เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 225 น่าอัปยศ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 225 น่าอัปยศ
เล่มที่ 8 ตอนที่ 225 น่าอัปยศ
ซูเช่อเชื่อว่าปีศาจร้ายตนนี้จะทำอย่างที่พูด
“หากเจ้ากล้าแตะต้องนาง ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยเลือดอย่างแน่นอน” แม้จะถูกคนสองคนจับกุมไว้ เขาก็ยังคงดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง พยายามจะฆ่าอามู่เต๋อด้วยมือเปล่า แต่ในสายตาผู้อื่นเขาราวกับตัวตลกตัวหนึ่งที่กระโดดไปมา ทำอย่างไรก็หาตำแหน่งจริงของอามู่เต๋อไม่พบ
เป็นเจตนาของอามู่เต๋อ ทุกครั้งที่ซูเช่อเกือบจับเขาได้ก็จะหลบหลีกโดยพลัน หลิงมู่เอ๋อร์ที่มองเห็นจากสายตา เล็บยาวก็จิกเข้าไปในเนื้อ
“ซูเช่อ ท่านฟังข้า ดวงตาของท่านใช่ว่าจะรักษาไม่ได้ และข้าไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย พวกเราจะต้องมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้เป็นแน่ ยามนี้ท่านต้องหยุดและใจเย็นลงเสียก่อน!”
ยามที่ได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ ชายที่เดิมทีกำลังหุนหันพลันแล่นก็ราวกับสงบลงในชั่วพริบตา เขายืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบเหมือนเด็กคนหนึ่งที่เชื่อฟังอย่างยิ่งยวด
“โอ้โฮ ช่างเชื่อฟังเจ้าเสียจริง” ใบหน้าของอามู่เต๋อที่สวมหน้ากากอยู่บิดเบี้ยว “แต่การละเล่นนี้ช่างสนุกยิ่งนัก พวกเจ้าจะอดใจหยุดได้อย่างไร?”
เขาราวกับยังสนุกไม่พอ “อืม จู่ๆ ข้าก็มีความคิดว่าแผนการบุกเหล่านั้นล้วนไม่ได้น่าสนใจอันใด อยากดูจวิ้นอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเราแสดงละครเงียบๆ”
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นสายตาที่แฝงเจตนาร้ายของเขา ก็รู้ตัวว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง “เจ้าคิดจะทำอันใด”
“อย่าเครียดถึงเพียงนั้นเลย เพียงแค่อยากทดสอบเสียหน่อยว่าเขาเป็นห่วงเจ้ามากเพียงใด”
อามู่เต๋อพูดอย่างสบายอารมณ์ ราวกับนี่เป็นเพียงการละเล่นง่ายๆ อย่างหนึ่ง
เขาเดินไปเบื้องหน้าซูเช่อ ยื่นมือไปหมายแตะเขา ซูเช่อรับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังเคลื่อนเข้ามาจึงต่อต้านโดยพลัน ใครจะคิดว่าอามู่เต๋อจะพลิกฝ่ามือหยิบท่อนไม้ขึ้นมาตีบนเข่าทั้งสองข้างของซูเช่อ
“อ๊าก!”
ท่อนไม้ถูกตีอย่างไม่ลังเล ถึงแม้ซูเช่อจะพยายามอดกลั้นเพียงใดก็อดไม่ได้ที่จะร้องตะโกนออกมาราวกับหมูถูกเชือด
“ซูเช่อ!”
นางเบิกตามองซูเช่อที่ล้มลงกับพื้น หลิงมู่เอ๋อร์เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง “อามู่เต๋อ เจ้าไม่ใช่ว่าอยากรู้หรือว่าข้ามีสมบัติอันใด เจ้าปล่อยเขาเสีย และไม่ว่าสิ่งใดข้าก็จะบอกเจ้าทั้งหมด!”
