เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 28 วัตถุดิบเครื่องปรุงรส
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 1 บทที่ 28 วัตถุดิบเครื่องปรุงรส
เล่มที่ 1 บทที่ 28 วัตถุดิบเครื่องปรุงรส
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวลาท่านยายแล้ว นางสะพายตะกร้าสะพายหลังเข้ามาในหมู่บ้าน แล้วก็สะพายตะกร้าสะพายหลังจากไป พวกชาวบ้านที่ยุ่งเรื่องของผู้อื่นเห็นท่าทางตัวเบาของนาง ก็แอบหัวเราะเยาะที่นางมาเสียเที่ยว สุดท้ายก็ไม่ได้สิ่งใดกลับไปเลย ด้วยเหตุนี้ข่าวลือต่างๆ ก็แพร่กระจายออกไปในหมู่บ้านอีกครั้ง กล่าวว่าครอบครัวของพวกเขายากจน และยังกล่าวอีกว่าเมื่อตอนนั้นถังซื่อขายบุตรสาวเพื่อแลกกับความรุ่งเรืองสุดท้ายแล้วก็ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ คำกล่าวที่ไม่ดีต่างๆ ล้วนมีให้ได้ยินหมด หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ยินข่าวลือพวกนั้น แต่ว่าหยางต้าหนิวทำงานอยู่ด้านนอกตลอดทั้งวัน ล้วนได้ยินมัน แต่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อันใด ทำได้เพียงยอมรับทุกอย่างอย่างเงียบๆ
ข่าวลือเรื่องพวกนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ล้วนไม่ได้รับรู้
ในเวลานี้นางสะพายตะกร้าสะพายหลังเดินกลับบ้านไปอย่างอารมณ์ดี ในตะกร้าสะพายด้านหลังนอกจากจะมีไหดองผักแล้ว ยังมีปลาตัวใหญ่อีกสองสามตัว ครั้นตอนใกล้จะถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน นางก็นำเอาปลาและกุ้งตัวเล็กออกมาจำนวนหนึ่ง เหล่าปลาและกุ้งตัวเล็กๆ นี้ต่างหากคือจุดประสงค์ในการไปเยี่ยมเยียนครั้งนี้ของนาง นางจะทำเครื่องปรุงรสทะเล มีเพียงแค่ใช้ปลาและกุ้งพวกนี้ถึงจะทำให้ได้รสชาติเข้มข้นมากพอ สำหรับการใช้น้ำผักดองนั้น แท้จริงแล้วจะใช้มันแทนเกลือ เกลือเป็นสิ่งของราคาแพง ในยามปกติเวลาทำอาหารยังไม่กล้าใช้ ครอบครัวของพวกเขายิ่งไม่มีปัญญาที่จะซื้อเกลือได้ เพราะฉะนั้น ทำได้เพียงใช้น้ำของผักดองเหล่านี้กลั่นออกมา ให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้ก่อนค่อยว่ากันอีกที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชาย น้องเล็ก ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนจากด้านนอกของรั้วบ้าน
หลิงมู่เอ๋อร์รออยู่นานแต่ไม่ได้รับเสียงขานรับ ภายในบ้านเงียบสนิท หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว ในใจมีความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ยามปกติถึงแม้ว่าหยางซื่อและหลิงต้าจื้อจะไม่อยู่ในบ้าน แต่หลิงจื่อเซวียนและหลิงจื่ออวี้จะขานรับนางอย่างแน่นอน ถึงแม้หลิงจื่ออวี้จะไม่พูด แต่ก็จะเดินออกมาต้อนรับนาง เวลานี้เกิดเหตุใดขึ้น? เหตุใดพวกเขาล้วนไม่มีการตอบสนองอันใดเลย? แล้วหลิงจื่อเซวียนล่ะ? ไม่ใช่ว่าเขานอนอยู่บนเตียงหรือ? หรือว่าเขาไม่ได้ยินเสียงเรียกของนางกัน?
