เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 63 ปัญหา
เล่มที่ 3 บทที่ 63 ปัญหา
หยางซื่อได้ยินคำพูดของคนอันธพาลแล้วก็รู้สึกอับอาย ในเวลานั้น มีเงาสายหนึ่งกระโดดผ่านหน้านาง จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังโครมคราม ร่างของชายที่มีรูปลักษณ์เหมือนลิงคนนั้นพลันลอยขึ้นและปลิวกระเด็นออกไปนอกประตู
ภาพเมื่อครู่นี้เป็นไปด้วยความรวดเร็วนัก ทุกผู้คนล้วนไม่ทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
พวกอันธพาลเหล่านั้นมองลิงที่นอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวดอย่างตื่นตะลึง แล้วมองหลิงมู่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล สีหน้าของแต่ละคนเผยให้เห็นถึงความแปลกใจ
หวังซื่อชี้ไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ด้วยตัวที่สั่นเทา พร้อมพูดกับเหล่าพี่น้องที่อยู่ด้านหลังว่า “นังเด็กคนนี้ฝีมือร้ายกาจมาก พวกเราเข้าไปพร้อมกัน แสดงฝีมือให้นางได้เห็น”
“ตกลงขอรับ” พวกเหล่าคนอันธพาลขี่หลังเสือแล้วลงยาก แม้จะรู้ว่าวันนี้จะเจอกับเสาเข็มที่แข็งแกร่งยากที่จะจัดการ แต่พวกเขาไม่อาจไม่จัดการกับนางได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงแค่สตรีคนหนึ่ง ถ้าหากยอมแพ้ต่อหน้าทุกคน ต่อไปภายหลังพวกเขาจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? แล้วอีกอย่างคือ มีคนให้ผลประโยชน์กับพวกเขา ขอให้พวกเขาจัดการนาง แล้วยังบอกอีกว่าเด็กสาวนางนี้เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ขอเพียงแค่จัดการนางได้แล้ว ต่อจากนี้ไปร้านแห่งนี้ก็จะเป็นของเขา ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าคนอันธพาลเหล่านี้จะรู้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์ยากที่จะต่อกร แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้กลางคัน
“มู่เอ๋อร์…” หยางซื่อมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างกระวนกระวายใจ “เจ้าระวังตัวด้วย”
“พวกเจ้าพาฮูหยินไปที่ด้านหลัง” หลิงมู่เอ๋อร์หักนิ้วของนางเป็นเสียงดังกร๊อบๆ นัยน์ตาเย็นชาคู่หนึ่งกวาดผ่านพวกคนอันธพาล ริมฝีปากสวยยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรูปโค้งตื้นๆ ทว่าภายในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเฉยชา สายตาที่มองพวกอันธพาลเหล่านั้นคล้ายกับหิมะเหมันต์เย็นยะเยือก “บางอย่างต่อไปนี้ไม่เหมาะให้นางได้เห็น”
เหล่าข้ารับใช้ไม่เคยเห็นความสามารถของหลิงมู่เอ๋อร์ ทว่าพวกเขารู้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์มีพลังเหนือธรรมชาติแต่กำเนิด พละกำลังของนางหนึ่งคนเทียบได้กับชายฉกรรจ์ร่างกำยำสามถึงห้าคน ครั้นได้เห็นความสามารถของนางเมื่อครู่แล้ว แน่นอนว่าคนเหล่านี้นับว่ารนหาที่ตายถึงหน้าประตูอย่างแท้จริง พวกข้ารับใช้ไม่ได้คลุกคลีกับคุณหนูใหญ่ท่านนี้มากนัก แต่รู้ว่านางไม่ใช่คนที่จะมารังแกได้ง่ายๆ
“ฮูหยิน ท่านไปที่เรือนด้านหลังก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ! ความสามารถของคุณหนู ท่านย่อมทราบดี” อาสะใภ้ฝูพาหยางซื่อไปที่เรือนด้านหลัง
หยางซื่อไม่ยอมไป นางจึงอยู่ที่นั่นไม่ขยับเขยื้อนไปไหนอยู่นาน
ในเวลานี้ หวังซื่อกระโจนเข้ามาพลางเหวี่ยงหมัด หมัดของเขาเล็งไปที่ศีรษะของหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ครั้นเห็นว่าหมัดของหวังซื่อกำลังจะตกลงบนร่างของนาง นางจึงเบี่ยงหลบไปด้านข้างเล็กน้อย คว้าแขนของหวังซื่อด้วยมือข้างเดียวแล้วออกแรงเบาๆ จากนั้นก็เห็นเพียงแต่แขนของหวังซื่อคนนั้นส่งเสียงแตกร้าวออกมา
“อ๊าก…” รูม่านตาหวังซือหดแคบลง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
หลิงมู่เอ๋อร์ปล่อยมือจากเขา และปล่อยให้เขานอนอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงอยู่กับพื้นราวกับหุ่นไม้ก็มิปาน นางยกมุมปากขึ้นอย่างเยาะเย้ย “ช้าเกินไปแล้ว”
ครั้นพวกอันธพาลคนอื่นๆ เห็นสถานการณ์เช่นนี้ แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าถอดสีไปตามๆ กัน
ฝีมือของหวังซื่อดีที่สุดในบรรดาพวกเขา แม้แต่หวังซื่อก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง สตรีนางนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่?