“อืม ข้าเชื่อว่าครั้งนี้เจ้าหาได้หลอกข้าไม่ แต่จะทำอย่างไรดีเล่า การละเล่นของข้าเริ่มขึ้นแล้วย่อมไม่มีเหตุผลใดที่ต้องหยุด” เขายักไหล่ยกยิ้มที่ตัวเองคิดว่ากว้างอย่างถึงที่สุด “แม่ทัพเช่นข้าขอเชิญเข้ามาดูละครฉากนี้ เจ้าต้องเห็นคุณค่าหน่อยเล่า ข้าหาได้เรียกเก็บเงินไม่”
เมื่อคำพูดสิ้นสุดเขาก็คว้าคอเสื้อของซูเช่อยกขึ้นมาอีกครา ซูเช่อที่เข่าทั้งสองข้างถูกตีอย่างรุนแรงฝืนทนยืนหยัดให้ตรง แต่ร่างก็สั่นอย่างรุนแรง
“ไอ้สารเลว เจ้าควรดีใจอย่างถึงที่สุดแล้วอย่าให้ข้าได้มีชีวิตรอดออกไปได้ หาไม่แล้วข้าจะสับเจ้าให้เป็นหมื่นชิ้น!” ซูเช่อกัดฟัน แม้ว่าจะเจ็บปวดรวดร้าวเจียนตาย เขาก็ยังคงต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว เพราะเขารู้ว่าในยามนี้เขาไม่อาจล้มลงได้ เขาเป็นผู้เดียวที่สามารถช่วยหลิงมู่เอ๋อร์ได้
“เป็ดตายยังปากแข็ง [1] ดี ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะเก่งไปได้ถึงเมื่อใด!”
อามู่เต๋อปล่อยเขา ซูเช่อเดินซวนเซไปมาไม่กี่ก้าว แต่เขารีบจับกำแพงหยุดไว้ได้อย่างรวดเร็ว
“เจ้าวางใจเถอะ หากเจ้าสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ แน่นอนว่าข้าย่อมให้โอกาสได้สู้ตัวต่อตัวแน่ แต่ในยามนี้ข้าอยากให้เจ้าคุกเข่าเรียกข้าว่าบิดา”
คำพูดที่เปล่งออกมาอย่างเกียจคร้าน ทำให้ซูเช่อและหลิงมู่เอ๋อร์ล้วนตื่นตะลึง
ให้จวิ้นอ๋องน้อยผู้องอาจพูดคำนี้ ไม่มีสิ่งใดน่าอัปยศไปมากกว่านี้อีกแล้ว อามู่เต๋อกุมจุดอ่อนของเขาไว้ได้อย่างง่ายดาย
“อย่าฟังเขา!” หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหน้าไม่หยุด “ซูเช่ออย่าไปหลงฟังเขา ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดก็อย่าฟังเขา เขาตั้งใจจะทำลายแนวป้องกันของท่าน เชื่อข้า อีกไม่นานจะมีคนมาช่วยพวกเรา ยืนหยัดต่อไป!”
อามู่เต๋อจับหู “แม่นาง เจ้าช่างเสียงดังเสียจริง”
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้ยินประโยคนี้ก็รีบเอาผ้าไปปิดปากหลิงมู่เอ๋อร์ไว้
ยามที่ซูเช่อได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ก็ลนลานในทันที “พวกเจ้าทำอันใดกับมู่เอ๋อร์!”
“แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่คนตาบอดเช่นเจ้าทำไม่ได้ นางเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง เจ้าว่าพวกข้าจะทำอันใดกับนางเล่า”
อามู่เต๋อตะโกนเสียงดัง “เข้ามา ถอดเสื้อผ้าของนางเสีย”
“อย่า!”
“แควก!”
เสียงตะโกนดังขึ้นแทบจะพร้อมกับเสียงเสื้อผ้าที่ฉีกขาด
ซูเช่อที่ได้ยินกับหูใบหน้าพลันซีดเผือดในทันใด
“อามู่เต๋อไอ้สารเลว!”
