะใช้เล่ห์กลอันใดกัน?”
อามู่เต๋อกลับมองไปยังฮ่องเต้อย่างไม่รีบไม่ร้อน “ฮ่องเต้แห่งแคว้นเทียนเฉา หรือนี่จะเป็นมารยาทที่พึงมีในการต้อนรับทูตของแคว้นเทียนเฉาของพวกท่านหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้มองซั่งกวนเซ่เฉินและมองไปยังอามู่เต๋อ ก็เข้าใจความแค้นของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เดือดดาลก็ใช้สายตาให้คนไปดึงองค์ชายรองออกมา “บังอาจ เฉินเอ๋อร์เจ้าก็ได้ยินแล้วว่านี่เป็นความจริงใจของแคว้นซีอวี้ จึงได้ส่งเขาที่เป็นแม่ทัพใหญ่ที่สู้รบกับเจ้าก่อนหน้านี้มา ในเมื่อแคว้นเทียนเฉาของเราตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับแคว้นซีอวี้ เจ้าสองคนก็ควรจับมือปรองดองกันเสีย”
อีกฝ่ายยอมส่งองค์หญิงองค์หนึ่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ในสนามรบยังส่งสัญญาสงบศึกมาให้ ตามหลักแล้วเขาไม่ควรกัดไม่ปล่อยเช่นนี้ แต่ในใจเขามั่นใจยิ่งว่าอามู่เต๋อผู้นี้ต้องมาร้ายแน่นอน
มิน่าเล่าเขาจึงยอมจำนนเองที่แท้ทั้งมดล้วนอยู่ในแผนของเขา
แต่ไม่เป็นไรเพราะที่นี่คือแคว้นเทียนเฉา เป็นอาณาเขตของพวกเขา
“องค์ชายอามู่เต๋อผู้สูงศักดิ์มาเป็นทูตถึงแคว้นเทียนเฉาของพวกเรา แน่นอนว่าย่อมต้องได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติถึงที่สุด พวกเราได้จัดเตรียมตำหนักไว้แล้วหวังว่าท่านทูตจะทำตามกฎเกณฑ์ของแคว้นเทียนเฉา อยู่ในตำหนักชั่วคราวไปก่อนอย่าได้เดินไปทั่วตามใจชอบ” ซั่งกวนเซ่าเฉินปล่อยมือที่จับคอเสื้อก่อนก้าวถอยหลังไป ที่มุมปากแขวนรอยยิ้มชั่วร้ายอีกทั้งคำพูดยังมีความคุกคามอยู่หลายส่วน
อามู่เต๋อมีรอยยิ้มอยู่ภายใต้หน้ากากตั้งแต่ต้นจนจบ ท่าทางราวกับเป็นคำพูดที่ดียิ่ง “องค์ชายรองวางใจได้ ข้าอามู่เต๋อเป็นผู้ที่เข้าใจกฎเกณฑ์อย่างถึงที่สุด สถานที่ใดไม่ให้ไปย่อมไม่ดึงดันจะไป สิ่งที่ไม่ให้แตะต้องย่อมไม่ดึงดันจะแตะต้อง ข้าเป็นทูตของแคว้นซีอวี้จะทำเรื่องใดแน่นอนว่าย่อมคำนึงถึงชื่อเสียงของแคว้นซีอวี้”
แต่หลังพูดจบเขากลับเข้าไปใกล้และใช้เสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนกล่าว “เจ้าวางใจเถอะข้าจะไม่ไปก่อกวนหลิงมู่เอ๋อร์อีก”
ยิ่งเขาพูดว่าไม่ไปแต่น้ำกลับเหมือนจะบอกว่า ‘ข้าจะไปแน่’
“เจ้า…” ซั่งกวนเซ่าเฉินเดือดดาลคิดจะซัดหมัดพุ่งไปที่เขาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ทว่าหนานกงอี้จือกลับรีบเข้ามาคว้าเขาไว้ “ญาติผู้พี่ระวังเรื่องกาลเทศะกับสถานะเสียหน่อย”
“ข้าทำไมหรือ?” อามู่เต๋อจงใจยั่วโทสะเขา “ดูท่าองค์ชายแห่งแคว้นเทียนเฉาจะไม่พอใจการรับปากเมื่อครู่ของข้า ทำไมเล่าอยากตีข้าหรือ?”
