เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 67 แจ้งทางการ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 3 บทที่ 67 แจ้งทางการ
เล่มที่ 3 บทที่ 67 แจ้งทางการ
ในกลุ่มฝูงชน หลิงมู่เอ๋อร์ทอดมองงิ้วสนุกฉากนี้
ขอเพียงแค่นางออกหน้า กำลังต่อสู้ของหวังซื่อและฟางซื่อก็ไม่มีค่าพอให้นางเก็บไว้ในสายตา นางรู้ว่าหญิงสองคนนี้เลือกเวลาที่นางไม่อยู่มาสร้างปัญหาก่อเรื่องวุ่นวายโดยเฉพาะ เป็นเพราะรู้ว่าหยางซื่อและหลิงต้าจื้อล้วนเป็นคนซื่อตรง ไม่ได้หน้าหนาเหมือนอย่างเช่นพวกเขา และไม่อาจปฏิเสธความดันทุรังไม่ยอมแพ้ของพวกเขาได้
ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ดูเลยว่าหยางต้าหนิวและหลิงต้าจื้อในบัดนี้เป็นคนจิตใจดีเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่ แต่ถึงแม้ว่าจะใจดีต่อผู้อื่น ก็ไม่ทางที่จะใจดีต่อพวกเขาอีกต่อไป เพียงเพราะว่าพวกเขาทำเรื่องที่ทำให้ครอบครัวของตนเสียใจอยู่หลายครั้ง
นางอยากเห็นความสามารถในการจัดการแก้ปัญหาของพี่น้องสกุลโจว กล่าวให้ถูกกว่านี้ก็คือ นางอยากดูความสามารถของโจวฉี่เยี่ยน เรื่องนี้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ กล่าวว่าเป็นเรื่องเล็กก็ไม่เล็ก ถึงอย่างไรเสียเหล่าอันธพาลที่ไร้สัจจะเช่นนี้รับมือได้ยากเป็นที่สุด ภายหลังเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมต้องมีอีกมากมาย ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ แล้วเรื่องอื่นๆ จะวางใจมอบหมายให้เขาจัดการได้อย่างไร?
ผ่านไปไม่นาน เด็กในร้านก็พาเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการสองคนมาจริงๆ
“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?ผู้ใดก่อความวุ่นวาย?” เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการแผดเสียงออกมาอย่างดุดัน
หวังซื่อและฟางซื่อเนื้อตัวสั่นเทา ครั้นเห็นเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการร่างสูงใหญ่ พวกนางทั้งสองคนถึงได้มีความตระหนกขึ้นมาแล้วบ้างบางส่วน แต่ว่าขิงแก่ย่อมเผ็ด [1] หวังซื่อตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย ไม่นานก็ปรับอารมณ์ของตนเองกลับมาได้อย่างรวดเร็ว นางหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างสั่นเทากล่าวกับเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการว่า “ใต้เท้า! ข้าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเถ้าแก่ร้านนี้ เพียงเพราะว่าข้ากินอาหารของที่นี่แค่หนึ่งมื้อ พวกเขาก็ไปแจ้งทางการให้มาจับข้าแล้วเจ้าค่ะ!ใต้เท้า ท่านช่วยตัดสินให้ความเป็นธรรมด้วยเถิด บุตรชายแจ้งทางการให้มาจับมารดาของตนเองเพียงเพราะแค่อาหารมื้อเดียว หรือว่าเขาไม่สมควรที่จะเลี้ยงดูข้าหรือ?”
เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการขมวดคิ้ว มองไปยังคนทั้งหลาย แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่โจวฉี่เยี่ยน “ผู้ใดเป็นเถ้าแก่ของที่นี่?”
