เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 5 บทที่ 148 ชื่อเสียง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 5 บทที่ 148 ชื่อเสียง
เล่มที่ 5 บทที่ 148 ชื่อเสียง
“พวกเจ้าได้ยินแล้วหรือไม่? หลายวันก่อนที่แม่นางเซียนแพทย์ออกไปตรวจอาการให้คนข้างนอก ได้ถูกคนลักพาตัวไป ได้ยินว่าถูกจับเข้าไปในป่าลึกอีกด้วย”
“ข้าก็ได้ยินเรื่องนี้แล้ว ยังได้ยินว่าแม่นางไม่ได้กลับตลอดทั้งคืน ถูกโจรกลุ่มหนึ่งจับไปแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นหรือไม่”
ในโรงหมอ ผู้ป่วยสองคนอีกหนึ่งมองหลิงมู่เอ๋อร์ อีกทางกระซิบกระซาบ ในสายตามีความเห็นใจเป็นระยะ
“จะไม่เกิดอะไรขึ้นบ้างได้อย่างไร แม่นางมีรูปโฉมที่งดงามถึงเพียงนี้ ถูกจับไปแล้ว ยังมิใช่อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้นอีกหรือ ข้าได้ยินมาแล้ว โจรพวกนั้นทรมานนางจนถึงเช้าเลยละ”
ชายที่ปากแหลมแก้มตอบดุจลิง จิตใจชั่วร้ายผู้หนึ่งเผยฟันสีเหลืองออกมาเป็นแถบ ในยามที่มองหลิงมู่เอ๋อร์นั้น ลูกนัยน์ตาขยายใหญ่ เผยสีหน้าละโมบออกมา
ทุกคนเมื่อได้ฟังเช่นนี้ พากันหันศีรษะไปด้วยความอยากรู้ “จริงหรือ? เช่นนั้นแม่นางเซียนแพทย์ของพวกเรามิใช่…”
“ในเมืองหลวงล้วนลือกันไปทั่วแล้ว คำพูดเช่นนี้ยังจะเป็นเท็จได้อีกหรือ?” ชายที่พึ่งพูดเมื่อครู่ตบอกรับรอง “น่าเสียดายจริงๆ เสียดายแล้ว ได้ยินว่าแม่นางกำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกบ้านสามีถอนหมั้นหรือไม่ ”
“ถอนหมั้นแล้วก็ดี บิดาชมชอบนางมานานแล้ว จะได้แต่งกลับบ้านไปเป็นอนุคนที่สิบแปดของข้า”
ในกลุ่มคนมีเสียงหัวเราะประสานดังออกมาไม่หยุด มีคนเปิดปากก็มีคนรับคำ เสียงหัวเราะที่ไร้ยางอายดังเต็มไปหมด
นับตั้งแต่ออกจากประตูบ้านมาจนถึงตอนนี้ หลิงมู่เอ๋อร์มักเห็นคนซุบซิบนินทา ขอเพียงเป็นสถานที่ที่นางผ่านไป คนด้านหลังล้วนชี้มือชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์นาง
ร่างตรงไม่กลัวเงาเอียง เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็คือไม่เคยเกิดขึ้น นางขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับคนพวกนั้น คิดไม่ถึงว่า ข่าวลือเช่นนี้กลับมาถึงโรงหมออย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
“คุณหนู คนพวกนั้นก็เกินไปแล้ว ให้ข้าไล่พวกเขาออกไปเถิดนะเจ้าคะ?” สีหน้าของซางจือเต็มไปด้วยความโมโหไม่ยินยอม หยิบไม่กวาดขึ้นมาได้ก็จะบุกออกไป
“ช่างเถอะ ดำจะอย่างไรก็ดำ ไม่อาจเปลี่ยนเป็นขาวได้ เจ้าไปตอนนี้ มิใช่กลายเป็นการยืนยันคำพูดของพวกเขาหรือ ไปนั่งตรวจอาการซะ!”