เขาพุ่งเข้ามาหมายสู้ตายกับอามู่เต๋อ แต่อีกฝ่ายเตะเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ซูเช่อเข้ามุมแล้ว
“จิ๊ๆๆ ตาบอดแล้วยังต้องกลายเป็นคนขาเป๋อีก จวิ้นอ๋องน้อยของพวกเราช่างน่าเวทนาเสียจริง แต่จะทำอย่างไรดีเล่า ผิวของแม่นางผู้นี้ทั้งขาวทั้งนุ่ม หากส่งไปให้พี่น้องทั้งหลายของข้าเช่นนี้คงนับว่าเสียของแล้ว” อามู่เต๋อพูดไปส่ายหัวอย่างผิดหวังไป
“อย่ามัวแต่เหม่อ ถอดต่อ”
เสียงฉีกขาดดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังเพิ่มเสียงร้องฮือๆ ของหลิงมู่เอ๋อร์ ซูเช่อที่มองสิ่งใดไม่เห็นเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง “อย่า อย่าทำเรื่องอันใดกับนาง อามู่เต๋อเจ้าปล่อยนางไปเสีย!”
“หยุด” เมื่อเขาโบกมือราวกับกษัตริย์ผู้มีอำนาจ เสียงผ้าฉีกขาดก็หยุดลง
อามู่เต๋อเดินไปเบื้องหน้าซูเช่อ บีบคางเขาอย่างรุนแรง “ข้าจะฟังเจ้าโดยไม่ข่มเหงนาง แต่ข้าให้เวลาเจ้าเพียงนับถึงสาม หากเจ้ายังไม่คุกเข่าเรียกบิดา คนของข้าจะโถมเข้าไปทันที และเพียงครู่เดียวเจ้าจะได้ยินเสียงที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่า”
อามู่เต๋อตบหน้าของเขา เสียงที่เกียจคร้านดังขึ้น “หนึ่ง”
หลิงมู่เอ๋อร์ที่เห็นก็ส่ายหน้าไม่หยุด นางอยากบอกซูเช่อว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องลวง แต่เมื่อเปิดปากก็มีเพียงเสียงอู้อี้ออกมา
“สอง” อามู่เต๋อดึงนิ้วหัวแม่มือราวกับมีความอดทนอย่างยิ่งยวด มุมปากคลี่รอยยิ้มพึงพอใจอยู่ตลอด
“อย่า ซูเช่ออย่า!” หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนก้องในใจ หวังว่าเขาจะสามารถส่งกระแสจิตกับตนได้ นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตัวเองจะสามารถช่วยอะไรเขาได้ ใช่ นางไม่อาจส่งเสียงใดได้ ซูเช่อก็มองไม่เห็นอาศัยเพียงการได้ยินเท่านั้น หากนางยังร้องฮือๆๆ ต่อไปจะทำให้ซูเช่อคิดว่านางกำลังถูกข่มเหง
ซูเช่อไม่ได้ยินเสียงใดของหลิงมู่เอ๋อร์ ในใจเขาก็เริ่มตระหนก “มู่เอ๋อร์ มู่เออร์เจ้าเป็นอันใดไป?”
“อย่าห่วงเลย นางสบายดียิ่งนัก หากเจ้าไม่ทำตามอีกเพียงชั่วครู่นางจะยิ่งมีความสุขทีเดียว”
อามู่เต๋อไม่หันกลับไป มองตรงไปยังซูเช่อที่ดื้อดึง “ยามนี้ เหลืออีกเพียงเลขเดียว สาม…”
“ข้า…จะทำ!”