“มัวนิ่งงันทำอันใดอยู่? ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็เข้ามาพร้อมกันเถิด!” หลิงมู่เอ๋อร์กระดิกนิ้วไปทางด้านของพวกคนอันธพาลที่ยังคงยืนอยู่ “เข้ามาทีละคนช้าเกินไป ข้าไม่ได้มีเวลาว่างสำหรับเรื่องนี้”
เหล่าคนอันธพาลรู้ดีว่าวันนี้ขี่หลังเสือแล้วลงได้ยาก แม้ว่าคิดที่จะหลบหนีในตอนนี้ แต่ก็ต้องดูว่าแม่นางน้อยคนนี้จะให้โอกาสนั้นแก่พวกเขาหรือไม่ พวกเขาพุ่งเข้าหาหลิงมู่เอ๋อร์พร้อมกันทันที
ข้ารับใช้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่สองสามคนไม่อาจทำเป็นมองอยู่เฉยๆ ได้ พวกเขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อขัดขวางอันธพาลสองคน และต่อสู้กับพวกเขาด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์สามารถจัดการอันธพาลเหล่านี้ได้ด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้มีคนช่วยนางแล้ว เช่นนั้นก็สบายยิ่งขึ้น โครมโครมโครม! นางใช้มือข้างหนึ่งยกร่างของชายอันธพาลขึ้น จากนั้นจึงโยนออกไปอย่างแรง นางไม่เพียงแค่โยน แต่ยังโยนออกไปถึงนอกประตูใหญ่ต่อหน้าต่อตาของผู้คนที่สัญจรไปมา นางยกบุรุษร่างหยาบกระด้างขึ้นทีละคนแล้วโยนออกไป
ผู้คนสัญจรเดินผ่านไปมาพูดคุยเสียงเซ็งแซ่ เหลาอาหารสกุลหลิงเป็นร้านอาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้ ต่อให้ไม่เคยมาแต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงของที่นี่ ตอนนี้มีพวกอันธพาลมาก่อความวุ่นวาย ทั้งยังถูกแม่นางน้อยร่างผอมบางที่แทบจะต้านลมไม่อยู่ผู้นั้นโยนออกมา พวกเขาต่างพาชี้ไปที่อันธพาลพลางส่งเสียงหัวเราะเยาะ โดยเฉพาะเหล่าชาวบ้านที่โดนรังแกอยู่บ่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกราวกับได้ระบายความโกรธไปด้วย ผู้คนเข้ามามุงกันมากขึ้นเรื่อยๆ มองพวกอันธพาลเหล่านั้นคล้ายกับดูเรื่องตลก
โครม! โครม! โครม! โครมโครมโครม! คนอันธพาลคนแล้วคนเล่าถูกหักแขนขาทั้งสี่และโยนลงบนพื้น
“ไอ๊หยา… เจ็บจะตายแล้ว… นังสารเลว…” คนอันธพาลคนหนึ่งกลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวด ทว่าในปากยังพ่นคำสกปรกออกมาอยู่
หลิงมู่เอ๋อร์หรี่ตาลงเล็กน้อย เท้าข้างหนึ่งของนางเหยียบลงไปบนปากสกปรกของชายผู้นั้น ชายดังกล่าวส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หวังซื่อเป็นคนแรกที่ถูกจัดการ และเขาก็เป็นคนที่ถูกจัดการอย่างโหดเหี้ยมที่สุดด้วย ในขณะนั้นสีหน้าของหวังซื่อเปลี่ยนเป็นสีซีด มองดูหลิงมู่เอ๋อร์ที่เดินเข้าไปหาเขาด้วยความหวาดผวา
หลิงมู่เอ๋อร์หยุดลงอยู่ที่ข้างเท้าของเขา จ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้นที่ทำราวกับว่ากำลังเห็นผีร้ายด้วยสายตาเหยียดหยาม “บอกมา! ผู้ใดใช้ให้เจ้ามาก่อความวุ่นวาย”
หวังซื่อมองไปที่กลุ่มคน ก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยผู้หนึ่งที่ทำท่าทางกระสับกระส่ายอยู่ตรงนั้น หวังซื่อเห็นว่าชายผู้นั้นคิดที่จะหนี เขากัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น ตะโกนไปยังทิศทางด้านนั้นว่า “เป็นเขา… หลิงเวย เป็นเขาที่บอกว่าการค้าของร้านเจ้าไปได้ดี หากถ้าข้าแย่งเอามาได้ ต่อไปก็จะมีเงินมากมาย”