“คุณหนู!” ซางจือกลืนความโมโหนี้ไม่ลง แต่คุณหนูกลับมีท่าทีราวจะไม่โต้ตอบต่อเรื่องต่างๆ นางโมโหจนได้แต่กระทืบเท้า
หลิงมู่เอ๋อร์มองสองสามคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไกลๆ เป็นพวกบุตรหลานของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ในยามปกติแล้วเอาแต่เล่นไม่ทำงาน เกกมะเหรกเกเรจนชินแล้ว แน่นอนว่าในปากสุนัขย่อมมิอาจงอกงาช้าง
เรื่องที่นางถูกลักพาตัวเหตุใดจึงลือออกไปได้ แค่คิดก็สามารถรู้ได้แล้ว ซูเช่อมิใช่กล่าวแล้วหรือ เรื่องประเภทนี้ไม่ต้องให้นางลงมือ เขาย่อมจะจัดการเอง นางคิดว่าก็ถูก ตอนนี้หากนางออกไปถกกับคนพวกนั้น มีแต่จะทำให้ข่าวลือยิ่งโหมแรงขึ้นไปอีก ถึงเวลานั้นยิ่งวาดยิ่งดำ [1] ยังมิสู้ปิดปากตั้งแต่ตอนนี้
“คนต่อไป”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่แม้จะเงยหน้า มองดูข้อมือขาวหนาที่ยื่นมาเบื้องหน้า นางจับชีพจรให้ก่อนอย่างเคยชิน ใครจะคาดว่าข้อมือของบุรุษพลันพลิกกลับ จับมือละเอียดบางของนางไว้ สายตาไล่ขึ้นไป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเนื้อย้อยนั่น เต็มไปด้วยความไม่ปรารถนาดี “ฮี่ๆ แม่นางเซียนแพทย์ โอ้ไม่ แม่นางหลิง ข่าวที่ลือกันอยู่ด้านนอกในวันนี้ท่านก็คงได้ยินแล้ว ข้าคือเศรษฐีจาง ที่บ้านมีร้านค้าสามแห่ง บ้านพักสองแห่ง และยังมีที่นาชั้นดีอีกหนึ่งร้อยหมู่ หากท่านไม่ขัดข้องแล้วละก็ ตามข้ากลับบ้านไปเป็นอนุลำดับสามเถิด ข้าพึงใจท่านมาตั้งนานแล้ว ด้วยฐานะเช่นนี้ของข้า ท่านก็ไม่เสียเปรียบ ”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองนิสัยดีเหลือเกิน ถึงกลับปล่อยให้เขาพูดจามากมายเพียงนี้เห็นนางออกแรงเบาๆ ทีหนึ่ง เศรษฐีจางก็เจ็บจนร้องโอดโอยออกมา ร่างกายที่อวบอ้วนกระเด้งขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด
“ไอ๊หยา เจ็บ เจ็บ…”
“ไม่ได้หักข้อมือของเจ้านับว่าข้าเมตตาแล้ว ครั้งหน้า หากให้ข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก ข้าจะดึงลิ้นของเจ้าทิ้งซะ ไสหัวไป!”
คร้านจะเปลืองคำพูดกับคนเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ออกแรงทีหนึ่งก็โยนเขาออกไปแต่เศรษฐีจางกลับยังไม่ยอมตัดใจ คลานกลับมาอีกครั้งจากนอกประตูอย่างดุร้าย “เจ้ามันนังหญิงที่ไม่รู้จักดีชั่ว เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้าเป็นตัวอะไร ตัวข้าเศรษฐีจางสามารถพอใจเจ้าได้ ถือเป็นวาสนาที่สั่งสมมาแปดชาติของเจ้าแล้ว ผู้หญิงที่ถูกโจรจับตัวไปสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วคนหนึ่ง ให้เจ้าเป็นอนุ ยังทำให้เจ้าเสียเปรียบอีกหรือ?”
