เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 3 รักษา
เล่มที่ 1 บทที่ 3 รักษา
หยางซื่อคว่ำหน้าอยู่ข้างเตียง กอดหลิงจื่ออวี้ร้องห่มร้องไห้เสียงดัง
หลิงจื่อเซวียนยืนเช็ดน้ำตาอยู่ตรงนั้น สังเกตเห็นหลิงมู่เอ๋อร์เข้า เอ่ยอย่างทุกข์ระทม “มู่เอ๋อร์ เจ้ากลับมาได้พอดี พวกเราส่งน้องเล็กเป็นครั้งสุดท้ายกันเถิด! น้องเล็กกำลังจะจากพวกเราไปแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์เคลื่อนสายตาลงบนเด็กที่ตัวแดงไปทั้งตัว ท่าทางของเขาช่างทรมานเหลือเกิน นางหันหลังกลับเข้าไปในห้องครัว นำสมุนไพรที่หาพบมาล้างอย่างรีบร้อน จากนั้นจึงจุดไฟเพื่อต้มยา
เวลานี้นางไม่สนใจที่จะจัดการอย่างพิถีพิถันแล้ว ขอเพียงแค่ทำให้อุณหภูมิร่างกายของเขาลดลงก่อน นางใช้อุปกรณ์สิ่งของโบราณไม่เป็น แต่ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมยังคงอยู่ ทำให้นางจุดไฟต้มยาได้อย่างคล่องแคล่ว
ผ่านไปไม่นาน ยาก็ต้มเสร็จแล้ว นางนำหิมะจำนวนหนึ่งเข้ามาในบ้าน นำยาวางไว้ด้านบนแช่เย็นไว้สักครู่ ใช้เวลาไม่นานก็รักษาอุณหภูมิไว้ให้คงที่จนสามารถดื่มได้แล้ว
“ท่านแม่…” เสียงที่ส่งออกไปเพื่อเรียกขาน ‘ท่านแม่’ เสียงนี้ มีความกระอักกระอ่วนใจอยู่เล็กน้อย เสียงแข็งทื่ออย่างยิ่ง แต่หลังจากเรียกออกไป นางพบว่าไม่มีอะไรยากเลย “ท่านแม่ ท่านหลีกทางสักหน่อย ข้าจะป้อนยาให้น้องเล็กดื่ม เมื่อสักครู่ข้าพบสมุนไพรบนภูเขาเล็กน้อย น้องเล็กดื่มมันแล้วก็จะดีขึ้นเจ้าค่ะ”
หยางซื่อที่ดิ่งสู่ภวังค์แห่งความสิ้นหวัง ไฉนเลยจะได้ยินวาจาของหลิงมู่เอ๋อร์? นางร้องไห้โฮ เรียกชื่อเล่นของหลิงจื่ออวี้ “เดือนแปด…เดือนแปดของแม่…”
หลิงจื่ออวี้นั้นเกิดในเดือนแปด จึงเป็นที่มาของชื่อเล่นว่าเดือนแปด
หลิงจื่อเซวียนมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างสงสัย เขาขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวว่า “น้องหญิง เมื่อครู่นี้เจ้าขึ้นไปบนภูเขามาหรือ? อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ เจ้าทั้งยังไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน จะขึ้นไปบนภูเขาได้อย่างไร? ”
“ข้าลงเขามาอย่างปลอดภัยแล้ว พี่ชายอย่าต่อว่าข้าเลยเจ้าค่ะ ท่านช่วยพาท่านแม่ออกไปก่อน ข้าจะป้อนยาให้น้องเล็กดื่ม” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้น้องเล็กเพียงแค่เป็นไข้ ชีวิตยังไม่ตกอยู่ในอันตราย แต่หากว่าพวกท่านขืนรอช้าอยู่อีกละก็ นั่นคงจะหมดหนทางรักษาแล้วจริงๆ ”
“ท่านแม่…” หลิงจื่อเซวียนพยุงหยางซื่อขึ้น “พวกเราฟังคำน้องหญิงเถิด”
สมองของหยางซื่อว่างเปล่า โศกเศร้าจนมิอาจสดับฟังเสียงใด แววตาพร่ามัวรางเลือนเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา นางตระหนักเพียงว่าลูกชายคนเล็กตกอยู่ในอันตราย กำลังจะจากนางไปแล้ว หลิงจื่อเซวียนพยุงนางขึ้น หญิงสาวไม่มีอาการดิ้นรนขัดขืนแม้แต่น้อยราวกับตัดขาดทุกสิ่งทุกอย่างจากโลกภายนอก