แทบจะเป็นการกัดฟัน เขาแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง ซูเช่อกำมือทั้งสองแน่น หลังจากฝืนพยุงร่างของตัวเองขึ้น นางเห็นเพียงเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้นพร้อมเสียงหนักๆ กระทบพื้นหนึ่งเสียง
“ซูเช่อ!” หลิงมู่เอ๋อร์หลับตาแน่น น้ำตาคลอหน่วย ในใจปวดร้าวอย่างถึงที่สุด
นี่คือซูเช่อคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ชายผู้นี้อ่อนโยนต่อนางอยู่เสมอ
แม้จะเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ แต่ต่อหน้านางก็จริงใจอยู่ตลอด หาได้มีแผนการใดไม่ ตลอดมาชายอ่อนโยนผู้นี้จะยืนอยู่ท่ามกลางหิมะสวมชุดขาวเสื้อคลุมสีน้ำเงิน และถือเตาไฟไว้ในมือ
แต่ในยามนี้ เขากลับดูจนตรอกเสียยิ่งกว่าขอทาน
เกรงว่าทั้งชีวิตเขาคงไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะต้องคุกเข่าให้ศัตรู และทั้งหมดนี้ยังเป็นเพราะนาง ผู้หญิงที่ตลอดมาหาได้เคยเชื่อมสัมพันธ์ใดกับเขาไม่!
“เชื่อฟังดีเสียจริง มาเรียกบิดาเสียสิ” อามู่เต๋อยังไม่พอใจ ยั่วยุให้เขาทำเรื่องน่าอัปยศยิ่งกว่าเดิม
หากสามารถมองเห็นยามที่ตัวเองพูดได้ เขาจะต้องพบว่าใบหน้าของเขาดุร้ายอย่างน่ากลัว ร่างกายเคร่งขรึมราวกับจะระเบิด ซูเช่ออ้าปากอย่างยากลำบาก “…พ่อ”
“ฮ่าๆๆๆ อ่า เด็กดี!”
ในที่สุดเขาก็พอใจ อามู่เต๋อเงยหน้าหัวเราะอย่างสมใจ
“สหายทั้งหลายดูเอาเถิด จวิ้นอ๋องน้อยของทัพศัตรูยามนี้เป็นลูกชายที่ว่าง่ายของข้าเสียแล้ว แล้วยังต้องกลัวว่าพวกเขาจะไม่ยอมจำนนอีกหรือ?” เขากางแขนทั้งสองข้าง แยกเขี้ยวยิงฟันอย่างสุขล้น
ซูเช่อเล็งหาโอกาสเตะคราหนึ่ง การเตะครั้งนี้เขาใช้กำลังภายในทั้งหมด
ได้ยินเพียงเสียงร้องของอามู่เต๋อที่ถูกเตะไปไกลหลายก้าวอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ไอ้สารเลว!”
ดวงตาของอามู่เต๋อแดงฉาน ดึงดาบออกมาจากเอวของทหาร หมายจะแทงไปที่ซูเช่อ
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่สนใจผู้ใดอีกต่อไป ในใจภาวนาไม่หยุดว่า เคลื่อนย้าย เคลื่อนย้ายชั่วพริบตา
เดิมทีเพียงแค่ลองดูเท่านั้น คาดไม่ถึงว่ามิติเทพของนางจะแผ่พลังงานออกมามหาศาล นางที่ถูกมัดไว้เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาไปเบื้องหน้าของซูเช่อ นางพ่นเข็มเงินออกจากปากไปยังแขนของเขา
อามู่เต๋อคาดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้และถูกจู่โจม ยามที่ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา พิษของเข็มเงินสามเล่มบนแขนก็กำเริบ
ดาบยาวตกลงพื้นดัง ‘เคร้ง’ “นี่ นี่มันเป็นไปไม่ได้ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เขาหันกลับมามองอย่างประหลาดใจ ทั้งยังมองไปรอบตัว นี่ไม่ใช่ภาพหลอน คาดไม่ถึงว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะหาใช่ภาพหลอนไม่
“เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไร…”
อามู่เต๋อชี้ใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์อยู่นานอย่างไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง เขามองท่าทีตื่นตกใจเช่นเดียวกันของทหารโดยรอบอีกครั้ง เขาจึงแน่ใจว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง
เพียงครู่เดียวเขาก็หัวเราะ
“ฮ่ะ ฮ่าๆๆ เป็นของล้ำค่าจริงๆ เหล่าแม่นางน้อยเช่นเจ้านับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ”
ซูเช่อที่ไม่รู้สถานการณ์แม้แต่น้อยจึงไม่รู้ว่ากำลังเกิดอันใดขึ้น เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของอามู่เต๋อก็คิดว่าเขาทำอันใดกับหลิงมู่เอ๋อร์ เขายื่นมือออกไปใช้มือคลำไปทั่ว “ไอ้สารเลว เจ้าทำอันใดกับมู่เอ๋อร์ หากเจ้ามีความสามารถก็มาสู้กับข้า!”
