เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 272 รับผิดชอบ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 10 ตอนที่ 272 รับผิดชอบ
เล่มที่ 10 ตอนที่ 272 รับผิดชอบ
ขอเพียงก้มหัวลงไปก็จะสามารถจุมพิตริมฝีปากแดงนั้นได้ แม้จะเมามายแต่นางก็ยังน่ารักอย่างยิ่ง
แม้แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินยังทนความออดอ้อนของนางไม่ได้ “ได้ๆๆ ข้าจะพาเจ้าไปห้องข้าง เป็นเจ้าที่พูดเช่นนี้เอง”
หลิงมู่เอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงรู้สึกแต่เพียงปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง นางยื่นแขนออกไปคลำบนตู้ที่หัวเตียงด้วยความเคยชิน
“แปลก น้ำเล่า เอาน้ำมาให้ข้า ข้าอยากได้น้ำ”
นางพึมพำก่อนจะพลิกตัวคิดจะหาแก้วน้ำต่อ นิ้วมือราวกับสัมผัสบางสิ่งที่แปลกประหลาดได้ จากที่มึนงงก็กลายเป็นสร่างเมาโดยพลัน นางลืมตาที่หลับอย่างสะลึมสะลือขึ้นมา สายตาปรากฏใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนอยู่เบื้องหน้า
“อ๊ะ! …อืม!”
เพียงจะเปล่งเสียงออกมาคราเดียวก็ถูกคนปิดริมฝีปากแดงเอาไว้ เมื่อใช้ปากไม่ได้นางจึงเริ่มใช้ทั้งมือและเท้า
เรี่ยวแรงของสาวน้อยผู้นี้มากมายเสียจริง ซั่งกวนเซ่าเฉินพ่นลมหายใจออกมาทางจมูก ไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือที่ปิดปากนาง ทั้งยังควบคุมแขนขาทั้งสี่ของนางเอาไว้ด้วย “หากยังตะโกนออกไปทุกคนในจวนหนิงกั๋วโหวต้องถูกเสียงของเจ้าปลุกขึ้นมาแน่ เจ้าต้องการให้เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าก็ส่ายหน้า ใช้สายตาบอกให้เขาปล่อยนางไม่หยุด
แสงจันทร์ส่องสว่างดวงตาสีดำขลับของนางราวกับดวงดาราบนฟากฟ้ายามค่ำคืน ยามที่กะพริบตาก็ราวกับดวงดาวอันเปล่งประกายที่มาเย้าแหย่ความรู้สึกของเขา
ชั่วพริบตาที่ปล่อยมือ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ฉวยโอกาสเปลี่ยนจากฝ่ายที่ถูกกระทำ พลิกตัวขึ้นไปอยู่บนตัวของเขาอย่างรวดเร็ว นิ้วมืออ่อนนุ่มทั้งห้าบีบกรามล่างของเขาอย่างแรงด้วยท่าทีหมายเอาชีวิต “คนสารเลวบอกมาว่าเหตุใดท่านจึงมาอยู่บนเตียงกับข้า?”
หลังศีรษะของนางปวดราวกับจะระเบิด แต่ช่างสมควรตายนักนางดื่มไปกี่มากน้อยกันคาดไม่ถึงว่าจะจำอันใดไม่ได้แม้แต่น้อย
เห็นสีหน้าอันสับสนของนาง ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่เพียงแต่ไม่ขัดขืนทั้งยังเอามือทั้งสองข้างมาหนุนศีรษะอย่างสบายอกสบายใจ “ไม่รู้ว่าเมื่อคืนผู้ใดงอแงยืนกรานไม่ยอมปล่อยข้าไป กอดเอวข้าไว้ไม่ปล่อยทั้งยังบังคับให้ข้ามานอนบนเตียง” เอียงคอเบิกตามองใบหน้าน่ารักของนางที่ขึ้นสีแดงเรื่อโดยพลันอย่างพอใจ ซั่งกวนเซ่าเฉินจงใจเอ่ย “เจ้าจำอันใดไม่ได้เลยจริงหรือ?”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้! ข้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร!” ตื่นตระหนกจนพูดติดขัด เมื่อเห็นสายตาหยอกล้อของเขาหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งเพิ่มแรงที่มือ “ท่านหลอกข้า!”