หลิงมู่เอ๋อร์ประคองหลิงจื่ออวี้ขึ้น ยามแตะสัมผัส ตัวเขาร้อนมากอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้านนอกอากาศหนาวขนาดนี้ เขายังตัวร้อนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาป่วยหนักมาก
นางยกถ้วยยาด้วยสองมือขึ้น ป้อนให้เขาดื่ม ท้องเขาหิวมาหลายวันแล้ว ตอนนี้ขอเพียงแค่มีของให้เขากิน ไม่ว่าอะไรเขาก็สามารถกินลงไปได้ เขาดื่มมันลงไปคำใหญ่ เกือบจะทำให้ตนเองสำลัก โชคดีที่หลิงมู่เอ๋อร์ถือถ้วยออกมาเป็นระยะๆ ให้เขาหยุดพักสักครู่ เช่นนี้จึงจะไม่ทำให้เขาสำลัก
หยางซื่อร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดสติก็กลับคืนมาบ้างเล็กน้อย นางเห็นสิ่งที่ หลิงมู่เอ๋อร์ทำ สะอื้นไห้พร้อมกล่าว “มู่เอ๋อร์ เจ้าหายามาจากที่ใด? ”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าเมื่อครู่นี้ท่านแม่ไม่ได้ฟังคำพูดของนาง จึงพูดซ้ำอีกหนึ่งครั้ง
หยางซื่อได้ยินว่านางขึ้นไปบนภูเขา ก็ร้องไห้อย่างเศร้าโศกยิ่งขึ้นไปอีก นางไม่ได้ตำหนิหญิงสาว ในช่วงเวลาเช่นนี้ เพียงแต่มีความหวังอันน้อยนิด พวกเขาก็อยากที่จะไปเสี่ยงโชคเช่นกัน นางก็ไม่ได้ถามว่าเหตุใดหญิงสาวถึงรู้จักสมุนไพรเหล่านี้ ในเวลานี้ สิ่งที่พวกเขาอยากรู้ที่สุดคือความเป็นความตายของหลิงจื่ออวี้ เรื่องอื่นใดย่อมไม่สำคัญ
หลิงมู่เอ๋อร์กลับไปที่ห้องครัว ต้มน้ำร้อนก่อนจะยกน้ำมาเช็ดตัวให้หลิงจื่ออวี้
หยางซื่อและหลิงจื่อเซวียนคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ข้างๆ หลิงจื่อเซวียน พยุงหลิงจื่ออวี้ เป็นลูกมือคอยช่วยเหลือหลิงมู่เอ๋อร์
“ไข้ลดแล้ว” หยางซื่อแตะหน้าผากของหลิงจื่ออวี้ พูดอย่างตื่นเต้น “ไข้ลดลงแล้ว มู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นดาวนำโชคจริงๆ ”
“ลดแล้วก็ดีเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์แสดงอารมณ์ไม่ค่อยเก่ง เมื่อเห็นว่าหยางซื่อมีความสุขเช่นนี้ นางจึงยกมุมปากขึ้น แย้มเป็นรอยยิ้มบางๆ
“เสื้อผ้าของเจ้ายังเปียกชื้นทั้งตัว แล้วก็เท้าของเจ้า…” หลิงจื่อเซวียนเห็นเท้าเปล่าของหลิงมู่เอ๋อร์ เท้าสองข้างทั้งแดงทั้งบวม ด้านบนยังมีรอยขีดข่วนอยู่มากมาย
หยางซื่อก้มไปมอง น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลเมื่อครู่ก็ไหลลงมาอีกครั้ง นางหันกลับเข้าไปในห้อง รื้อค้นตู้อยู่พักหนึ่ง พบเสื้อผ้าตัวหนึ่งจากข้างใน นางนำเสื้อผ้าและชุดเย็บผ้ากลับไปที่ห้องของหลิงจื่อเซวียน หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่านางจะตัดเสื้อผ้า ก็รีบร้อนห้ามนาง
“ท่านแม่ ท่านจะทำอันใด นี่ไม่ใช่เสื้อผ้าของน้องเล็กหรือเจ้าคะ? ” หลิงมู่เอ๋อร์ถาม