มีความครึกครื้นกลับไม่ดู ล้วนไม่ใช่นิสัยของคนเหล่านี้ รอบด้านรีบมีคนมามุงดูทันที ยังมีคนที่ชี้มายังหลิงมู่เอ๋อร์วิพากษ์วิจารณ์อีกด้วย
“นั่นสิ แม่นางเซียนแพทย์ ถือโอกาสที่ยังมีคนเอา ท่านก็รีบคิดดูแต่งไปเถิด เสียความบริสุทธิ์เป็นเรื่องเล็ก หากในท้องเกิดมีเชื้อพันธุ์ของใครไม่รู้ จะเสียใจก็…” ‘ไม่ทันแล้ว’ สามคำยังไม่ทันได้พูดออกมา ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างอนาถดังมา
หลิงมู่เอ๋อร์ช้อนตาขึ้นมา ก็เห็นภาพที่หนานกงอี้จื้อถีบชายผู้นั้นออกไปในเท้าเดียว
ก็เห็นใบหน้าที่งดงามเป็นพิเศษประดุจภูติพรายนั่นมองทุกคนอย่างดุร้าย “ปากสุนัขมิอาจงอกงาช้างจริงๆ! หากมีคนกล้าดูหมิ่นพี่สะใภ้ในอนาคตของข้าอีก ข้าจะให้พวกเจ้าแต่ละคนหัวหลุดจากบ่า ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
ที่แท้มารร้ายยังมีด้านที่เป็นปีศาจอีกด้วย
หนานกงอี้จือที่มักจะเฮฮาร่าเริงในอดีต ยามบันดาลโทสะขึ้นมาก็ราวจะเทียบเทพเจ้าแห่งโรคระบาดได้ สายตาของหลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่ด้านหลังอีกครั้ง แม้สีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินจะมีไอสังหารลุกโชน นางยังคงราวกับเด็กน้อย กระโดดเข้าไปอย่างแสนเบิกบานยินดี “พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว?”
“จิ๊ๆๆ ถูกคนรังแกถึงขนาดนี้แล้ว ยังยิ้มออกมาได้อีก?” หนานกงอี้จือตัวสั่นขึ้นมา
ซั่งกวนเซ่าเฉินกับหลิงมู่เอ๋อร์ส่งเสียงพร้อมกันว่า “ไสหัวไป!”
ช่างออกแรงแต่ไม่ได้ดีจริงๆ ใบหน้าของหนานกงอี้จือเต็มไปด้วยความน้อยใจ “เฮ้ อย่างไรเมื่อครู่ข้าก็ช่วยระบายโทสะให้พวกท่านไปทีหนึ่ง พวกท่านแค่ขอบคุณคำเดียวไม่พูดก็ช่างแล้ว ยังคิดว่าข้ารังแกง่ายอีกหรือ?”
“เจ้าก็รังแกง่ายจริงนี่นา ไม่อย่างนั้นพวกเราลองดู?” หลิงมู่เอ๋อร์หันสายตากลับมา ใบหน้าที่บริสุทธิ์ขี้เล่นแขวนเต็มไปด้วยความท้าทาย
หนานกงอี้จือกำลังเตรียมจะพูดว่าดี หางตารับรู้ได้ถึงรังสีสังหารอันแข็งแกร่งที่ส่งมา เขาขี้ขลาดในทันที “อย่าๆๆ ข้าปิดปากแล้วยังไม่ได้หรือ พวกท่านถือซะว่าข้าไม่อยู่ ต่อเลย เชิญต่อเลย!”