ไม่แปลกใจที่เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการจะมองไปที่เขา เพราะในจำนวนของผู้คนทั้งหมด เจ้าเด็กหนุ่มนี่นับว่ามีลักษณะท่าทางที่โดดเด่นที่สุดแล้ว ดูจากลมปราณที่แพร่กระจายออกมาท่วมตัวเขาแล้วนั้น ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
คนผู้หนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความยิ่งใหญ่และการมีตัวตนอยู่ ไม่แปลกใจที่เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการจะให้ความสนใจเขาเป็นพิเศษ เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการกล่าวไปพลาง และยังแอบพยักหน้าไปพลาง คิดในใจว่าเจ้าเด็กหนุ่มนี่ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ข้าเอง” หลิงต้าจื้อก้าวเดินออกมา “ร้านนี้ข้าเป็นผู้เปิดเองขอรับ”
“สิ่งที่นางกล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่?” เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการเคลื่อนย้ายสายตาไปมองที่หลิงต้าจื้อ “ถ้านางเป็นมารดาของเจ้าจริงๆ เพียงแค่ทานอาหารสักหนึ่งมื้อจะเป็นอันใดไป?ฮ่องเต้รัชสมัยนี้ให้ความสำคัญกับความกตัญญูกตเวทีเป็นอย่างยิ่ง เจ้าอกตัญญูเช่นนี้ ข้ามีสิทธิ์ที่จะจับกุมเจ้า”
“ใต้เท้ามีบางเรื่องที่ยังไม่รู้ ข้ากับหวังซื่อได้ตัดความสัมพันธ์กันไปแล้วขอรับ” หลิงต้าจื้อมองไปที่หวังซื่อด้วยสายตาที่ซับซ้อน
เมื่อก่อนเขาก็เป็นคนที่กตัญญูอย่างโง่เขลาคนหนึ่ง ไม่ว่าภรรยาและลูกๆ จะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหวังซื่อมากเพียงใด เขาก็ให้นางและลูกๆ อดทน จนกระทั่งเกิดเรื่องที่ศาลบรรพชนขึ้น เขาถึงตระหนักได้ว่า ไม่ว่าเขาบุตรชายผู้นี้จะยอมโง่งมงายมากเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนมโนธรรมของมารดากลับมาได้เลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ต้องทำตัวเป็นบุตรผู้กตัญญูแล้ว
“ตัดความสัมพันธ์?” เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการขมวดคิ้ว “ช่างผิดหลักทำนองคลองธรรมเสียจริง มีบุตรชายที่ใดตัดขาดความสัมพันธ์กับมารดาบ้าง?”
“ใต้เท้ามีเวลาว่างมาตำหนิพวกข้าเช่นนี้ ทำไมไม่เอ่ยถามว่าเพราะเหตุใดพวกข้าถึงได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับนางเล่าขอรับ?” หลิงจื่อเซวียนแย้มยิ้มเย็นยะเยือก “ท่านย่าที่แสนดีของข้าท่านนี้เกือบจะตีขาข้าที่เป็นหลานแท้ๆ หัก เพียงเพราะกระต่ายไม่กี่ตัว ทรมานพวกข้าให้มีชีวิตอยู่มิสู้ตาย หลายปีมานี้ พวกข้าก็นับว่าได้แสดงความกตัญญูไปแล้ว แต่ว่าในสายตาของนาง พวกข้ายังเทียบมิได้แม้แต่สุนัข ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดพวกข้ายังต้องเอาใบหน้าที่ร้อนของตนเองไปแนบกับก้นที่เย็นของนาง [2] ด้วยล่ะขอรับ?”
ภายในร้านเกิดเหตุวุ่นวายจนกลายเป็นเช่นนี้ ไม่อาจเปิดกิจการได้ตามปกติ คนจากภายนอกได้ยินว่าในร้านมีเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ก็พรั่งพรูหลั่งไหลกันมาที่นี่ แน่นอนว่ามีชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลหลิงที่คุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ ครั้นพวกเขาได้ยินว่ามีละครงิ้วระหว่างหวังซื่อและหลิงต้าจื้อ จึงได้กล่าวอธิบายว่าเหตุใดครอบครัวนี้ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้
เมื่อคนที่ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดเหล่านั้นรู้ถึงเรื่องที่หวังซื่อเคยก่อเอาไว้ สีหน้าของแต่ละคนพลันแปรเปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนที่เข้าใจในความยากลำบากของหลิงต้าจื้อ เสียงที่ถกเถียงกันไปมาจึงเริ่มเงียบสงบลงแล้ว
“พี่ชายผู้ตรวจการท่านนี้” โจวฉี่เยี่ยนสาวเท้าก้าวขึ้นมาด้านหน้าสองสามก้าว แล้วยกมือทั้งสองข้างคารวะไปที่เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการนายนั้น “พวกข้าได้แจ้งข้อคดีไปแล้ว ตอนนี้ก็มีผู้ก่อความวุ่นวายอยู่ ส่วนจะตัดสินคดีความนี้อย่างไรนั้น นั่นก็เป็นเรื่องของท่านใต้เท้านายอำเภอ ในตอนนี้ผู้ตรวจการควรจะจับกุมคนที่ก่อความวุ่นวายทั้งสองคนนี้ไปมิใช่หรือขอรับ?”
เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการธรรมดา แต่ว่ายามปกติเวลาอยู่ด้านนอกก็มีผู้คนให้ความเคารพ อย่าพูดถึงแต่ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปเลย แม้แต่คนมีเงินก็ยังต้องเกรงใจอยู่หลายส่วน เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ช่างมีความใจกล้ายิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าจะกล้ากล่าวกับเขาเช่นนี้ แต่ว่า… เขาก็มองออกแล้วว่า ขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริตก็ยากที่จะตัดสินเรื่องภายในของครอบครัวเช่นนี้ได้ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาควรเข้ามาก้าวก่าย
“ได้ ในเมื่อเจ้าเป็นคนแจ้งข้อคดี เช่นนั้นก็ไปกับพวกข้า” เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการไม่ได้กล่าวคำพูดไร้ประโยชน์อีก เขาหันไปกล่าวกับหวังซื่อและฟางซื่อว่า “พวกเจ้าที่กินแล้วไม่ยอมจ่าย ก็ไปด้วย!”
ตอนนี้หวังซื่อและฟางซื่อถึงได้ตื่นตระหนกขึ้นมาแล้วจริงๆ หรือว่าจะต้องกลับเข้าไปในคุกอีกแล้วหรือ?พวกนางไม่อยากกลับไปนะ!ที่นั่นช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว
ฟางซื่อและหวังซื่อเพียงแค่ต้องการฉวยโอกาสเอาเปรียบเท่านั้น คิดว่าพวกเขาเปิดร้านใหญ่โตขนาดนี้ ถึงแม้ว่าพวกนางจะมากินอาหารที่นี่ทุกเมื่อ นั่นก็ไม่ได้กินมากมายอันใด ในความทรงจำของพวกเขา หลิงต้าจื้อและหยางซื่อยังคงมีนิสัยที่ขี้ขลาดตาขาว บุรุษที่น่ากลัวคนนั้นก็ไม่อยู่ หรือว่าคนที่ขี้ขลาดราวกับหนูสองคนนี้ไม่สมควรที่จะมาปรนนิบัติรับใช้ทำตามความต้องการของพวกนางหรอกหรือ?
เจ้าคนสารเลวผู้นี้โผล่มาจากที่ใดกัน?นังเด็กแพศยาหลิงมู่เอ๋อร์คนนั้นยังคงล่อลวงชายหนุ่มได้เก่งเสียจริงๆ น่ารังเกียจ!ครั้งนี้ก็เอาเปรียบพวกเขาไม่ได้อีกแล้ว หากรู้แต่แรกเมื่อครู่ก็จะไม่กินไปมากขนาดนั้นแล้ว เจ็ดร้อยอีแปะ… พวกเขาจะไปเอาเงินเจ็ดร้อยอีแปะมาจากที่ใดกัน… ต่อให้จะเอาพวกเขาไปขาย ก็ไม่ได้เงินมากมายถึงเพียงนั้นแน่!
“ท่านแม่…” ฟางซื่อดึงชายเสื้อของหวังซื่อ “จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?พวกเราจะเข้าคุกไม่ได้นะเจ้าคะ!”