“หลอกเจ้าไปแล้วจะได้ประโยชน์อันใด?” ซั่งกวนเซ่าเฉินถามกลับบุ้ยคางทำท่าทีให้นางมองตัวเอง “เสื้อผ้าเจ้าทั้งหมดล้วนไม่มีส่วนใดเปลี่ยนแปลงก็ชัดเจนแล้วกระมัง? ไม่เหมือนข้าที่เมื่อสองชั่วยามก่อนมีสตรีบางคนมาเกาะตัวข้าไว้ราวกับปลาหมึก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย เปิ่นหวางจื่อไม่รู้ว่าถูกเอาเปรียบไปมากน้อยเพียงใด เจ้าคิดจะรับผิดชอบข้าอย่างไรหรือ?”
“ข้าเอาเปรียบท่านหรือ? องค์ชายรองสามารถพูดโป้ปดได้อย่างไร้ยางอายช่างมีความสามารถปราดเปรื่องยิ่งนัก!” หลิงมู่เอ๋อร์หายใจถี่อย่างขุ่นเคือง
“หากไม่ได้เอาเปรียบข้า เช่นนั้นยามนี้เจ้ากำลังทำอันใดอยู่เล่า?”
หลิงมู่เอ๋อร์ก้มหัวเพิ่งตระหนักได้ว่านางกำลังขี่อยู่บนเอวของเขาราวกับเป็นม้าตัวใหญ่ ท่าทีโอ้อวดศักดาราวกับจะกู่ก้องโบกธงแห่งชัยชนะ
การกระทำเช่นนี้ทำให้คนหน้าแดงใจเต้นไม่เป็นส่ำ แม้แต่นางที่มีความทะนงตนและหาใช่คนคิดเล็กคิดน้อยก็ยังรู้สึกอับอายจนทนไม่ไหว
รีบกระโดดลงมาจากร่างของเขาร่วงลงไปข้างเตียง “ข้ายอมรับว่าดื่มไปไม่น้อยแต่ถึงจะเมาข้าก็หาได้กินไม่เลือก อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่านี่เป็นท่านกับแม่บุญธรรมร่วมมือกันจัดฉากข้า ข้าไม่มีวันทำเรื่องเช่นนี้”
เห็นนางโกรธเกรี้ยวอย่างต้องการเหนือกว่า ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า “หากเจ้ายังตะโกนต่อไปทุกคนคงล้วนถูกเจ้าเรียกมาเป็นแน่ ถึงครานั้นทุกคนในจวนหนิงกั๋วโหวก็จะรู้ว่าเจ้ากับข้านอนด้วยกัน เจ้าลองเดาดูเถิดว่าทุกคนจะเชื่อว่าเจ้าบริสุทธิ์หรือ ระหว่างข่าวลือแพร่ออกไปกับเจ้าอธิบายเรื่องใดจะไวกว่ากันเล่า?”
“ใครนอนกับท่าน!” หลิงมู่เอ๋อร์เกรี้ยวกราดจนไม่ทันสังเกตที่เท้า ยามที่หมุนกายไม่ทันระวังจึงก้าวพลาดได้ยินเพียงเสียงข้อเท้าดังกร๊อบคราหนึ่ง
“เกิดอันใดขึ้น?” ซั่งกวนเซ่าเฉินที่กำลังเอ้อระเหยรีบลุกขึ้นมาอย่างเคร่งเครียด
หลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอันใดขึ้นคนก็ถูกเขาอุ้มไปอยู่บนเตียงแล้ว
ยามที่ถูกเขาถอดรองเท้าปักลายก็รู้สึกได้ถึงความร้อนจากฝ่ามือใหญ่ของเขา หลิงมู่เอ๋อร์หดเท้าที่บาดเจ็บกลับมาอย่างกระดากอาย “ไม่เป็นอันใด ข้าเป็นหมอรักษาตัวเองได้”
“มีผู้ใดเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าสตรีที่ถือดีจะไม่ได้ขนมกิน?” ซั่งกวนเซ่าเฉินยืนกรานจับเท้าที่ผุดผ่องของนางไว้ในฝ่ามือมองอย่างเพ่งพินิจ “พอจะต่อได้ อดทนหน่อย”
ทันทีที่สิ้นเสียงก็เห็นเพียงเขาออกแรงเล็กน้อย หลิงมู่เอ๋อร์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวแม้แต่น้อยรู้สึกเจ็บที่เส้นเอ็นและกระดูกที่พลิก หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ ข้อเท้าที่พลิกก็หายดี
“ขอบคุณ” หลังจากกล่าวขอบคุณหลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่มองเขาอีก เดินอ้อมร่างของเขาคิดจะจากไป
“ช่างอยู่ไม่สุขเสียจริง!” ซั่งกวนเซ่าเฉินพึมพำกับตัวเอง หมุนกายไปขวางเบื้องหน้านาง “แม้ว่ากระดูกจะเชื่อมกันแล้วก็ไม่อาจเคลื่อนไหวมากเกินไปได้ เจ้าจะไปที่ใด?”