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่มีอารมณ์ตรวจรักษาอีก ดังนั้นจึงปิดโรงหมอ รินน้ำชาให้ซั่งกวนเซ่าเฉินและหนานกงอี้จือ “ไม่ใช่ได้ยินว่าพวกท่านลงไปที่เจียงหนานแล้วหรอกหรือ เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้? กลับมาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
หนานกงอี้จือดื่มหลงจิ่งชั้นดีไปคำหนึ่ง พอใจจนไม่ต้องการสิ่งใดอีก “หากมิใช่เพราะพี่บุญธรรมของเจ้า พึ่งออกจากเมืองหลวงก็ได้ยินข่าวที่เจ้าถูกลักพาตัว ยังจะไปสนใจทำภารกิจให้สำเร็จได้อย่างไรอีก รีบลงแส้ม้าเร่งกลับมานะสิ ยังดีที่กลับมาได้ทันเวลา”
ในก้นบึ้งจิตใจของหลิงมู่เอ๋อร์มีกระแสความอบอุ่นไหลผ่าน ในใจของพี่ใหญ่นางคือคนสำคัญ คือคนพิเศษ
แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินนับตั้งแต่เข้าประตูมาจนถึงตอนนี้ก็เอาแต่ทำหน้าเย็นชา ราวกับจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้เป็นเช่นนี้ ที่จริงแล้วข้าก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องใดกัน โจรพวกนั้นมาอย่างกะทันหันเกินไป แต่ท่านดูสิ ตอนนี้ข้ามิได้ยืนอยู่เบื้องหน้าท่านอย่างดีหรือ? วางใจเถิด แค่พวกลูกกะจ๊อกไม่กี่คนนั่น ยังไม่ใช่คู่มือของข้า” หลิงมู่เอ๋อร์หมุนตัวรอบหนึ่ง ให้เขาสามารถเห็นชัดเจนว่านางยังครบถ้วนไม่มีที่ใดบุบสลาย คิดถึงโจรพวกนั้นก็มิได้โชคดีเช่นนั้นแล้ว
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะซูเช่อ คิดว่าเขาคงหาวิธีไปจัดการโจรพวกนั้น”
หนานกงอี้จือมิได้รอซั่งกวนเซ่าเฉินตอบ รีบกลืนน้ำชาในคอลงไป ยื่นมือออกมาโบกไปมา “เฮ้อ ต้องให้จวิ้นอ๋องน้อยลงมือไปทำไม มีพี่ใหญ่ของเจ้าอยู่ ยังสามารถกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมนี้ลงไปได้อีกหรือ? ระหว่างทางที่พวกเรากลับมา ได้กำจัดรังของพวกมันไปแล้ว ”
คำนี้กล่าวอย่างมิได้ใส่ใจ แต่กลับทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจจนกรามค้าง
“กำจัดรังของพวกมันแล้ว? ฆ่าคนทิ้งหมดแล้ว?”
หนานกงอี้จือกะพริบตาที่ใสซื่อดวงโตนั่น “ไม่อย่างนั้นละก็ เหลือไว้ตุ๋นน้ำแกงหรือ?”
สวรรค์ของข้า ฆ่าคนไม่กี่คนนี่ ราวกับตบแมลงวันไปไม่กี่ตัวก็ไม่ปาน
“ขอโทษด้วยมู่เอ๋อร์ เป็นข้าที่ไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี”
ในที่สุด ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เอ่ยปากแล้ว ยามที่มองหลิงมู่เอ๋อร์นั้นในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ตอนที่เขาได้ข่าวนั้น คล้ายจะโมโหจนเสียสติไปแล้ว คนพวกนั้นถึงกับกล้าแตะต้องคนของเขา ซั่งกวนเซ่าเฉิน ไม่มีเวลามาสนใจโทษตายจากการขัดราชโองการ เขาพาหนานกงอี้จือควบม้าเร่งแส้กลับมา ไม่เพียงกำจัดโจรพวกนั้นไป ยังนำตัวหัวหน้าโจรกลับมาด้วย
“มีคนตั้งใจเล่นงานเจ้า เจ้ากล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปได้ ข้ากลืนไม่ลง แต่หากอยากจะเอาผิดเขาจริงๆ ก็ต้องมีพยานบุคคลจึงจะได้”ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดจบ ก็ถอนใจอีกครั้ง