“พี่ชาย…” หลิงมู่เอ๋อร์นำสิ่งของวางลง เดินเข้าไปในห้องนอนของหลิงจื่อเซวียน “พี่ชาย…”
ตอนที่อยู่หน้าประตูห้องนอนของเขา นางก็เรียกอีกครั้ง ทว่า กลับไม่มีการตอบสนองอันใดทั้งสิ้น
นางผลักประตูเปิดออกก่อนจะเดินเข้าไป
ภายในห้องรกไปหมด ผ้าห่มนวมที่ควรจะอยู่บนเตียงกลับตกลงมา บนพื้นห้องมีรอยเท้าของคนจำนวนมาก และในนั้นมีสองรอยเท้าที่รอยหนึ่งลึกและอีกรอยเท้าหนึ่งตื้น เห็นได้ชัดว่าเป็นของหลิงจื่อเซวียน
หลิงจื่อเซวียนลงจากเตียงแล้ว!!!
สถานการณ์ของเขาหนักขนาดนั้น เหตุใดถึงลงจากเตียงได้? ผู้ใดบีบบังคับให้เขาลงจากเตียงกัน?
หลิงจื่อเซวียนเป็นคนฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถึงแม้เขาจะอยากทำงานในบ้านมากเพียงใด แต่ก็ไม่น่าจะเอาร่างกายของตนเองมาล้อเล่นเช่นนี้ เหตุใดเขาถึงรีบร้อนลงจากเตียงกัน?
เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
หลิงมู่เอ๋อร์รีบร้อนวิ่งออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางเดินไปมาในหมู่บ้าน คิดจะหาชาวบ้านสักคนมาสอบถามให้รู้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น คิดไม่ถึงว่า วันนี้กลับไม่เจอผู้ใดสักคน
“เสี่ยวโก่วจื่อ” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเด็กผู้ชายอายุแปดปีผู้หนึ่ง ยามปกติเด็กคนนี้จะซุกซนมาก และมักจะเย้าแหย่รังแกเจ้าของร่างเดิม แต่ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาอาฆาตพยาบาทผู้ใด นางต้องการจะถามให้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เสี่ยวโก่วจื่อผู้นั้นเห็นนาง ก็กล่าวด้วยเสียงเหยียดหยามทางจมูก “คนของบ้านเจ้าล้วนอยู่ที่ศาลบรรพชนนู้น!”
“พี่ชายข้าล่ะ?ขาของพี่ชายข้าบาดเจ็บอยู่ เขาอยู่ที่ใด?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามถึงหลิงจื่อเซวียนก่อนผู้ใด ไม่ใช่เพราะว่าเป็นห่วงแต่เพียงเขา แต่เพราะขาของเขาสำคัญยิ่ง
“พี่ชายเจ้าแน่นอนว่าก็อยู่ที่ศาลบรรพชนแล้ว ท่านย่าเจ้ากล่าวว่าครอบครัวของพวกเจ้าอกตัญญู ขอร้องให้ผู้นำตระกูลเปิดศาลบรรพชนสั่งสอนลูกหลานที่ไม่กตัญญู ” เสี่ยวโก่วจื่อกัดนิ้วมือพลางกล่าว “เจ้าคนอัปลักษณ์ ถ้าหากเจ้าไม่อยากซวย ก็หาที่หลบซ่อนซะ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็จะโดนตีด้วย ”
“ท่านพ่อท่านแม่ข้า พี่ชาย และน้องชายข้าล้วนถูกตีแล้วหรือ? ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเสียงดังด้วยสีหน้าที่โกรธจนหน้าเขียว
เสี่ยวโก่วจื่อตื่นตกใจ เดิมทีคนที่ไม่สนใจใยดีต่อสิ่งใดอย่างเขาได้เห็นสีหน้าที่ดูไม่ดีของหลิงมู่เอ๋อร์ ทันใดนั้นในใจก็พลันเกิดความสับสนวุ่นวาย เขาก้าวถอยหลังตัวสั่น กล่าวตะกุกตะกักว่า “พวกเขาจับกระต่ายได้แล้วไม่ยอมมอบของแสดงความเคารพให้ผู้อาวุโส แน่นอนว่าต้องถูกตี นี่ถือว่าเป็นความอกตัญญู ก็ต้องได้รับการลงโทษด้วยกฎสกุล”