“น้องเล็กของเจ้ายังเด็ก ไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอก สามารถอยู่ในผ้าห่มไปตลอดได้ ตอนนี้เจ้าไม่มีรองเท้าแล้ว ฤดูหนาวนี้จะผ่านไปได้อย่างไร? ” หยางซื่อพูดเสียงแข็ง “ไม่เป็นไร มันจะดีขึ้น”
หลิงมู่เอ๋อร์ยังคิดที่จะห้าม หยางซื่อกลั้นใจตัดเสื้อผ้าไปแล้ว นางจับมือของหยางซื่อ แล้วพูด “ท่านตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ”
หยางซื่อเกิดอาการมึนงงไปครู่หนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ลากนางเดินไปที่ห้องครัว เมื่อนางเห็นกระต่ายป่าและไก่ป่าในตะกร้า ดวงตาพลันเบิกกว้าง สีหน้าเหลือเชื่อราวกับพบภูตผี
“นี่มาจากที่ใดกัน? ” หยางซื่อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“เมื่อครู่นี้ข้าขึ้นไปบนภูเขา บังเอิญเจอพวกมันกำลังออกหากิน พวกมันก็คงจะหนาวเหมือนกัน! จึงวิ่งได้ไม่เร็วนัก ข้าไล่ตามไปและจับพวกมันมาได้ ข้ายังได้เจอเห็ดอีกบางส่วน สามารถใช้สำหรับตุ๋นน้ำแกงไก่ภายหลังได้” หลิงมู่เอ๋อร์ชี้ไปที่เห็ดกองนั้นบนพื้น
“พระเจ้าคุ้มครอง” หยางซื่อสิบนิ้วยกขึ้นพนมมือ “พระเจ้าคงได้ยินคำอธิษฐานของข้าเป็นแน่ ดังนั้นจึงมอบอาหารให้กับมู่เอ๋อร์ ยืมมือของมู่เอ๋อร์ช่วยชีวิตของพวกเราทั้งครอบครัว”
หลิงมู่เอ๋อร์คิดในใจ พระเจ้ายุ่งเป็นอย่างมาก ไหนจะมีเวลาเอาใจใส่เรื่องเหล่านี้?
หลิงจื่อเซวียนได้ยินเสียงจากที่นี่ จึงเดินเข้ามาถาม “เกิดอันใดขึ้น? น้องเล็กไม่ตัวร้อนแล้ว เหตุใดท่านแม่ถึงได้ร้องไห้อีกเล่า? ”
“จื่อเซวียนรีบมาดูเร็วเข้า” ดวงตาของหยางซื่อเป็นประกาย ชี้ไปที่เหยื่อในตะกร้าและพูดอย่างดีใจ “มู่เอ๋อร์ขึ้นไปบนภูเขา ได้พบเหยื่อ ครอบครัวพวกเรามีทางรอดแล้ว มู่เอ๋อร์ช่างดีจริงๆ ”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยได้รับคำชมเช่นนี้มาก่อน ในใจนางจึงรู้สึกกระดากเล็กน้อย ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ นางทำได้ดีเป็นเรื่องที่สมควรทำ ผู้อาวุโสจะไม่สรรเสริญนาง พ่อแม่ของนางก็ยิ่งจะไม่ยกย่องนาง
หยางซื่อสัมผัสใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน กล่าวอย่างเจ็บปวดใจ “ลำบากเจ้าแล้วลูกแม่ พวกเรามาผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันเถิด รอท่านพ่อของเจ้ากลับมา ทุกอย่างก็จะดีขึ้น”
“อืม” หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า “จะต้องดีขึ้นเจ้าค่ะ”
“ถ้านำเข้าไปในเมือง จะต้องแลกเป็นเงินได้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่มาก แต่ถ้าหากว่าซื้อแป้งข้าวโพดหรือแป้งข้าวฟ่าง ก็สามารถกินได้ครึ่งเดือน!” หลิงจื่อเซวียนกล่าว
