เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 5 เชื่อใจ
เล่มที่ 1 บทที่ 5 เชื่อใจ
หลิงมู่เอ๋อร์พูดมีเหตุผล ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่สามารถโต้แย้งได้
คำขอของเด็กสาวตัวน้อย ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้คิดนาน ถึงอย่างไรเขาอยู่ที่นี่คนเดียวก็เหงาเป็นอย่างยิ่ง มีใครสักคนพูดคุยด้วยก็ดี
ซั่งกวนเซ่าเฉินมาถึงหมู่บ้านนี้ได้ห้าปีแล้ว อยู่คนเดียวตามลำพังมาโดยตลอด ชาวบ้านปฏิเสธคนนอก และกำลังของเขาเป็นสิ่งที่คนเหล่านั้นไม่กล้าล่วงเกิน ดังนั้นจึงถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว
เกี่ยวกับเด็กสาวตัวน้อยผู้นี้ เขาพอจะรู้เป็นบางส่วน นางมีพี่ชายหนึ่งคน น้องชายหนึ่งคน พี่ชายพิการ น้องชายไม่พูด กล่าวโดยรวมแล้วล้วนต้องมีคนคอยดูแลเอาใจใส่
เด็กสาวตัวน้อยขยันขันแข็ง มักจะเห็นว่านางช่วยพ่อแม่ทำงานในไร่นาเสมอ เพียงแต่ครอบครัวแรงงานในหมู่บ้าน ถ้าหากที่บ้านมีบุตรสาว ทั่วไปจะล้วนคอยเอาอกเอาใจ แม้ว่าจะไม่เหมือนกับสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ แต่พวกงานสกปรกและเหน็ดเหนื่อยในไร่นาเหล่านั้นพวกนางไม่เคยได้ทำ ทว่าเด็กสาวตัวน้อยผู้นี้นับว่าเป็นหญิงสาวที่ทำงานหนัก
เมื่อก่อนขณะเด็กหญิงตัวน้อยเห็นเขาก็จะเดินเลี่ยงไปไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ที่พักของเขาอยู่ในมุมที่ห่างไกลที่สุดของหมู่บ้าน ยามปกติจะมีน้อยคนนักที่จะมาที่นี่ เขาไม่ได้พบเด็กหญิงตัวน้อยบ่อยนัก เมื่อพบกัน นางก็เหมือนกับหนูที่เจอแมว ได้พบนางในสองวันนี้ รู้สึกว่านางมีความกล้าหาญขึ้นเล็กน้อย ซึ่งแตกต่างจากนางในความทรงจำ ซั่งกวนเซ่าเฉินแบกหมีดำที่อยู่บนพื้นขึ้นมา สาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปด้านล่างภูเขา เดินไม่กี่ก้าว พบว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้เดินตามมา จึงหันกลับมามองที่นาง
หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจความหมายของเขา รีบตามเขาไป ในเวลานี้ท้องฟ้าสว่างแล้ว มีชาวบ้านขึ้นไปบนภูเขาแล้ว นางและซั่งกวนเซ่าเฉินแยกกันที่บริเวณไหล่เขา
ซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นคนที่ชาวบ้านไม่กล้าล่วงเกิน พวกเขาเห็นเขาแบกหมีดำตัวใหญ่ถึงขนาดนี้ นอกจากอิจฉาแล้ว ก็ยังมีความหวาดกลัว แม้แต่หมีดำที่ล้วนฆ่าคนตายก็สามารถฆ่าได้ การจะฆ่าคนธรรมดาสองสามคนนั้นก็นับว่าช่างง่ายดายเหลือเกิน พวกเขาไม่กล้าที่จะลองดีกับเขา เมื่อชาวบ้านเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินแบกหมีดำลงมาจากภูเขา ทำได้เพียงทอดถอนหายใจในความโชคดีของชายหนุ่ม