“เหอะ!พวกเขานับว่าเป็นผู้อาวุโสของตระกูลได้อย่างไรกัน กระต่ายข้าเป็นคนจับ ข้าไม่อยากมอบให้ ผู้ใดกล้ามาแย่งของข้า?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวออกไป และคิดว่ากล่าวถ้อยคำเหล่านี้กับเด็กผู้ชายไปก็ไร้ประโยชน์ นางรีบสาวเท้าก้าวใหญ่ไปที่ศาลบรรพชน เดินเข้ามาใกล้ถึงศาลบรรพชน พลันได้ยินเสียงด่าทอดังออกมาจากด้านใน และยังมีเสียงร้องไห้อย่างหวาดกลัวของหลิงจื่ออวี้ หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์ราวกับถูกมีดทิ่มแทง
นางรีบสาวเท้าวิ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็ว ปัง!นางหยิบท่อนไม้มาหนึ่งแท่งจากโถงของศาลบรรพชน กระโดดพุ่งเข้าไปด้วยความอารมณ์ขุ่นมัวฉุนเฉียว กล่าวอย่างเย็นชา “ผู้ใดตีท่านพ่อท่านแม่ข้า?”
ในเวลานี้ศาลบรรพชนถูกล้อมรอบเต็มไปด้วยชาวบ้านทั้งด้านในและด้านนอก พวกเขาชี้ไม้ชี้มือไปที่ด้านใน ยังมีบางคนที่กำลังแทะเมล็ดแตงรอดูเหตุการณ์อยู่
ตอนที่หลิงมู่เอ๋อร์พุ่งเข้าไปข้างในนั้น ผู้คนทั้งหลายต่างสะดุ้งตื่นตกใจ พวกเขารีบถอยหลัง หลีกทางให้หลิงมู่เอ๋อร์ทันที
ตอนนี้มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเด็กสาวของบ้านสกุลหลิงผู้นี้เป็นคนฮึกเหิมใจร้อน พละกำลังมหาศาลเหมือนวัว แม้แต่บุรุษที่เป็นผู้ใหญ่ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง วันนี้เห็นนางไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน ทุกคนถึงได้กล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้
ครั้นหลิงมู่เอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้น ทุกคนในศาลบรรพชนก็ต่างมองหน้ากันไปมา ดวงตาแต่ละคู่เต็มไปด้วยความไม่เป็นสุข
ในเวลานั้น หยางซื่อและหลิงต้าจื้อหมอบอยู่ที่พื้น ของเหลวสีแดงสดไหลออกมาจากร่างกายของพวกเขา หลิงจื่ออวี้ที่อยู่ข้างๆ มีใบหน้าบวมเป่ง นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ส่วนหลิงจื่อเซวียนนั้น เป็นเพราะขาของเขาได้รับบาดเจ็บ จึงไม่ได้หมอบหรือคุกเข่าลง แต่นั่งอยู่ที่ตรงนั้น ทว่าบริเวณที่ขาได้รับบาดเจ็บของเขานั้นกำลังมีเลือดไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าแผลที่ได้ทำการผ่าตัดไปนั้นฉีกขาดแล้ว
“มู่เอ๋อร์…” หลิงจื่อเซวียนเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ดวงตาก็เปล่งประกาย ทว่าเมื่อหวนคิดว่าตนเองนั้นช่างไร้ประโยชน์นัก เขาก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าสลดลง
หยางซื่อและหลิงต้าจื้อหมอบอยู่ที่พื้น ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ เมื่อครู่พวกเขาถูกไม้กระดานโบย จนเวียนศีรษะตาลายไปแล้ว ตอนที่หลิงมู่เอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นนั้น พวกเขาไม่ได้ยินเสียง เวลานี้หลิงจื่อเซวียนเอ่ยชื่อของหลิงมู่เอ๋อร์ พวกเขาถึงได้มีสติกลับคืนมา บุตรสาวของพวกเขากลับมาแล้ว
หลิงต้าจื้อกล่าวขึ้น “พวกท่านมีอันใดก็มาลงที่ข้า มู่เอ๋อร์เป็นเพียงเด็กผู้หญิง พวกท่านจะโบยนางไม่ได้ ถ้าหากพวกท่านโบยนาง ภายภาคหน้าจะให้นางสู้หน้าผู้อื่นได้อย่างไร?จะแต่งออกไปอย่างไร?”