“หุบปาก!” หวังซื่อถลึงตาจ้องฟางซื่ออย่างดุร้ายหนึ่งที นางกระตุกมุมปาก พลางกล่าวกับหลิงต้าจื้อว่า “ต้าจื้อ ข้าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเจ้านะ…”
“ตัดขาดความสัมพันธ์แล้ว” ครั้งนี้หลิงต้าจื้อใจแข็งไม่ยอมรับมารดาผู้นี้
ในใจของหวังซื่อเคียดแค้น แต่ใบหน้ากลับต้องแสดงท่าทางที่ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่หวังซื่อแสดงท่าทีที่อ่อนโยนต่อหน้าหลิงต้าจื้อ เมื่อก่อนท่าทางของนางราวกับแม่เสือดุร้าย
“ลูกรัก เมื่อก่อนมารดามีเรื่องที่ทำไม่ถูกต้อง แต่ว่ามารดาผิดไปแล้ว มารดาก็ไม่ได้อยากจะมารบกวนเจ้าและก็ไม่ได้อยากมากินแบบไม่ได้จ่ายเงินเช่นนี้ แต่นี่เป็นเพราะว่ามารดาคิดถึงเจ้ามากเหลือเกินแล้ว และคิดว่าเจ้าที่เป็นคนกตัญญูเช่นนี้ หากเห็นมารดาที่กินไม่อิ่มมาหลายเดือนย่อมจะตัดใจปล่อยให้มารดาท้องหิวต่อไปไม่ลงอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าเมื่อได้กินแล้วจะกินไปมากมายขนาดนี้” หวังซื่อบีบน้ำตาออกมา “เจ้าก็รู้สถานการณ์ของมารดาดี เจ็ดร้อยอีแปะมากเกินไปแล้ว ข้าจะไปเอามาจากที่ใดกัน?เจ้าจดไว้ในบัญชีก่อน ข้าค่อยคืนให้เจ้าในภายหลัง ได้หรือไม่?”
หลิงต้าจื้อมองไปที่หวังซื่อด้วยใบหน้าเหมือนกับยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “หวังซื่อ พวกเราไม่ต้องกล่าวเรื่องเหล่านี้แล้ว เจ็ดร้อยอีแปะข้าก็ไม่ต้องการแล้ว…”
ในใจของหวังซื่อรู้สึกดีใจ มองหลิงต้าจื้ออย่างตื่นเต้น “มารดารู้ว่าเจ้ากตัญญู”
นางได้ยินเพียงแค่ไม่ต้องการเงินเจ็ดร้อยอีแปะแล้ว แต่ไม่ได้ยินคำเรียกขานของหลิงต้าจื้อ ถ้าหากว่าได้ยินแล้วก็คงจะไม่ตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ลองตระหนักดู ถ้าหลิงต้าจื้อไม่ได้โกรธแค้นนางจริงๆ แล้วจะเรียกขานนางว่าหวังซื่อได้อย่างไร?เขาควรเรียกขานนางว่ามารดาถึงถูกต้องมิใช่หรือ?
“พี่ชายเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการท่านนี้ พวกนางกินแล้วไม่ยอมจ่าย บทลงโทษก็ไม่ควรถึงตาย ท่านนำพวกนางไปขังไว้ในคุกเถิดขอรับ ขังไว้สามถึงห้าเดือนก็เพียงพอแล้ว” หลิงต้าจื้อกล่าวเสียงเย็น
ครั้นหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในกลุ่มผู้คนได้ยินคำพูดของหลิงต้าจื้อก็แอบยกนิ้วหัวแม่มือให้กับหลิงต้าจื้อ ดูเหมือนว่านางไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าหลิงต้าจื้อจะทำตัวเป็นคนจิตใจดีอีกต่อไปแล้ว
เรื่องในร้านนี้ก็มอบหมายให้หลิงต้าจื้อเป็นคนจัดการก็แล้วกัน!นางสามารถวางแผนเรื่องของตนเองได้แล้ว ในส่วนเรื่องของนางนั้น… แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เปิดร้านขายยาเพื่อช่วยชีวิตรักษาคนที่ได้รับบาดเจ็บ
นางมีทักษะความรู้วิชาแพทย์ หากไม่เอามาใช้รักษาช่วยชีวิตผู้คน นั่นก็เป็นความสูญเสียของคนป่วยในใต้หล้านี้แล้ว เพียงแต่ว่า นางเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง ควรจะต้องทำอย่างไรดีล่ะ?