เมื่อสักครู่นี้ในกับดักของซั่งกวนเซ่าเฉินมีกระต่ายตัวน้อยอยู่ ตอนนี้กระต่ายน้อยตัวนั้นอยู่ในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ แน่นอนว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่กล้าแตะต้องเหยื่อของซั่งกวนเซ่าเฉินโดยพลการ นั่นคือสิ่งที่ซั่งกวนเซ่าเฉินสั่ง บอกว่ามอบให้กับหลิงมู่เอ๋อร์ หลิงมู่เอ๋อร์นึกถึงหมีดำที่ยังต้องทำความสะอาด ในภายหลังจะมอบหนึ่งส่วนให้กับเขาเพื่อเป็นการขอบคุณ จึงไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของเขา
มือข้างหนึ่งนางถือกระต่ายน้อยอยู่ มือข้างหนึ่งหมอบลงขุดต้นตังคุ่ยบนพื้น [1] ผักป่าในฤดูหนาวมีไม่มากนัก นางหาอยู่นานจึงจะหาต้นตังคุ่ยป่าพบ
“หลิงมู่เอ๋อร์” จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า นางเห็นกระต่ายป่าในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ ดวงตาก็เบิกกว้าง “เจ้าจับกระต่ายป่ามาจากที่ใด? ”
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นคนผู้นี้ นึกหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวนางจากความทรงจำ นางเป็นท่านป้าเล็กของร่างนี้ นั่นก็คือหลิงไฉ่เวยบุตรสาวคนเล็กของท่านย่าตัวดีหวังซื่อ
พูดถึงหลิงไฉ่เวย แม้ว่าในขณะเดียวกันจะเป็นบุตรสาวของตระกูลหลิง ทว่าชีวิตของนางนั้นดีเป็นอย่างยิ่ง
หลิงไฉ่เวยอายุสิบแปดปี เป็นบุตรสาวคนเดียวของหวังซื่อและท่านปู่หลิงซง หวังซื่อให้กำเนิดบุตรชายสี่คน หลิงต้าจื้อท่านพ่อของหลิงมู่เอ๋อร์เป็นบุตรคนที่สาม ระหว่างบุตรชายทั้งสี่คนและลูกสาวเพียงคนเดียว ท่าทีของหวังซื่อนั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
บุตรชายที่หวังซื่อรักใคร่ที่สุดคือบุตรชายคนเล็กหลิงหลิน เชื่อฟังคำของท่านย่าเป็นอย่างดี ปีนี้หลิงหลินอายุ 30 ปี แต่งงานแล้ว แต่เกียจคร้านตลอดทั้งวัน สตรีที่เขาแต่งงานด้วยคือหลานซื่อ ซึ่งเดิมเป็นบุตรสาวคนเล็กของร้านเต้าหู้ เพราะเขาถูกหลิงหลินกระทำให้ด่างพร้อยครั้งเมื่อออกไปเที่ยวเล่นหนหนึ่ง จึงจำใจต้องแต่งให้หลิงหลิน ถึงแม้ว่าเป็นเช่นนี้ หลานซื่อกลับไม่มีสถานะในครอบครัว นางมักจะถูกดุด่าดูถูกเหยียดหยามจากหวังซื่อเสมอ
ลูกสาวที่รักที่สุดก็คือหลิงไฉ่เวย หลิงไฉ่เวยโตถึงเพียงนี้ แม้แต่จานก็ไม่เคยล้างสักครั้ง เรื่องอื่นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้แยกบ้าน หลิงไฉ่เวยปฏิบัติต่อหลานชายหลานสาวพวกเขาเหล่านี้ดั่งทาสรับใช้
ในอดีตหลิงมู่เอ๋อร์มักถูกหลิงไฉ่เวยรังแกอยู่บ่อยครั้ง หลิงไฉ่เวยเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ นางก็สาวเท้าก้าวใหญ่วิ่งเข้ามา คิดจะแย่งกระต่ายในมือของนาง
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่สามารถจัดการกับหมีดำได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถจัดการกับสตรีหนึ่งคนได้ เห็นการกระทำดังกล่าว นางจึงหลบไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณ หลบกรงเล็บของนางที่วาดออกมาไปด้านข้าง