“ตอนนี้หิมะหนาปิดทาง พ่อของเจ้ากลับมาไม่ได้ พวกเราก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน สิ่งนี้ทำได้เพียงกินเข้าไปในท้องเท่านั้น” หยางซื่อมองไก่และกระต่ายที่อยู่ตรงหน้าอย่างทุกข์ใจ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็กล่าว “ไก่ตัวนี้ตัวใหญ่มาก พวกเราแบ่งกินสามวันกันเถิด! ผักป่าเหล่านี้ก็กินได้สามวันเช่นกัน เช่นนี้พวกเราจะอยู่ได้นานถึงหกวัน กระต่ายตัวนี้ยังมีชีวิตกระโดดไปมาอยู่ พวกเราเลี้ยงเอาไว้ก่อน”
“กระต่ายก็ต้องกินอาหารเช่นกัน พวกเราจะให้มันกินอันใดขอรับ? ” หลิงจื่อเซวียนพูดอย่างลำบากใจ “ไม่เช่นนั้นก็กินกระต่ายแล้วเหลือไก่ไว้? ไก่สามารถกินหนอนได้ อย่างมากก็แค่ไปขุดหนอนในดินให้พวกมันกิน หากเป็นกระต่าย ก็จะดูแลยาก”
“เรื่องนี้…” หยางซื่อลำบากใจยิ่งนัก ตามราคาตลาดในตอนนี้ กระต่ายขายได้ราคาดีกว่า ทว่าตามที่หลิงจื่อเซวียนกล่าวมานั้น ไก่ย่อมเลี้ยงได้ง่ายกว่า
“พวกเราหิวมาหลายวันแล้ว ร่างกายเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว ฤดูหนาวนี้ยังเหลืออีกยาวนาน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กินเนื้อเลย ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายหรือไก่ ให้เก็บไว้ให้กินเองเถิด!ถนนบนภูเขาถล่ม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าถนนจะเข้าถึงได้เมื่อใด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เสบียงอาหารของชาวบ้านก็จะถูกตัดขาดเช่นกัน ถึงตอนนั้น จะต้องมีผู้คนจำนวนมากยิ่งขึ้นที่เสี่ยงอันตรายขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาอาหารเป็นแน่”
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าแม่ลูกทั้งสองคนล้วนถูกผลประโยชน์ของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้เกิดความหวั่นไหว ไม่ได้คำนึงถึงระยะยาว จึงวิเคราะห์สถานการณ์ให้พวกเขาอย่างรอบคอบ
หยางซื่อและหลิงจื่อเซวียนต่างก็ไม่ใช่คนโง่เขลา พวกเขาหิวโหยมานานเกินไป ดีใจที่ได้เห็นอาหารอันล้ำค่าเช่นนี้ ตั้งใจที่จะแลกเป็นเงินซื้ออาหารให้มากขึ้น แต่ลืมไปว่าสถานการณ์ที่ยากลำบากในเวลานี้ คำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ได้ทุบทำลายความเพ้อฝันของพวกเขา พวกเขาจะต้องเผชิญกับสภาวะวิกฤตเป็นแน่ ถ้าหากชาวบ้านทั้งหมดไม่มีอาหารกิน ถึงตอนนั้นก็คงจะวุ่นวายเป็นแน่ ก่อนถึงเวลานั้น พวกเขาจะต้องวางแผนให้ดี กระต่ายไม่สามารถเก็บไว้ได้ ไก่ก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้เช่นกัน ไก่สามารถขันได้ กระต่ายก็สามารถวิ่งหนีไปได้ง่ายดาย ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือฆ่าพวกมันทั้งหมด หาที่ซ่อนสักแห่งแล้วค่อยๆ กินมันให้หมดไป
“มู่เอ๋อร์พูดได้ถูก จือเซวียน เจ้านำไก่และกระต่ายฆ่าเสียให้หมด พวกเราดูแลไม่ได้ ก็อย่าดูแลพวกมันเลย หากยังหิวอีกสองสามวัน พวกมันก็จะยิ่งผอมลง” หยางซื่อได้ตัดสินใจในทันที “อีกอย่าง พวกเราใกล้ก็จะทนไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ก็ตุ๋นน้ำแกงไก่ดื่มกันเถิด อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ พวกเราต้องรักษาร่างกายเอาไว้”