“ใกล้ฟ้าสางแล้วหากไม่ไปยามนี้จะให้รอจนถูกคนพบเข้าจนมีข่าวลือมากวนใจภายหลังหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามกลับ “องค์ชายรองคงไม่ต้องการให้หม่อมฉันรับผิดชอบจริงๆ หรอกกระมังเพคะ? หม่อมฉันทำคงอันใดไม่ได้หากท่านกล่าวว่าขาดสตรี ถนนเส้นที่สองหลังจวนหนิงกั๋วโหวเหมือนจะมีหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงอยู่ ข้าคิดว่าสตรีที่นั่นหวังจะได้รับผิดชอบท่านอยู่เพคะ”
พ่นลมหายใจออกมาจากจมูกอย่างเย่อหยิ่ง หลิงมู่เอ๋อร์หมุนกายเดินกะเผลกออกไปสามก้าว
ซั่งกวนเซ่าเฉินเม้มริมฝีปากเผยรอยยิ้มจนใจพลางส่ายหน้า ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ก็บังคับให้นางขึ้นไปอยู่บนหลัง
“ซั่งกวนเซ่าเฉินท่านจะทำอันใดปล่อยข้าลง!” หลิงมู่เอ๋อร์ดิ้นรนแต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจลงมาได้
“เท้าเจ้าเป็นเช่นนี้หากเดินกลับเกรงว่าคงได้ฟ้าสางก่อน เปิ่นหวางจื่อมีเมตตาจะไปส่งเจ้า”
นางยืดตัวขึ้นลงอยู่หลายคราจนเขาออกจากจวนหนิงกั๋วโหวอย่างปลอดภัยโดยมีนางอยู่ที่หลัง
นางฟุบลงบนหลังของเขาอย่างมั่นคงรู้สึกได้ถึงแผ่นหลังกว้างอันแข็งแกร่ง มุมปากของหลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้น
นางอารมณ์ดีอย่างยิ่งยวด “องค์ชายรองช่างมีความสามารถนัก ดูท่าบาดแผลเก่าจะหายดีหมดแล้ว”
“ไม่ใช่ว่าดีเพราะได้ยาวิเศษของเจ้าหรอกหรือ” เสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินราวกับเสียงเปียโนบรรเลงอย่างลึกล้ำ “ชีวิตนี้ของข้าถูกเจ้าช่วยไว้ จำไว้ว่าในอนาคตไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็อย่าได้เกรงใจข้า”
“ยามนี้ก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง ปล่อยข้าลง!” หลิงมู่เอ๋อร์แต่ไหนแต่ไรก็หาได้เกรงใจเขา
“ยกเว้นเรื่องนี้” ซั่งหวนเซ่าเฉินไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือ กลับยิ่งกระชับแขนทั้งสองข้างแน่นขึ้น
ราวกับเพลิดเพลินกับร่างบางของนางบนหลังเป็นอย่างยิ่ง “เป็นแมวหรือเหตุใดจึงเบาถึงเพียงนี้?”