พูดจบอามู่เต๋อก็หมุนกายไปมองฮ่องเต้ “ฝ่าบาท แคว้นซีอวี้ของกระหม่อมส่งกระหม่อมมาเป็นทูตเพื่อขอสงบศึกด้วยความจริงใจอย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังส่งองค์หญิงอันเป็นที่รักที่สุดของแคว้นซีอวี้มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่ในยามนี้ดูท่าแล้วความจริงใจของแคว้นเทียนเฉาจะยังไม่พอกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
อามู่เต๋อพูดจบก็นั่งลงบนเก้าอี้ราวกับผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ หยิบถ้วยชามาเล่นในขณะที่จ้องมองพลางนั่งไขว่ห้างด้วยท่าทีไม่คิดว่าที่นี่เป็นงานเลี้ยง ทำราวกับเขาอยู่ในตำหนักบรรทมของตัวเอง ท่าทางอันหยิ่งยโสไม่ถือว่าฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเทียนเฉาเสียด้วยซ้ำ ราวกับเขาเป็นนายใหญ่ของที่นี่
“เจ้าในฐานะของทูตแคว้นซีอวี้ยามที่มาถึงแคว้นเราก็ควรเข้าวังมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้เสียก่อน แต่เจ้ากลับไปโรงหมอนอกวังหลวง ซึ่งทุกคนต่างรู้ว่าเจ้าของโรงหมอนั้นคือแพทย์ทหารที่ตามข้าไปออกรบ ทั้งยังสร้างคุณูปการใหญ่หลวงต่อกองทัพของข้า แล้วไปทำอันใดที่โรงหมอ? จะฆ่าปิดปากหรือ? ขอบังอาจถามองค์ชายรองแห่งแคว้นซีอวี้ว่านี่หรือคือความจริงใจของแคว้นซีอวี้ของพวกเจ้า?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินจงใจเปิดเผยความจริงที่เขาไปหาหลิงมู่เอ๋อร์ต่อหน้าธารกำนัล ทุกคนล้วนรู้ดีว่าระยะนี้ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับหลิงมู่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นในครานั้นเป็นความจริงที่เพราะการว่ากลยุทธ์ของนาง หลิงมู่เอ๋อร์นับว่ามีส่วนอย่างมากที่ทำให้กองทัพได้รับชัยชนะ
แต่ทูตแห่งซีอวี้เมื่อมาถึงแคว้นเทียนเฉากลับไปหาวีรสตรีของกองทัพพวกเขาก่อน จุดประสงค์ของการกระทำนี้คืออันใดช่างน่าพิจารณาอย่างถี่ถ้วนยิ่ง
ทุกสายตาจึงหันไปมองทางอามู่เต๋อโดยพลัน
“องค์ชายรองแห่งแคว้นเทียนเฉาช่างได้รับข่าวไว้จริงๆ” อามู่เต๋อยกชิ้วโป้งขึ้นมาให้เขาไม่มีความคิดจะแก้ตัวหรือปิดบังแม้แต่น้อย “เป็นความจริงที่ข้าไปโรงหมอแห่งนั้น จุดประสงค์ก็เพื่อไปพบหลิงมู่เอ๋อร์ที่เป็นหมอของโรงหมอนั้น ขอกล่าวตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ในสนามรบเปิ่นไชว่สงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับแพทย์ทหารผู้นั้น ได้ยินว่านางไม่เพียงแต่เป็นแพทย์ทหารแต่ยังมีทักษะในการวางกลยุทธ์ยอดเยี่ยม สตรีผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความสามารถเช่นนี้ ข้าจะรู้สึกอยากรู้อยากเห็นก็คงไม่เป็นไรกระมัง?”
อามู่เต๋อยิ้มมองไปยังฮ่องเต้ “เป็นสตรีผู้งดงามและจิตใจดีตามอุดมคติ กระหม่อมยอมรับว่ากระหม่อมสนใจแม่นางผู้นั้นเป็นอย่างยิ่งไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
คาดไม่ถึงว่าอามู่เต๋อสารภาพว่าเขารู้สึกชอบพอหลิงมู่เอ๋อร์เช่นนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินพยายามอย่างยิ่งยวดที่ควบคุมโทสะในใจ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะปรามาสเขาในใจ นี่หรือคือเหตุผลที่เขาประกาศยอมจำนน?