“พวกท่านจับคนชุดดำได้แล้วหรือ?” ในดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์มีความนับถืออยู่เล็กน้อย
หนานกงอี้จือรีบเปลี่ยนเป็นเด็กน้อยขี้สงสัยทันที “คนชุดดำอะไร เจ้ารู้ว่าคนที่ลักพาตัวเจ้าเป็นใครหรือ? ”
“ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่ก็เดาได้คร่าวๆ แล้ว ตอนที่ข้าถูกคนลักพาตัวไป หัวหน้าโจรกำลังพบปะกับคนชุดดำผู้หนึ่งพอดี หากข้าไม่ได้เดาผิดแล้วละก็ เป็นผู้มีอำนาจในเมืองหลวง พวกท่าน…” ‘จะจัดการอย่างไร’ กี่คำนั้นยังไม่ทันได้เอ่ยออกมา ก็ได้ยินซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า
“คนผู้นั้นตายแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงงัน ยังคิดว่าเป็นพวกเขาฆ่า หนานกงอี้จือรีบอธิบาย “อย่าเข้าใจผิด พวกเราไม่ใช่พวกกระหายเลือดชอบสังหารพวกนั้น หลังจากจับหัวหน้าโจรแล้วรู้ที่ซ่อนตัวของคนผู้นั้น พวกเราก็เร่งตามไป เสียดายช้าไปก้าวหนึ่ง หนึ่งครอบครัวสามชีวิตล้วนดับชีพไปหมดแล้ว”
แม้แต่หนานกงอี้จือยังเสียดายและเห็นใจจนถอนหายใจ แต่อีกฝ่ายกลับเสียชีวิตอย่างเงียบงันเช่นนี้? อยู่ในเมืองหลวง ในเงื้อมมือของผู้มีอำนาจพวกนั้น ชีวิตคนไร้ค่าดุจดั่งหญ้า ไม่ควรค่าให้กล่าวถึง เพียงนี้
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก และก็รู้สึกว่าน่ากลัว “พี่ใหญ่คงมองออกว่าเป็นผู้ใดทำ?” ที่จริงแล้ว ที่นางอยากถามคือ หรือว่าเป็นซูเช่อ?
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับส่ายศีรษะ “คนผู้นั้นถูกคนปาดคอ แต่ในความเป็นจริง ก่อนที่พวกเขาจะลงมือก็ถูกคนวางยาพิษแล้ว ต่อให้ไม่ถูกสังหารก็ต้องพิษกำเริบจนตาย”
ได้ยินเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์กลับไม่แปลกใจเท่าใดนัก
ทำงานให้คนประเภทนั้น คนที่ทำงานเป็นหน้าม้ารับใช้ยังไม่มีความสำคัญเท่ากับสุนัขตัวหนึ่ง ในยามที่นางหนีออกมา ก็สัมผัสได้แล้วว่าคนผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน คิดไม่ถึงว่า จะอยู่รอดได้ไม่ถึงสามวัน
เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่อาจชี้ไปที่จวนอัครเสนาบดีแล้ว ต่อให้นางคิดแก้แค้นก็สูญเสียโอกาสสำคัญไปแล้ว
“มู่เอ๋อร์เจ้าวางใจ ต่อไปภารกิจทั้งหมดหากอยู่นอกเมืองหลวงข้าจะปฏิเสธทั้งสิ้น จะไม่จากข้างกายเจ้าไปอีกแม้เพียงครึ่งก้าว เรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”
ยังคิดว่าความเสียดายของนางเป็นเพราะถูกลักพาตัวทำให้สะเทือนใจ ซั่งกวนเซ่าเฉินจับมือของนาง
“ข้าว่าพี่ชาย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกท่านจะมากะหนุงกะหนิงกัน ระหว่างทางที่มาท่านยังฟังไม่พอหรือ ตอนนี้ทุกคนต่างกำลังวิจารณ์เรื่องที่พี่สะใภ้ถูกลักพาตัวและสูญเสียความบริสุทธิ์ไป หรือว่าท่านจะไม่คิดหาวิธีจัดการแล้ว?”
คงไม่อาจดึงลิ้นทิ้งหมดทุกคนที่วิพากษ์วิจารณ์กระมัง?
หลิงมู่เอ๋อร์ก็อยากรู้เช่นกันว่าพี่ใหญ่จะทำเช่นไร นางมองซั่งกวนเซ่าเฉินตาไม่กะพริบ รอคอยคำตอบของเขาอย่างเงียบสงบ
เชิงอรรถ
[1] ยิ่งวาดยิ่งดำ เป็นการอุปมาอุปมันว่า กับการเขียนคิ้วว่ายิ่งวาดหรือแก้ก็ยิ่งดำ เหมือนการแก้ตัวว่ายิ่งอธิบายก็ยิ่งดูผิด