หลิงไฉ่เวยตกอยู่ในความว่างเปล่า ร่างล้มลงกับพื้น เสียงดังโครม นางนอนหน้าคว่ำกับพื้น ในปากกินเกล็ดหิมะไปจำนวนไม่น้อย
“ไฉ่เวย…” เสียงอุทานของคนหลายคนดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม
หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งพบว่านอกจากหลิงไฉ่เวยแล้ว ยังมีชายหนุ่มและหญิงสาวอีกหลายคนอยู่ฝั่งตรงข้าม พวกเขาล้วนเป็นชาวบ้านในหมู่บ้าน โดยปกติพวกเขาจะเป็นคนพวกเดียวกันกับหลิงไฉ่เวย
หลิงไฉ่เวยล้มลง ชายหนุ่มผู้หนึ่งรีบร้อนพยุงนางขึ้น ถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอันใดหรือไม่? ”
หลิงไฉ่เวยลุกขึ้นอย่างลำบาก ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยเกล็ดหิมะ ผงแป้งเขียนคิ้วบนคิ้วถูกเช็ดออก เผยให้เห็นคิ้วโก่งโค้งสองเส้น
นางถลึงตาไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างเดือดดาล วาดฝ่ามือไปทางหญิงสาว
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ใช่คนเดิม จะรอให้ถูกทุบตีอย่างโง่เขลาได้อย่างไร? นางเดินไปด้านข้างสองสามก้าว ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ข้าไม่มีอารมณ์เป็นบ้าเป็นเพื่อนท่านอยู่ที่นี่”
“อ๊ะ! ” หลิงไฉ่เวยล้มเหลวอีกครั้ง ใบหน้าของนางเต็มด้วยความโกรธ นางรีบวิ่งไปหาหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังจะจากไป นางทำท่าจะบีบคอหญิงสาวพร้อมก่นด่า “นางสารเลว กล้าดีอย่างไรปล่อยให้ข้าล้ม ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตาย”
หลิงมู่เอ๋อร์ผลักหลิงไฉ่เวยออกไป แผดเสียงต่ำอย่างเย็นชา “ไปให้พ้น! ”
โครม! หลิงไฉ่เวยถูกหลิงมู่เอ๋อร์ผลักจนล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
ชายหญิงสองสามคนที่อยู่ด้านข้างไม่สามารถข่มอารมณ์ไว้ได้แล้ว
เมื่อสักครู่ที่เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ เรื่องสนุกก็โผล่ขึ้นมาในความทรงจำพวกเขา ไม่เคยคิดเลยว่าหลิงมู่เอ๋อร์ในวันนี้ราวกับโดนผีเข้าสิง นึกไม่ถึงเลยว่าจะรับมือยากเช่นนี้
เมื่อก่อนหลิงมู่เอ๋อร์เจอหลิงไฉ่เวย ไม่ว่าจะมีสิ่งของดีๆ อันใดล้วนมอบให้อย่างเชื่อฟังแต่โดยดี วันนี้เพื่อกระต่ายหนึ่งตัว หรือว่านางจะเสียสติไปแล้ว? หิวจนโง่เขลาโดยแท้ จึงไม่รู้วิธีที่จะหวาดกลัวหลิงไฉ่เวยอีกต่อไป ตอนนี้ได้ล่วงเกินหลิงไฉ่เวย ไม่ง่ายเหมือนกับปัญหาการหิวเป็นเวลาสองสามวัน ด้วยวิธีการของหลิงไฉ่เวยกับหวังซื่อ จะต้องทำให้นางอยู่ไม่สู้ตายเป็นอย่างแน่
สตรีสาวนางหนึ่ง นั่นก็คือหลิงหูเตี๋ยลูกพี่ลูกน้องของหลิงไฉ่เวยถลึงตาไปที่หลิงมู่เอ๋อร์แล้วกล่าว “พี่หญิงเวยเป็นท่านป้าของเจ้า เจ้ากล้าผลักนางและทุบตีนาง ไม่กลัวที่จะถูกลงโทษโดยกฎสกุลหรืออย่างไร? ”
“เจ้าเห็นด้วยตาข้างไหนว่าข้าผลักนางทุบตีนาง? ” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา “ข้าเห็นเพียงแต่หัวขโมยผู้หนึ่งที่คิดจะแย่งชิงของของข้า”