ตามสายตาของหวังซื่อที่มองผ่านไป ทุกคนล้วนหันไปมองตามทิศทางที่เขามอง เมื่อพวกเขาเห็นชายผู้นั้นพยายามจะหนี เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูต่างก็หลบออกห่างให้ไกล
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบก้อนหินบนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็ใช้มือขว้างมันออกไป ก้อนหินกระแทกไปที่หัวเข่าของคนผู้นั้นทันที
พลั่ก! คนผู้นั้นล้มลงกับพื้น
เหล่าชาวบ้านที่ล้อมมุงดูเหมือนได้เห็นคนตัวซวย
คนผู้นั้นหยัดกายลุกขึ้น รู้สึกถึงสายตาแปลกประหลาดจากทุกคน เขารีบร้อนโบกมือพลางเอ่ย “ไม่ใช่ข้า… ไม่ใช่ข้า…”
หลิงมู่เอ๋อร์หยุดอยู่ตรงหน้าหลิงเวย และมองคนผู้นั้นอย่างโหดเหี้ยม นางไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใด แต่กลับมองไปที่เขาอย่างเย็นชาอยู่เช่นนี้จนทำให้เขารู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว
“เจ้าบอกว่าไม่ใช่เจ้า แต่คนผู้นี้บอกว่าเป็นเจ้า ดูเหมือนว่าในพวกเจ้าจะมีคนใดคนหนึ่งกำลังโกหกอยู่” นัยน์ตาของหลิงมู่เอ๋อร์เย็นเยียบ “ข้าจะคิดหาวิธีให้พวกเจ้าพูดความจริงทั้งหมดออกมาให้ได้”
ครั้นหวังซื่อได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทา สตรีนางนี้ไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาอย่างแน่นอน อย่าได้ถูกน้ำเสียงอันนุ่มนวลของนางล่อลวงเอาได้
ในเวลานี้เขาโกรธแค้นต่อหลิงเวยยิ่ง เขาแอบคิดว่าหากปล่อยให้ชายผู้นั้นออกไปจากที่ตรงนี้แล้ว เขาจะไม่มีวันปล่อยไอ้สารเลวนั่นไปเด็ดขาด จะต้องตามไปราวีอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเล่นลูกไม้ต่อหน้าเขา คงจะเบื่อชีวิตแล้วกระมัง
อย่าได้เห็นว่าหวังซื่อที่อยู่ตรงหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์เป็นเหมือนแมลงหนึ่งตัวที่ลุกขึ้นมาไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วคนผู้นี้โหดเหี้ยมอย่างยิ่ง ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“เป็นเขา ในมือของข้ามีหลักฐาน” หวังซื่อร้องออกมาเสียงดัง “เจ้าเด็กหนุ่มนั่นเพื่อให้ข้าลงมือจัดการกับเจ้า ยังได้ให้เงินข้ามาสองตำลึงเงิน ข้าเห็นว่าถุงเงินที่เขาถืออยู่นั้นไม่เลวจึงได้ขโมยถุงเงินของเขามาไว้กับตัวด้วย ตอนนี้ถุงเงินนั้นยังอยู่ที่ข้า”
นัยน์ตาของหลิงเวยมีความหวาดกลัว ขาทั้งสั่นระริกอยู่ตลอดเวลา คนที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมมองออกว่าเขาทำเรื่องไม่ดีไว้แล้วกลัวผู้อื่นล่วงรู้ถึงความผิด ในขณะนั้นที่หวังซื่อกล่าว เขาตื่นกลัวจนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ของเหลวกลิ่นเหม็นไหลออกมาจากกายของเขา ทันใดนั้นก็ทำให้บรรยากาศของสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคลุ้ง คนที่อยู่ใกล้เคียงรีบถอยห่าง เพราะเกรงว่ากลิ่นเหม็นจะติดตัว
“ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีของข้าแล้ว เพราะเจ้าได้สารภาพออกมาด้วยตนเองแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์บีบคอของหลิงเวยพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “เจ้าอยากตายอย่างไร? ข้าจะสนองให้เจ้าเอง”
หลิงเวยคุกเข่าลงบนพื้น กอดต้นขาของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ พลางกล่าวด้วยความยากลำบาก “มู่เอ๋อร์ มีอันใดก็ค่อยพูดพูดจากัน ค่อยๆ พูดกัน… แค่กแค่ก… ”
“เจ้าอยากตายอย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยย้ำอีกครั้ง “ข้าคนนี้เป็นคนจิตใจดีที่สุดแล้ว จะทำตามความปรารถนาของเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าอยาก…ตายอย่างไร?”
เหงื่อเย็นไหลซึมลงมาจากหน้าผากของหลิงเวย ร่างกายของเขาสั่นระริก มองนางด้วยความหวาดกลัว “ข้าเพียงแค่เป็นผีหลงในสติปัญญา [1] ชั่วขณะ ข้า…ใช่…ข้าเพียงแค่หยอกล้อเท่านั้น พวกเราเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เติบใหญ่มาด้วยกัน เจ้าไม่น่าจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่ข้า…หยอกล้อกระมัง?”
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะเบาๆ นางเงยหน้าขึ้นไปมองทุกคน ยกแย้มรอยยิ้มพลางกล่าว “คนผู้นี้กล่าวว่าเขาหยอกล้อกับข้า! พวกท่านสามารถเข้าไปดูที่ร้านของข้าได้ ลูกค้าของข้ากำลังทานอาหารอยู่ดีๆ ไม่เพียงแต่ถูกพวกเขารบกวนเท่านั้น แต่ยังตกใจกลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โต๊ะและเก้าอี้ในร้านของพวกเรา เครื่องเรือน แม้แต่ข้ารับใช้ของข้าก็ถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บไปหลายคน นี่คือการหยอกล้ออย่างนั้นหรือ? ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการหยอกล้อจะทำกันเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าชอบเล่นหยอกล้อสนุกสนาน เช่นนั้นข้าก็จะเล่นกับเจ้า ข้าจะหักแขนของเจ้าเสียก่อน แล้วค่อยหักขาของเจ้า หยอกล้อเช่นนี้ยิ่งน่าสนุกกว่าใช่หรือไม่?”
หลิงเวยจวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว เขารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ตัดสินใจกระทำเรื่องเช่นนี้ ทั้งที่รู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าสตรีนางนี้เป็นคนที่รับมือได้ยาก และจะเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงในน้ำมือของนาง บัดนี้ได้ยินมาว่านางหาเงินได้ เขาก็รู้สึกริษยาขึ้นมา จึงต้องการให้พวกอันธพาลในเมืองมาจัดการกับนาง ในใจของเขาคิดว่า แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ก็ต้องมีสักคนที่สามารถจัดการนางได้อยู่แล้วกระมัง? แต่ผลลัพธ์ที่ได้…คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้
นี่ยังเป็นสตรีอยู่อีกหรือไม่? คาดไม่ถึงเลยว่านางจะยกชายร่างใหญ่หนึ่งคนได้ด้วยมือข้างเดียว ทั้งยังจัดการพวกอันธพาลที่ทำเรื่องชั่วร้ายมาทุกรูปแบบให้ยอมจำนนได้ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาจะหยิบยืมความกล้าหาญมาสักสิบส่วน เขาก็ไม่กล้ามาแตะต้องสตรีนางนี้แน่!