“ผิดแล้วเป็นเสือต่างหาก หากท่านยังไม่ปล่อยข้าลงอีกข้าก็พร้อมจะกัดคอท่านทุกเมื่อ!” หลิงมู่เอ๋อร์ลองดิ้นรนอีกหลายครา
ความนุ่มนิ่มของนางมากระทบกับแผ่นหลังแกร่งของเขาทำให้ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่สบายใจ เขายืนอยู่ที่เดิมโดยพลัน “มีใครเคยบอกจ้าหรือไม่ว่าควรอยู่บนหลังของผู้ชายนิ่งๆ เสียหน่อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเคลื่อนไหวเมื่อครู่มีความนัยอันใด?”
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังคิดจะไล่ถามอย่างทึมทื่อ ทว่าหลังจากตระหนักได้ใบหน้างดงามของนางก็ร้อนผ่านขึ้นมาโดยพลัน
ก่อนหน้านี้เหตุใดจึงไม่เคยรู้เลยว่าพี่ใหญ่หน้าหนาเช่นนี้?
แน่นอนว่าที่หมู่บ้านอันเรียบง่ายนั้นซื่อตรงกว่า ดูเอาเถิดพอพี่ใหญ่ออกจากหมู่บ้านตระกูลหลิงก็กลายเป็นคนไร้ยางอายไปเสียแล้ว
มองไปรอบด้านหลิงมู่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้ว “นี่ไม่ใช่ทางกลับจวนตระกูลหลิง”
“รีบร้อนอันใด ก่อนฟ้าสางในเมืองหลวงงดงามมาก” หากไม่เดินผ่านถนนทุกเส้นเจ้าจะรู้ว่ามันพิเศษได้อย่างไร”
ด้วยเหตุนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินที่มีนางขี่หลังจึงเดินไปตลาดแต่ละแห่ง ซึ่งเขาแทบจะเดินไปเกินกว่าครึ่งแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ฟุบลงบนแผ่นหลังของเขาได้ยินเสียงซุบซิบของเขาเป็นครั้งคราว รอบข้างอันเงียบสงบในหูได้ยินเพียงเสียงอันไพเราะของเขาที่น่าฟังอย่างน่าประหลาด
“เอาเถิดหากยังไม่กลับคงได้ถึงรุ่งสางก่อนจริงๆ กลับไปนอนพักผ่อนให้เรียบร้อย ให้สาวใช้หาน้ำแกงแก้เมาค้างให้เจ้าด้วย” เขาลูบผมนางอย่างอ่อนโยน ซั่งกวนเซ่าเฉินอ่อนโยนราวกับพี่ใหญ่
มีชั่วครู่หนึ่งที่ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์เกิดภาพลวงตา นั่นคือพี่ใหญ่ของนางที่ไม่มีความทรงจำ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำของเขาเท่านั้น
สีหน้าตรงหน้าแม้จะไม่ใช่สีหน้านั้นดั่งเมื่อก่อน แต่ความรู้สึกปลอดภัยนี้ก็ทำให้นางมีความคิดที่อยากจะพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
นางส่ายหัวทิ้งความคิดฟุ้งซ่านไป เอียงหัวมองเขาด้วยดวงตาอันน่าหลงใหล นางหลบสายตาอย่างเขินอาย “แล้วพบกันใหม่”
นางรีบพูดจนจบประโยคและแทบจะวิ่งหนีไป
สายตาเขาเห็นแม่นางน้อยเกือบจะเข้าไปในจวนตระกูลหลิงแล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ไม่รู้ว่าเกิดแรงกระตุ้นจากที่ใดทะยานตัวไปเบื้องหน้าของนางอย่างว่องไว
เห็นคนมาปรากฏตัวเบื้องหน้าอย่างกะทันหัน หลิงมู่เอ๋อร์ก็เบิกตากว้าง “ท่านจะทำอันใด?”
“เมื่อครู่เจ้ามีอันใดอยากจะพูดหรือ?”