“พวกเจ้าเป็นครอบครัวเดียวกัน เหตุใดถึงใจแคบเพียงนี้” บุรุษที่อยู่ด้านข้างกล่าว นั่นก็คือจวงต้าหลินที่พยุงหลิงไฉ่เวยขึ้นมาเมื่อสักครู่นี้
จวงต้าหลินผู้นี้เป็นคู่หมั้นหมายของหลิงไฉ่เวย ทั้งสองได้หมั้นหมายกันเมื่อปีที่แล้ว เป็นช่วงไว้ทุกข์ของจวงต้าหลินพอดี จึงได้เลื่อนมาจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้แต่งงาน
แม้ว่าจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่เรื่องแต่งงานระหว่างทั้งสองคนถูกกำหนดโดยผู้เฒ่าเมื่อนานมาแล้ว ครอบครัวชาวนาไม่มีกฎเกณฑ์มากเท่าตระกูลสูงศักดิ์ ดังนั้นทั้งสองครอบครัวจึงมักไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง
จวงต้าหลินนั้นเป็นบัณฑิต แม้ว่าครอบครัวไม่นับว่าฐานะดี แต่เนื่องจากเขาสามารถอ่านเขียนได้ ดังนั้นที่นี่ก็นับว่ามีหน้ามีตา หวังซื่อเสาะหาบัณฑิตมีหน้ามีตาเช่นนี้ให้กับบุตรสาวได้ ก็คุยโตโอ้อวดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ให้ผู้คนอิจฉาตาร้อน หลิงไฉ่เวยก็พอใจกับคู่หมั้นหมายคนนี้มาก ยามปกติแล้วจะแสดงความรักอย่างสุดซึ้งต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย
“ท่านถึงจะใช่ครอบครัวเดียวกัน ข้าไม่ใช่” หลิงมู่เอ๋อร์อุ้มกระต่ายตัวน้อย มองไปยังบุรุษและสตรีที่อยู่ข้างหน้านางอย่างเฉยชา “ข้าไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั้น ถ้าพวกท่านยังรบกวนข้าอีก ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ”
หลิงไฉ่เวยเมื่อครั้งก่อนกดขี่ข่มเหงหลิงมู่เอ๋อร์จนไม่มีทางต่อต้าน ตอนนี้ได้เห็นนางหยิ่งผยองเช่นนี้ สีหน้าเปลี่ยนจนดูไม่ได้ นางหัวเราะเยาะแล้วกล่าว “พวกเจ้ามัวนิ่งงันทำอันใดอยู่? นางเด็กเลวผู้นี้ไม่รู้ว่าขโมยกระต่ายมาจากที่ใด นางยังกล้าปฏิบัติตัวไร้มารยาทต่อพวกเราเช่นนี้ จับนางมา จัดการให้หนัก ดูสิว่านางยังจะกล้าปากแข็งอยู่อีกหรือไม่”
คนอื่นๆ ต่างพากันมองหน้ากัน พวกเขามองกระต่ายในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ แสงสีแดงแห่งความโลภส่องประกายในดวงตา
คนพวกนี้ล้วนไม่ใช่คนที่ดี ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สมคบคิดกับหลิงไฉ่เวย สาเหตุที่พวกเขาขึ้นบนภูเขา ก็เพราะว่าหิวจนทนไม่ไหว ต้องการขึ้นเขาเพื่อหาอะไรกิน
หิมะรอบนี้ยังคงตกหนักอยู่นาน แม้ว่าในบ้านของพวกเขาจะมีอาหารเหลืออยู่ ทว่าระยะเวลาที่ยาวนานทำให้แบกรับไม่ไหว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้หิวโหยเหมือนหลิงมู่เอ๋อร์มาเป็นเวลานาน แต่พวกเขาก็หิวอยู่หลายมื้อ แต่ละวันทำได้แต่เพียงกินธัญพืชเนื้อหยาบเพื่อให้ผ่านไปวันๆ พวกเขาไม่ได้สัมผัสน้ำมันและเนื้อสัตว์มานานมาก เมื่อเห็นกระต่ายตัวใหญ่ขนาดนี้ ด้วยเหตุผลนี้ไหนเลยจะไม่เกิดความหวั่นไหว?