“ตกลง” หลิงจื่อเซวียนพยักหน้าทันทีทันใด “ข้าจะจัดการกับมันเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“มู่เอ๋อร์ ไม่ต้องขึ้นไปเสี่ยงอันตรายบนภูเขาอีกแล้ว แม้ว่าเจ้าอยากจะไป ก็ไปกับข้าและพี่ชายของเจ้า ครั้งนี้เป็นเพราะเจ้าโชคดี ครั้งหน้าเจ้าอาจจะไม่โชคดีเช่นนี้” หยางซื่อกล่าวกำชับด้วยขอบดวงตาแดงรื้น
หลิงมู่เอ๋อร์อยากบอกว่า ตอนนี้นางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ขอเพียงแต่ให้นางได้กินสักหนึ่งคำ ก็จะแข็งแรงมีชีวิตชีวาขึ้นในไม่ช้า แม้ว่าร่างกายนี้จะบอบบาง ไม่ใช่ต้นกล้าที่ดีสำหรับการฝึกวรยุทธ์ เพียงแต่ว่าขอให้นางได้เพิ่มการออกกำลังกายให้หนัก ฝึกฝนร่างกายออกมา ก็มีฝีมือที่ปราดเปรียวได้เหมือนกับโลกก่อนนั้น นอกจากนี้ นางยังมีทักษะด้านการแพทย์ ขอแค่ให้สมุนไพรกับนาง ร่างกายก็ย่อมดีขึ้นได้แน่นอน
เมื่อพูดถึงทักษะด้านการแพทย์ นางนึกถึงแหวนมิติประจำตระกูลที่ยอมรับนางเป็นเจ้าของในชาติก่อนนั่น ด้านในของแหวนนั้นมีพื้นที่มิติว่าง ภายในสามารถเพาะปลูกสมุนไพรได้ เมื่อครู่นี้นางมองไปที่นิ้วมือ นางสามารถมองเห็นลวดลายที่มีอยู่บริเวณนั้นได้ ลวดลายนั้นมีเพียงแค่นางคนเดียวที่สามารถมองเห็น เมื่อก่อนทันทีที่นางสัมผัสลวดลายนั้น ก็สามารถเข้าไปในแหวนมิติได้ เพียงแต่ครั้งนี้นางเข้าไปไม่ได้
ถ้าหากว่ามีแหวนมิติ ไหนเลยจะต้องลำบากเช่นนี้? นางนำไก่และกระต่ายโยนเข้าไปในมิติแล้วเลี้ยงพวกมันไว้ ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะคลอดลูกไก่และลูกกระต่ายก็เป็นได้
“ท่านแม่ เมื่อก่อนข้าตามพี่ชายไปเที่ยวเล่นในภูเขาอยู่บ่อยๆ รู้จักถึงสภาพที่นั่นเป็นอย่างดี อีกอย่าง ข้าไม่ได้ไปบริเวณลึก แค่ออกไปเดินเล่นอยู่ด้านนอก อีกไม่กี่วันอาหารของพวกชาวบ้านก็จะกินกันจนหมดเกลี้ยงแล้ว ย่อมต้องมีความคิดที่จะขึ้นภูเขาลูกนี้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นพวกเราคิดอยากจะหาของกิน เกรงว่าจะยากกว่าการขึ้นสวรรค์เสียอีก พวกเราควรถือโอกาสนี้เก็บสะสมอาหารให้เพิ่มมากขึ้นนะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว
“แต่…” หยางซื่อไม่วางใจ ต้องการจะโต้แย้งคำพูดของนาง หลิงมู่เอ๋อร์ขัดจังหวะนาง
“ท่านไม่รู้จักสภาพบนภูเขาลูกนี้เท่าข้า นอกจากนี้แม้ว่าอุณหภูมิของน้องเล็กจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังต้องดูแลอย่างดี ในยามปกติเขายังต้องพึ่งพาท่านมาก หากเขาไม่เห็นท่านก็จะร้องไห้ได้ ท่านไม่ต้องออกไปข้างนอกอีกแล้ว เมื่อครู่พวกเราเกือบจะเสียน้องเล็กไป ตอนนี้สำหรับพวกเราความปลอดภัยของน้องเล็กสำคัญที่สุด” หลิงมู่เอ๋อร์ให้เหตุผลกับนางอีกครั้ง