แต่งกายเป็นบุรุษ?ไม่!นางไม่ชอบ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่มีลับลมคมในอันใด เหตุใดถึงไม่ให้ผู้คนในใต้หล้าล่วงรู้ว่ามีสตรีที่มีความรู้วิชาแพทย์อย่างนี้อยู่เล่า?นางอยากทำให้คนในใต้หล้าได้รู้และเข้าใจว่าเรื่องที่บุรุษทำได้ สตรีก็สามารถทำได้เช่นกัน เรื่องที่บุรุษทำไม่ได้ สตรีก็ยังทำได้
หลิงมู่เอ๋อร์ออกจากร้านไปเงียบๆ สถานการณ์ภายในร้านอยู่ในการควบคุมแล้ว ถึงแม้ว่าหลิงต้าจื้อจะจัดการไม่ได้ แต่ก็ยังมีโจวฉี่เยี่ยนอยู่ ญาติพี่น้องชั้นยอดเหล่านั้นมิอาจเอาเปรียบได้อย่างแน่นอน นางไม่ต้องดูผลลัพธ์ก็รู้ว่าพวกนางจะต้องจ่ายค่าเสียหายที่น่าเวทนานี้อย่างไร หลังผ่านเรื่องราวนี้ไปแล้ว เชื่อว่าหลังจากนี้พวกนางคงไม่กล้ารนหาที่ตายถึงที่อีกอย่างแน่นอน
หืม?นั่นไม่ใช่อาสะใภ้เล็กหลานซื่อหรือ?ชายที่อยู่ข้างกายของนางคือผู้ใด?
หลิงมู่เอ๋อร์เดินเข้าไปใกล้ที่ตรงนั้นอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
“น้องหญิง เจ้าจะไม่ตามไปกับข้าจริงๆ หรือ?พวกเราไปเมืองหลวง คนในสกุลหลิงหาเจ้าไม่พบแน่นอน” ชายผู้นั้นทอดมองหลานซื่ออย่างอ่อนโยน
หลานซื่อก้มใบหน้าลงต่ำ ดูไม่ออกว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ นางจับมือเล็กๆ ของหลิงจื่อเฉิงเอาไว้ หลิงจื่อเฉิงหลบอยู่ด้านหลังของหลานซื่อ ด้วยท่าทางที่ดูราวกับคนขี้ขลาด
ชายผู้นั้นเห็นหลิงจื่อเฉิง ดวงตาก็ฉายประกายความโกรธแค้นออกมา มองดูก็รู้ว่าชายหนุ่มมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อหลานซื่อ แต่กลับมีความเกลียดชังต่อหลิงจื่อเฉิงเป็นอย่างยิ่ง
เป็นละครงิ้วเลือดสุนัข [3] หนึ่งฉากอีกแล้ว หรือว่านี่จะเป็นคนรักเก่าของหลานซื่อ?