“เวยเอ๋อร์พูดถูก เด็กสาวตัวผอมบางเช่นนี้ จะจับกระต่ายได้อย่างไร? กระต่ายนี้ต้องเป็นนางที่ขโมยมาอย่างแน่นอน” บุรุษหนุ่มที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างชั่วร้าย
คนผู้นี้เป็นคนเสเพลในหมู่บ้าน โดยปกติเขาเป็นคนไม่เอาถ่าน ถ้าหากในหมู่บ้านไก่หายของหาย เกินครึ่งเป็นเขาที่ทำ
ชายหญิงหลายคนถูกกระต่ายในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ดึงดูดความสนใจ พวกเขาเดินไปหาหลิงมู่เอ๋อร์ทีละก้าว ทีละก้าว และล้อมรอบนางเอาไว้
หลิงมู่เอ๋อร์มองพวกเขาเข้ามาใกล้ตนเองทีละก้าว ทีละก้าว นางกำหมัดแน่น มองพวกเขาอย่างเย็นชา
คนแรกที่ลงมือคือหลิงเวยคนเสเพลผู้นั้น เขามีรูปร่างที่สูงใหญ่ ร่างกายที่อ้วนของเขาใหญ่เป็นสองเท่าของหลิงมู่เอ๋อร์
เขากระโดดคว้าเข้ามาทางหลิงมู่เอ๋อร์ หลิงมู่เอ๋อร์ยกขาขึ้น เตะเขาที่บ้าคลั่งไปหนึ่งฝ่าเท้า
เสียงดังโครม เป้ากางเกงของหลิงเวยส่งเสียงฉีกขาดดังสนั่น
“โอ๊ย! ” เสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังออกไป
ภูเขาทั้งลูกล้วนเป็นเสียงสะท้อนของเขา
คนเหล่านั้นที่อยู่ด้านข้างได้ยินเสียงของหลิงเวย ใบหน้าพวกเขาถอดสี โดยเฉพาะบุรุษเหล่านั้น พวกเขาปกปิดสิ่งสำคัญของตัวเอง สีหน้าท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
หลิงไฉ่เวยมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความงงงวย นางมีสีหน้าราวกับเห็นผี คล้ายกับว่านางไม่เคยเห็นหลิงมู่เอ๋อร์มาก่อน
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าวันนี้ตกอยู่ในมือของพวกเขาจะรอดพ้นไปได้ไม่ง่าย ทั้งหมดเป็นบุรุษสามคนและสตรีสามคน บุรุษสามคนนี้ล้วนเป็นชายชาตรี ประกอบกับสตรีอีกสามคนด้วย ตอนนี้ร่างกายของนางไม่เหมาะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา ดังนั้นในขณะที่พวกเขากำลังงุนงงอยู่ นางอุ้มกระต่ายและวิ่งหนีไปอย่างสุดฝีเท้า
ในเวลานี้ คนผู้หนึ่งคว้าผมของนางไว้ แล้วลากนางกลับไปอย่างโหดเหี้ยม
“นางสารเลว” บุรุษผู้นั้นชื่อหลิงต้าหนิว เป็นพี่ชายของหลิงหูเตี๋ย เขาชอบน้องสาวของหลิงเวย ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้หลิงเวยพอใจ
ตอนนี้หลิงเวยถูกหลิงมู่เอ๋อร์ทุบตีจนสภาพกลายเป็นเช่นนี้ ถ้าหากหลิงต้าหนิวไม่ได้ทำอันใด ก็ยากที่จะอธิบายให้ครอบครัวของหลิงเวยฟัง
เขาดึงทึ้งเส้นผมของหลิงมู่เอ๋อร์ ใช้แรงบิด ทำให้นางสะดุดล้ม ขณะที่เขาต่อสู้กับหลิงมู่เอ๋อร์อย่างสุดกำลัง หลิงมู่เอ๋อร์ดึงปิ่นไม้บนหัวออก แทงไปที่ต้นขาของหลิงต้าหนิวอย่างแรง เสียงดังฉึก ปิ่นไม้เข้าไปในเลือดเนื้อของหลิงต้าหนิว เกิดเสียงไม่น่าฟัง
“กรี๊ด! ” หลายคนที่อยู่ด้านข้างกรีดร้องเสียงแหลม
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะกระทำเช่นนี้ พวกเขาต้องการจับหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ แต่เห็นหลิงมู่เอ๋อร์จับปิ่นไม้ไว้แน่น มองพวกเขาด้วยนัยน์ตาเย็นยะเยือก
แม้ว่าร่างกายนี้จะอ่อนแอมาก และไม่มีพละกำลังแข็งแกร่งเหมือนในชีวิตก่อน แต่การเคลื่อนไหวที่นางเคยร่ำเรียนยังคงอยู่ ถ้าหากวันนี้พวกเขายังกล้าลงมืออีก ก็อย่าโทษว่านางไม่เกรงใจ นางจะคอยดู พวกเขามีหลายชีวิตจะกล้าสู้ตายกับนางที่มีชีวิตเดียวได้อย่างไร
เชิงอรรถ
[1] ตังคุ่ย หมายถึง สมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง ต้นอ่อนหรือใบอ่อนสามารถกินได้ อุดมไปด้วยสารอาหาร มีรสชาติและคุณสมบัติหวานเย็น มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ทำให้ลำไส้ชุ่มชื้น