ยามที่มือของซูเช่อเกือบจะสัมผัสกับหลิงมู่เอ๋อร์ นางก็หลบได้อย่างทันท่วงที อามู่เต๋อจับรายละเอียดเล็กน้อยนี้ได้
เขาเข้าใจอย่างรวดเร็วว่า ซูเช่อไม่รู้เรื่องความสามารถเคลื่อนย้ายชั่วพริบตานี้ของหลิงมู่เอ๋อร์
กล่าวคือสิ่งที่นางใช้เมื่อครู่เป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ
สตรีผู้นี้มีความลับที่ยิ่งใหญ่ ไม่อาจทำให้นางขุ่นเคืองได้
“เด็กดี ยามนี้เจ้าเป็นลูกชายผู้ว่าง่ายของข้าแล้ว ข้าจะไปลงมืออันใดกับเจ้าอีกเล่า” ที่แขน เขารู้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ให้ยาถอนพิษกับเขาเป็นแน่ เช่นนั้นยามนี้เขาจำต้องกลับไปแก้พิษทันที
“เห็นว่าวันนี้เจ้าทำให้ข้าพอใจนัก แม่ทัพผู้นี้จะปล่อยพวกเจ้าไปก่อนชั่วครู่ อยู่ในห้องมืดๆ นี่ให้สนุกเล่า พรุ่งนี้ข้าจะมาเอ็นดูพวกเจ้าอีก”
สิ้นคำ อามู่เต๋อก็โบกมือและพาทุกคนหายไปด้วย
แต่ยามที่เดินไปหาหลิงมู่เอ๋อร์ อามู่เต๋อก็ใช้น้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน “แม่นาง เจ้าเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ เจ้าดึงดูดความสนใจของข้าสำเร็จแล้ว”
ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าชั่วขณะหนึ่ง ไม่นานนักในห้องก็เงียบลง ในที่สุดซูเช่อก็ทนไม่ไหว ร่างกายล้มลงไปกับพื้น มือทั้งสองข้างกอดหัวเข่าไว้โดยไม่รู้ตัว แต่ปากยังคงพร่ำเรียกชื่อของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างกังวล “มู่เอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง มู่เอ๋อร์…มู่เอ๋อร์!’
“ข้าอยู่นี่!” หลิงมู่เอ๋อร์รีบเปิดปากพูดให้เขาวางใจ
เห็นใบหน้างดงามที่เดิมมีความฮึกเหิมและตั้งมั่น บัดนี้ไม่ว่าส่วนใดก็ล้วนมีสภาพจนตรอก หลิงมู่เอ๋อร์ก็ปวดใจยิ่ง
นางค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างระวัง พยุงร่างของเขาขึ้นมาเบาๆ “ซูเช่อ เหตุใดท่านต้องทำเพื่อข้าเช่นนี้ ข้าหลิงมู่เอ๋อร์มีดีอันใด…”
รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย และร่างกายที่อ่อนนุ่มของแม่นางน้อย ซูเช่อกินยาลูกกลอนที่นางส่งเข้าปากอย่างวางใจ แต่เขาก็รีบผลักร่างของนางออก พูดด้วยท่าทีน่าเกรงขาม “ข้าขอเตือนเจ้า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ อย่าได้แพร่งพรายแม้เพียงครึ่งคำ ไม่เช่นนั้นเปิ่นจวิ้นอ๋องจะจับเจ้ากรอกยาพิษเสีย”
เชิงอรรถ
[1] เป็ดตายยังปากแข็ง หมายถึง คนดื้อรั้น คนที่ทำความผิดแต่ไม่ยอมรับผิด