“ญาติผู้พี่ ท่านแต่งงานแล้ว อย่าได้กล่าววาจาเช่นนี้อีกเลย ท่านกับพี่สะใภ้ใช้ชีวิตให้ดีเถิดเจ้าค่ะ!” หลานซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“เจ้าก็รู้ว่าคนที่ข้ามีใจให้นั้นคือเจ้า หากในตอนนั้นไม่ใช่เพราะหลิงหลิน…”
“ญาติผู้พี่…”
ชายหนุ่มฟังออกถึงความโกรธเคืองของหลานซื่อ ดวงตาทอประกายร้อนใจออกมา เขาเอามือไพล่หลัง ท่าทางเหมือนคนแก่เรียน “ในเมื่อเจ้าไม่อยากฟัง ข้าก็จะไม่พูดแล้ว ข้ากำลังจะไปสอบเคอจวี่ ถ้าหากเจ้าคิดดีแล้วก็กลับไปบอกกล่าวที่บ้านเดิมสักคำ เมื่อถึงคราวนั้นข้าจะมารับเจ้าไป พวกเราไปกันเงียบๆ พวกเขาไม่มีทางที่จะหาพบ รอให้ข้าสอบได้ตำแหน่งมีชื่อเสียงแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะมาทำให้เจ้าลำบากใจอีกแล้ว”
“ญาติผู้พี่ ท่านเอาแต่กล่าวว่ายินยอมให้ตำแหน่งฐานะข้า พี่สะใภ้ให้กำเนิดบุตรชายสองคนบุตรสาวหนึ่งคน พวกท่านสองสามีภรรยารักใคร่ทะนุถนอมกันอย่างดี ตอนนี้อยากจะพาข้าไปด้วย ท่านจะให้ข้าไปอยู่ในตำแหน่งอันใด?อนุภรรยา?หรือว่าเป็นสาวใช้ห้องข้าง?” หลานซื่อเอ่ยเหน็บแนม “ญาติผู้พี่ คำพูดเช่นนี้ไม่ต้องกล่าวอีกแล้ว เดิมทีพวกเรามีความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ท่านกล่าวออกมาเช่นนี้ แม้แต่ความผูกพันสุดท้ายจุดนั้นของพวกเราก็จะหายไปด้วย”
“อย่างไรเสียน้องหญิงก็เคยแต่งให้ผู้อื่นมาก่อน อีกทั้งยังมีบุตร ข้า… ไม่อาจแต่งให้เจ้าเป็นภรรยาเอกได้ ได้แต่เพียงให้เจ้าฝืนรับความไม่เป็นธรรมเป็นอนุภรรยาไปก่อน รอให้เจ้าให้กำเนิดบุตรชายให้ข้า ข้าคอยยกฐานะเจ้าให้เป็นภรรยาเอก เช่นนี้ก็จะไม่ทำให้น้องหญิงได้รับความไม่เป็นธรรมอีก” ชายหนุ่มฟังคำพูดเหน็บแนมของหลานซื่อไม่ออก ยังคิดว่าหลานซื่อโลภมากไม่รู้จักพอ คิดอยากจะเป็นภรรยาเอกของเขา
ในความเป็นจริงแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลานซื่อรังเกียจคนประเภทนี้อย่างแท้จริง หรือบางทีสิ่งที่เรียกว่าเรื่องราวในครั้งเก่า นั่นก็เป็นเพียงความปรารถนาของชายหนุ่มฝ่ายเดียว
“อาสะใภ้เล็ก…” หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจความคิดของหลานซื่อ และไม่อยากให้หลานซื่อถูกชายเลวเช่นนี้มาพัวพันอีกต่อไป นางจึงเอ่ยปากเรียกออกไป
ครั้นหลานซื่อได้ยินเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ ก็จับหลิงจื่อเฉิงหมุนกายกลับไปอย่างไม่ตื่นตระหนก และเมื่อชายหนุ่มผู้นั้นเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบสาวเท้าก้าวใหญ่เดินจากไปทันที
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางที่หนีเตลิดเปิดเปิงของชายหนุ่มผู้นั้นแล้ว มุมปากของนางก็ยกยิ้มขึ้น ผู้ชายไร้ค่าประเภทนี้ยังคิดที่จะมาล่อลวงหลานซื่อไปอีก ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นผู้ใดที่ให้เขาหยิบยืมความกล้าหาญและความมั่นใจเช่นนี้กัน
เชิงอรรถ
[1] ขิงแก่ย่อมเผ็ด (姜还是老的辣) เปรียบเปรยถึงผู้ใหญ่สูงอายุสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้รวดเร็วกว่าดีกว่า เนื่องจากสั่งสมประสบการณ์มามากแล้ว
[2] ใบหน้าที่ร้อนไปแนบกับก้นที่เย็น (热脸贴冷屁股) หมายถึง ปฏิบัติดีต่อผู้อื่นด้วยความกระตือรือร้นเอาใจใส่ แต่ผู้อื่นกลับตอบแทนด้วยความเฉยชาไม่สนใจใยดี
[3] งิ้วเลือดสุนัข (狗血剧) หมายถึง ละครฉากน้ำเน่า