แย่แล้วถูกเขามองออกเสียแล้ว แต่นางจะยอมรับคำพูดที่อยู่ในใจได้อย่างไร
“ไม่มีอันใดข้า…”
ยังไม่ทันพูดจบริมฝีปากแดงของก็ถูกประกบ
ซั่งกวนเซ่าเฉินกดมือข้างหลังไว้หลังศีรษะของนาง มืออีกข้างควบคุมร่างกายที่อยู่ไม่สุขของนาง จุมพิตร้อนแรงราวกับพายุโหมกระหน่ำที่พัดพามาอย่างกะทันหัน แสงจันทร์ทอดยาวมายังเงาร่างทั้งสองซึ่งไม่ได้สังเกตเห็นคนที่เกือบตกลงมาจากหลังคาฝั่งตรงข้ามแม้แต่น้อย
ซูเช่อที่รออยู่ตรงนั้นมาทั้งคืนเมื่อครู่ยามที่เห็นร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ก็คิดจะลงไปทักทาย แต่กลับเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินพุ่งเข้ามารวมทั้งเห็นฉากที่คนทั้งสองจูบกันเบื้องหน้า
บ้าเอ๊ย หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ปฏิเสธ!
หมัดกำแน่นจนส่งเสียง ดวงตานกการเวกทั้งสองข้างของซูเช่อฉายแววกระหายเลือด คิดอยากพุ่งลงไปแยกคนทั้งสองที่กำลังจูบกันออกอยู่หลายครา แต่สุดท้ายก็ทะยานร่างออกไปจากสถานที่อันแสนว้าวุ่นนั้น
“เหยียเหตุใดท่านจึงไม่บอกแม่นางหลิงให้ชัดเจนหรือขอรับ” จื่อถงมองเจ้านายที่ดื่มเหล้าดับทุกข์อยู่ข้างทาง ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวออกมาจากเงามืด “ท่านชอบพอแม่นางหลิงทุกคนล้วนมองออก แต่เหตุใดท่านจึงไม่บอกความในใจที่แท้จริงต่อแม่นางหลิงหรือขอรับ?”
ดื่มเหล้าลงท้องไปอีกหนึ่งไหก่อนซูเช่อจะฝืนยิ้ม “พูดหรือไม่พูดก็ไม่ต่างกัน เจ้ารู้สึกว่าข้ายังอับอายไม่พอต้องรอให้ถูกนางปฏิเสธด้วยตัวเองอีกหรือ?”
“ข้าน้อยหาได้หมายความเช่นนั้นไม่…” จื่อถงยังอยากพูดอันใดแต่ถูกซูเช่อโบกมือห้ามไว้
จ้องไหเหล้าในมือมองไปยังถนนอันว่างเปล่า เฮ้อ ถนนสายนี้ล้วนมีกลิ่นสมุนไพรของร่างหลิงมู่เอ๋อร์เป็นพิเศษ เมื่อครู่พวกเขาสองคนคงเดินผ่านถนนสายนี้กระมัง
แม้เขาจะยังยิ้มแต่รอยยิ้มนั้นกลับขมขื่นยิ่ง
เมื่อครู่ยามที่แม่นางน้อยอยู่บนหลังของคนผู้นั้น เขาที่อยู่บนหลังคาเห็นอย่างชัดเจนว่าสตรีผู้นั้นมีสีหน้ามีความสุขอย่างไม่อาจบรรยายได้เพียงใด
“นั่นคือความสุขที่นางต้องการ สิ่งที่ข้าให้นางมาตลอดหาใช่สิ่งที่นางต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นในยามนี้ถึงเวลาลงมือจริงๆ แล้ว ยิ่งติดต่อกับนางมากก็มีแต่จะนำอันตรายไปให้นางยิ่งขึ้น”
ไหเหล้าอันว่างเปล่าถูกเขาโยนลงพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง
ซูเช่อลุกขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาอันอ่อนโยนในอดีตหลงเหลือเพียงความเย็นชาโหดเหี้ยม
แม้ว่าแผ่นหลังของเขาจะดูโดดเดี่ยวยิ่ง แต่เขาก็ยังยืนหยัดสู้ต่อไปเพียงลำพัง
“ไปที่เรือสำราญ เรื่องที่ข้ารับปากเขาไว้ก็ล้วนทำสำเร็จแล้ว สิ่งที่เขาสัญญาว่าจะให้ข้าก็ควรเอากลับมาได้แล้ว”