หวังซื่อ หลิงซงรวมถึงคนอื่นๆ ในสกุลหลิงล้วนอยู่ที่นี่ มีเพียงแต่ครอบครัวของท่านลุงใหญ่เท่านั้นที่มีสีหน้าที่ทนไม่ได้ ส่วนคนอื่นๆ ล้วนมีท่าทางเหมือนได้ดูงิ้วสนุกหนึ่งฉากอย่างไรอย่างนั้น
หลิงมู่เอ๋อร์มองดูผู้คนที่อยู่ด้านหน้า ดวงตาฉายประกายสังหาร นางกวาดสายตามองชาวบ้านคนอื่นๆ และสุดท้ายสายตาก็ไปหยุดที่ผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเฒ่าอีกสองสามคน นางกล่าวอย่างเย็นชา “ท่านผู้นำตระกูล ผู้อาวุโสทุกท่าน พวกท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?สกุลหลิงของพวกข้ากระทำความผิดอันใด ถึงได้เหยียดหยามท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายน้องชายข้าเช่นนี้?”
หวังซื่อกลัวจนตัวสั่นระริก แอบบริภาษอย่างเงียบๆ “นังเด็กสารเลว ดุราวกับลูกหมาป่า แววตานั้นช่างน่ากลัวจริงๆ ”
หลิงซงก็กลัวจนตัวสั่นเช่นกัน แต่ว่าเขาไม่มีทางบอกผู้อื่นว่าตนเองถูกหลานสาวทำให้กลัวจนตัวสั่น เขายืดอกผายไหล่ผึ่งขึ้น ใบหน้าแก่ชรานั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เจ้ายังกล้ามาถามพวกข้าว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” ผู้นำตระกูลกระทืบเท้า กล่าวอย่างโมโหจนหายใจไม่ทันว่า “พวกเจ้าเป็นผู้น้อย มีเนื้อแสนอร่อย หรือว่าไม่ควรนำของมามอบให้ผู้อาวุโสในตระกูลหรือ?ท่านปู่และท่านย่าของเจ้ายังอยู่ สิ่งที่สมควรเคารพกตัญญูต่อผู้อาวุโสไม่รู้จักเคารพกตัญญู หรือนี่ไม่สมควรได้รับการลงโทษจากตระกูล?ตระกูลของพวกเราไม่มีผู้น้อยที่ไม่เห็นผู้อาวุโสในสายตาอย่างพวกเจ้า”
หลิงมู่เอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่กระต่ายไม่กี่ตัวจะนำเภทภัยมาให้คนในครอบครัวได้ขนาดนี้ ถ้าขาของหลิงจื่อเซวียนได้รับบาดเจ็บอันใดอีกจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ และหลิงจื่ออวี้กลายเป็นคนที่หวาดกลัวและปิดกั้นตนเองมากกว่าเดิมเพราะเรื่องนี้ หยางซื่อและหลิงต้าจื้อได้รับความเสียหายทางร่างกายและมีผลต่ออายุขัยของพวกเขา นางจะไม่ยอมให้อภัยตนเองไปตลอดชีวิต และยิ่งไม่ให้อภัยพวกคนโลภไร้ยางอายพวกนี้อย่างแน่นอน
“เพื่อกระต่าย พวกท่านจะต้องทำร้ายท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายน้องชายข้าเช่นนี้ พวกท่านไม่เคยกินอาหารมาแปดชั่วอายุคน หรือเป็นผีอดอยากที่กลับชาติมาเกิดหรือถึงได้กระทำการอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ ?” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะพลางกล่าว “ถ้าหากพวกท่านอยากจะตาย ข้าก็จะส่งพวกท่านเป็นครั้งสุดท้าย อย่างไรเสียท่านยมราชก็กวักมือเรียกพวกท่านอยู่ที่นั่นแล้วเหมือนกัน ”