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียใจเอาในตอนนี้แล้วมีประโยชน์อันใด? สตรีนางนั้นไม่มีวันปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
“เจ้า…เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” หลิงเวยได้แต่ร้องขอความเมตตา
“ถ้าเจ้ายินยอมที่จะชดใช้ความเสียหายทั้งหมดของข้า ข้าก็จะยอมรับว่าการหยอกล้อนี้ของเจ้าไม่เป็นที่ตะขิดตะขวงใจ” หลิงมู่เอ๋อร์ออกแรงบีบที่ฝ่ามือ ลำคอหนาใหญ่นั้นส่งเสียงเล็กน้อย นางเห็นว่าหลิงเวยตกใจกลัวจนจวนจะเป็นลมหมดสติไป ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “เจ้ากล้าทำเรื่องชั่วช้า เหตุใดถึงไม่กล้ารับผลที่ตามมาเล่า? บุรุษอย่างเจ้าเช่นนี้…ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง”
ความเป็นความตายของหลิงเวยอยู่ในเงื้อมมือของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำยั่วยุใดๆ ต่อนาง เมื่อเทียบกับชีวิตอันน้อยๆ ของตนเองแล้ว ยอมพ่ายแพ้ต่อนางจะนับว่าเป็นอันใด?
“ข้า…บ้านข้าไม่มีเงิน มู่เอ๋อร์ แม่นาง เจ้าว่าเอาเช่นนี้ดีหรือไม่? ข้าจะช่วยเจ้าล้างถ้วยล้างผักให้เจ้า ข้าจะช่วยเจ้าทำงาน ค่อยๆ ชดใช้ค่าเสียหายคืนได้หรือไม่?” นัยน์ตาของหลิงเวยเป็นประกาย พลันมีแผนการขึ้นมาในใจ ถ้าหากสามารถเข้ามาอยู่ที่นี่ได้จริงๆ นั่นก็เป็นความโชคดีในความโชคร้ายแล้ว การค้าของสตรีนางนั้นดีมากจะต้องมีสูตรลับเป็นแน่ เขาแอบเรียนรู้สูตรลับของนางได้
หลิงเวยคิดว่าหลิงมู่เอ๋อร์เป็นคนโง่เขลา และหลิงมู่เอ๋อร์มองว่าหลิงเวยเป็นคนปัญญาทึ่ม เจ้าคนปัญญาทึ่มผู้นี้ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าเขามีแผนการอันใด ดวงตาคู่หนึ่งของเขาสอดส่องล่อกแล่กไปมา
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าการเจรจากับคนปัญญาทึ่มเช่นนี้ต่อไปจะทำให้สติปัญญาของตนเองแย่ลง ช่างมันเถิด! รับไว้ทำงานก็แล้วกัน! ถึงอย่างไรจุดประสงค์ของการเชือดไก่ให้ลิงดูก็ได้บรรลุผลแล้ว
หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ ต่อไปนี้หากมีผู้ใดอยากจะสร้างปัญหาพวกเขาอีกก็ต้องลองไตร่ตรองกำปั้นของนางด้วย สำหรับคนโง่เขลาอย่างหลิงเวย ต่อให้เขาจะมาอีกสักสิบครั้ง จากผลลัพธ์ของวันนี้ก็อย่าได้หวังว่าจะได้มีผลลัพธ์อื่นที่ดีกว่าเลย
“อยากทำงานกับข้า?” หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้วมองไปที่หลิงเวย นางปล่อยมือที่บีบคอของหลิงเวย แล้วลูบที่คางอันเรียบเนียนของตนเอง “ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เจ้ามีรูปร่างสูงใหญ่ ถ้าหากเจ้าอยากจะช่วยข้าทำงานจริงๆ ก็เป็นแรงงานที่ดี เอาเช่นนี้เถิด! เจ้ากลับไปลงนามสัญญาซื้อขายทาส หลังจากนี้ต่อไปก็อยู่ที่นี่เสีย!”
เชิงอรรถ
[1] ผีหลงในสติปัญญา (鬼迷心窍) หมายถึง แสดงความหมายถึงพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีความพิศวงงงงวยด้วยไม่เข้าใจกระจ่างชัดต่อสิ่งต่างๆ เหมือนดังผีที่หลงในสติปัญญาของตน หลงในว่าตนมีสติปัญญาความสามารถ