แต่ในแววตาของอามู่เต๋อนั้นถึงอย่างไรก็มองไม่เห็นถึงความลุ่มหลงในความรักที่เขามีต่อหลิงมู่เอ๋อร์ ไม่ จะต้องมีสิ่งใดปกปิดอยู่เป็นแน่
“ไม่ได้แน่นอน!” ซั่งกวนเซ่าเฉินยืนกรานคัดค้านอย่างตรงไปตรงมา
“เพราะเหตุใดเล่า?” อามู่เต๋อไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเบนสายตาไปทางฮ่องเต้ “หรือสตรีในแคว้นเทียนเฉาจะมิอาจรู้สึกชอบพอได้ตามใจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เพราะสตรีผู้นั้นเป็นของข้า!” ไม่รอให้ฮ่องเต้ตอบ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ชิงตอบกลับไปอย่างเด็ดขาด พูดจบแววตาก็ฉายชัดถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อหลิงมู่เอ๋อร์
“อะไรนะ? ตกลงว่าท่านชอบสตรีคนเดียวกับที่เสด็จพี่ของหม่อมฉันชอบหรือ?”
มีความรู้สึกประหลาดใจในทีแรกก่อนที่มั่วจวินเหยาจะมีความคิดไม่เห็นด้วย
นางยืนขึ้นมือทั้งสองเท้าเอวด้วยความโกรธ “หม่อมฉันไม่เห็นด้วย ไม่ง่ายกว่าเสด็จพี่ของหม่อมฉันจะชอบสตรีสักคนหนึ่งท่านจะมาแย่งเขาได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นท่านเอาเปิ่นกงจู่ไปไว้ที่ใดกัน?”
มั่วจวินเหยาชี้นิ้วขาวซีดไปยังใบหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินถามอย่างโกรธเคือง ราวกับว่าหากวันนี้ไม่อธิบายจะไม่ยอมเลิกรา
ซั่งกวนเซ่าเฉินพ่นลมหายใจเย็นเฉียบออกมาจากจมูก ทว่าคำพูดที่คิดจะพูดกลับถูกคนขัดเสียก่อน
“ถึงอย่างไรองค์หญิงก็เป็นเพียงองค์หญิงที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ฝ่าบาทของกระหม่อมใจดีมีเมตตา ด้วยนิสัยขององค์หญิงจึงปล่อยให้องค์หญิงได้เลือกสวามีได้ตามใจ แต่ในเมื่อแคว้นซีอวี้นำความจริงใจอันยิ่งใหญ่มาด้วย เช่นนั้นก็ควรเคารพกฎเกณฑ์ของแคว้นเทียนเฉา สวามีในอนาคตจะเป็นผู้ใดก็ยังไม่แน่นอน ทั้งชายและหญิงล้วนยังไม่ตบแต่ง องค์ชายรองของแคว้นเราจะชอบพอผู้ใดย่อมเป็นอิสระของเขา เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับองค์หญิงเล่า ท่านว่าจริงหรือไม่?”
หลังจากซูเช่อถวายบังคมฮ่องเต้ก็นั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงก็ใช้สายตาส่งสัญญาณให้ไท่จื่อที่อยู่ตรงข้ามอย่างเงียบๆ
มั่วจวินเหยาไม่พอใจซูเช่อที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันเป็นอย่างยิ่งด้วยเพราะยังไม่รู้สถานะของเขา ทั้งยังเห็นว่าเขาแต่งกายต่างจากเหล่าองค์ชายก็เดาได้ว่าเขาหาใช่องค์ชายจึงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา “แน่นอนว่าข้าย่อมเคารพกฎเกณฑ์ของแคว้นเทียนเฉา แต่เรื่องที่เสด็จพี่ของข้าจะถูกตาต้องใจสตรีสักคนเป็นเรื่องยากนัก และยังเป็นเพียงหมอตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง หากได้ติดตามเสด็จพี่ของข้าก็นับเป็นวาสนาของนางแล้ว”
“หืม? ตามความคิดขององค์หญิงคือหากชอบก็ต้องเป็นของท่านหรือ? ที่แท้แคว้นซีอวี้ของพวกท่านก็ใช้อำนาจอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้เองหรือ?”