“เจ้า!ทรยศแล้ว ทรยศแล้ว ช่างบังอาจถึงที่สุดจริงๆ ” ผู้นำตระกูลคิดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะไม่อธิบาย ไม่ร้องขอชีวิต ไม่หวาดกลัว แต่กลับเป็นคนโหดเหี้ยมและใจดำอำมหิตเช่นนี้ เหมือนกับปีศาจร้ายที่ออกมาจากประตูนรก คำพูดสวยหรูที่พวกเขาเตรียมไว้ถูกตีย้อนกลับจนหมดสิ้น ตอนนี้จะกล่าวสิ่งใดก็ไม่สามารถควบคุมสตรีป่าเถื่อนที่ไม่ได้รับการสั่งสอนผู้นี้ได้เลย
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยคิดที่อยากจะพูดคุยด้วยเหตุผลกับพวกเขา หากอาศัยการใช้ลิ้นพลิกสถานการณ์ นางก็สามารถทำให้พวกเขาเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจได้ ทว่า ตอนนี้นางไม่ต้องการทำเช่นนั้น
เหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้นกัน?พวกเขามีสิทธิ์อันใดที่จะทำเช่นนี้?นางไม่มีความสุข แล้วพวกเขามีสิทธิ์อันใดที่จะมีความสุข?คนในครอบครัวของนางถูกทุบตีแล้ว พวกเขามีสิทธิ์อันใดที่จะอยู่ดีโดยไม่บุบสลาย?
นัยน์ตาของหลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งอึมครึมมากขึ้นเรื่อยๆ และโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน นัยน์ตาของนางแดงก่ำ คล้ายกับใบมีดที่แหลมคม แทงเข้าไปที่หน้าอกของพวกเขาอย่างรุนแรง
นางยกท่อนไม้ใหญ่นั้นขึ้นมา กวัดแกว่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง
“ไม้แรก ตีพวกเหล่าคนหน้าหนาไร้ยางอาย ท่านเป็นผู้อาวุโส ท่านไม่มีความเมตตาต่อพวกข้า ยังคิดอยากให้พวกข้ากตัญญูหรือ?ท่านคิดว่าผู้คนใต้หล้านี้ทุกคนล้วนเป็นคนโง่เขลาหรือ?ท่านนิยมชมชอบการตีผู้คนใช่หรือไม่?แล้วชอบเห็นบุตรชายของตนเองถูกคนทุบตีใช่หรือไม่?วันนี้ข้าก็จะทำให้ท่านรู้รสชาติเหล่านั้นเอง”
“โอ๊ย!” หวังซื่อคิดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะกล้าตีนาง ไม้นั้นตีลงมาไม่ยั้ง ผู้หญิงคนนั้นราวกับคนบ้า ลงมืออย่างไร้ความปรานี นางแก่มาปูนนี้แล้วเกือบจะไม่มีชีวิตรอดอยู่ต่ออีกครึ่งชีวิตแล้ว
ที่จริงหวังซื่อคิดอยากจะเบี่ยงหลบออกไปทางอื่น แต่ด้วยกำลังมือของหลิงมู่เอ๋อร์นั้น นี่ก็ถือว่าเกรงใจมากแล้ว ถ้าหากนางไม่ออมแรง อย่างหวังซื่อผู้นี้จะสู้กับแรงไม้กระบองของนางได้อย่างไร?
“ไม้ที่สอง ตีคนที่ไม่มีเมตตาไม่มีคุณธรรมพวกนั้น ท่านเป็นบิดา แต่กลับไม่มีความเมตตาต่อบุตรชาย เพื่อความปรารถนาของปากท้อง ถึงกับดึงฉุดให้บุตรหลานที่ขาเจ็บต้องมารับการลงโทษที่นี่ ท่านไม่มีความเมตตาต่อพวกข้า พวกข้าก็มีแต่ความเกลียดชังต่อท่าน ไม้นี้ สำหรับไม้นี้ นับตั้งแต่นี้ต่อไป พวกท่านไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับพวกข้าอีก ถ้ายังกล้ารังแกกลั่นแกล้งท่านพ่อท่านแม่ข้าอีกละก็ ข้าจะทำให้พวกท่านอยู่มิสู้ตาย”
“เจ้าคนสารเลว เจ้ากล้า…” หลิงซงเตรียมการป้องกันตั้งแต่หลิงมู่เอ๋อร์เริ่มทุบตีหวังซื่อแล้ว แต่ถึงเขาจะหลบอย่างไร ก็ยังหนีไม่พ้นการลงโทษของหลิงมู่เอ๋อร์ไปได้
หลังจากตีไม้นี้ลงไป สีหน้าท่าทางของเขาโหดเหี้ยม เสียงคุกเข่าลงบนพื้นดังตุบ ประจวบเหมาะเหลือเกิน เขาคุกเข่าอยู่ตรงข้ามกับหลิงจื่อเซวียนพอดิบพอดี
หลิงมู่เอ๋อร์ถือท่อนกระบองไม้ที่อยู่ในมือ กวาดผ่านผู้อาวุโสเหล่านั้นในตระกูลอย่างเย็นชา พวกผู้เฒ่าที่ขาข้างหนึ่งก้าวลงโลงแล้วเหล่านั้นแสดงสีหน้าท่าทางหวาดกลัวออกมา
“หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าทำเช่นนี้อยากจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลใช่หรือไม่?เจ้าช่างไม่มีความยำเกรงต่อสิ่งใดจริงๆ แม้แต่พวกข้ายังกล้าทุบตี ในสายตาเจ้ายังมีกฎหมายบ้านเมืองกับผู้อาวุโสอยู่หรือไม่?” ผู้นำตระกูลกล่าวตัวสั่นเทา
“ถ้าหากในสายตาข้าไม่มีกฎหมายบ้านเมือง สิ่งที่พวกเจ้าจะได้รับจะไม่ใช่แค่แท่งกระบองไม้ในมือของข้า แต่จะเป็นคมมีด ส่วนผู้อาวุโส?พวกท่านเหมาะสมที่จะถูกเรียกว่าผู้อาวุโสแล้วหรือ?อยากจะหัวเราะให้ฟันหลุดจริงๆ ” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะอย่างเกินจริง “ในสายตาของข้ามีเพียงแค่ครอบครัวตรงหน้าเท่านั้น พวกเจ้ากล้าลงมือกับครอบครัวของข้า ก็สมควรที่จะได้รับการแก้แค้นจากข้า แล้วก็พวกเจ้า …”
หลิงมู่เอ๋อร์ถือแท่งกระบองไม้ชี้ไปทางเหล่าชาวบ้านพวกนั้น ชาวบ้านที่เห็นท่าไม่ดีก็พากันหลบหนีอย่างจ้าละหวั่น บางคนรีบมาแก้ตัวให้แก่ตนเอง บางคนก็ร้องขอชีวิตไม่หยุด และมีบางคนก่นด่าอย่างสาดเสียเทเสีย