“เดี๋ยวๆๆ ต่อแถวก่อนนะขอรับ! ทุกท่านไม่ต้องแย่งกัน สินค้าของเรามีมากมายพอสำหรับทุกท่านแน่นอน อ้ะ! คนนั้นน่ะ เจ้าน่ะต่อแถวสิอย่างแซงคิวคนอื่น!” แม็กซ์ชายหนุ่มอารมณ์ดีเกษตรกรประจำฟาร์มกลางหุบเขา ตะโกนประกาศไม่ได้หยุดเลยในวันนี้ เพราะเขาได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ดูแลการขายผลผลิตในวันนี้
แต่ด้วยผู้คนมากมายที่มาจับจ่ายจนหนาตาเช่นนี้ก็เพราะที่นี่คือเมืองฟลอริสตี้ ที่ซึ่งเศรษฐกิจการค้า และฐานะชาวบ้านยังมั่นคงดีอยู่ ด้วยชื่อเสียงของผลผลิตจากฟาร์มแห่งเทือกเขาแม็กซิมัส รวมกับคุณภาพ และความสดใหม่ ทำให้ชาวบ้านต่างก็เข้ามาจับจ่ายซื้อหากันอย่างบ้าคลั่ง
ที่สำคัญตามประกาศของชายหนุ่มว่าสินค้ามีเพียงพอกับทุกคน นั่นก็เพราะร้านที่เขากำลังขายของอยู่นี้ก็คืออาคารพาณิชย์ในพื้นที่ด้านข้างโกดังบริษัทแม็กซิมัสนั่นเอง และแน่นอนว่าในโกดังได้ถูกติดตั้งประตูมิติสำหรับการขนส่งเอาไว้ หากของใกล้หมดเมื่อไรก็สามารถนำมาเติมได้รวดเร็วทันใจ
“อามิน เจ้าไปบอกทีโอเรียให้เอากะหล่ำปลีมาเพิ่มอีกเกวียนสิ” แม็กซ์หันไปบอกเด็กชายผมน้ำตาลที่กำลังนั่งตัดแต่งใบกะหล่ำปลีอยู่
“ขอรับๆ แต่ถ้าเอาของมาเพิ่มเรื่อยๆแบบนี้เมื่อไรข้าจะได้ไปเที่ยวสักทีเล่าขอรับ แอนเน่ยังได้ออกไปเที่ยวกับคนอื่นเลย แต่ข้ากลับต้องมานั่งตัดผักอยู่ที่ร้านแบบนี้เสียอย่างนั้น” อามินลุกขึ้นยืนอย่างเหนื่อยใจ พร้อมกับบ่นออกมากับชายหนุ่มหัวหน้างานของตน
“อย่าบ่นไปเลยน่า พวกเรากำหนดเป้าหมายของวันนี้ไว้แล้ว ถ้าหมดเมื่อไรก็ไปพักกันได้เมื่อนั้น และเท่าที่ข้าคาดการณ์ไว้คงไม่เกินเที่ยงของก็น่าจะขายหมดแล้วล่ะ” แม็กซ์อธิบายออกมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น
แต่ด้วยผลผลิตที่ฟาร์มลึกลับเก็บเกี่ยวได้ต่อวันในปัจจุบันนั้น มีมากกว่าตอนแรกๆที่ภามลงมือปลูกเองหลายเท่า ตอนนี้สินค้าที่เตรียมไว้ทั้งหมดจึงมีมากมายจนสามารถเลี้ยงคนได้ครึ่งเมืองเลยทีเดียว
“เอ๋? ถึงของเราจะขายดีก็จริง แต่ด้วยจำนวนที่มีมากขนาดนั้นก็ไม่น่าจะหมดก่อนเที่ยงได้นี่ขอรับ” เด็กน้อยอามินกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ฮ่าๆ พวกเราไม่ได้จะขายพวกมันทั้งหมดวันนี้หรอกนะ เริ่มแรกเราก็ปล่อยขายสินค้าใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจออกไปเพื่อสร้างกระแสความนิยมของลูกค้า และยิ่งเมื่อมีคนต้องการมากสินค้าของเราก็จะมีคุณค่ามากขึ้น พอถึงตอนนั้นเราก็จะหยุดขายโดยบอกว่าสินค้าหมด เมื่อลูกค้าต้องการแต่ไม่มีสินค้าราคามันก็จะยิ่งถีบตัวสูงขึ้นไปอีกยังไงล่ะ” แม็กซ์ยังอธิบายออกมาด้วยความภาคภูมิใจในความรู้ของตนเช่นเดิม
“แต่ถ้าของหมด ไม่ใช่ว่าลูกค้าจะเปลี่ยนไปซื้อจากเจ้าอื่นแทน แล้ววันหลังพวกเขาก็คงจะไม่มาซื้อกับเราอีกเพราะของเรามีไม่แน่นอนนะขอรับ” อามินที่เห็นจุดอ่อนของแผนการนี้รีบกล่าวแย้งทันที
“แหมๆ เจ้านี่หัวไวดีนะ แม้ว่าที่เจ้าพูดมาจะถูกต้องแต่ว่านั่นคือในกรณีที่พวกเรามีคู่แข่ง แล้วเราไม่มีสินค้าต่างหาก ซึ่งเรื่องนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเรามีผลผลิตที่ใหญ่กว่า อร่อยกว่า และมากกว่าที่อื่นในฤดูหนาวแน่นอน รวมทั้งเมื่อถึงวันพรุ่งนี้เราก็มีของมาขายอีกรอบแล้ว ไม่ได้ทิ้งช่วงนานเกินไปยังไงล่ะ” ชายหนุ่มอธิบายต่ออย่างใจเย็น เพราะเห็นว่าเด็กชายมีความสนใจด้านการค้าขายเช่นกัน การให้ความรู้ความเข้าใจกับอามิน ที่เป็นเหมือนน้องชายแท้ๆก็เป็นสิ่งที่แม็กซ์ให้ความสำคัญ
“อย่างนี้มันจะไม่เท่ากับว่าเราหลอกลวงลูกค้าหรือขอรับ?” เด็กชายผู้ใสซื่อยังคงสงสัยอยู่
“ตอนนี้พวกเรากำลังเป็นพ่อค้านะ และการค้าต้องมีกำไร เพราะฉะนั้นการสร้างความต้องการสินค้าให้กับลูกค้านั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้เราขายของได้ เอาล่ะตอนนี้หยุดความสงสัยแค่นี้ก่อน เจ้ารีบไปบอกทีโอเรียให้เอากะหล่ำปลีมาเพิ่มได้แล้ว ยิ่งงานเสร็จเร็วเราก็จะได้ไปเที่ยวกันเร็วนะ” แม็กซ์ย้ำเตือนหน้าที่ของเด็กชายอีกครั้งก่อนจะกลับไปดูแลลูกค้าจำนวนมากต่อ
ปัจจุบันแม็กซ์ไม่ใช่เพียงแค่เด็กกำพร้าที่ทำงานรับจ้างแลกข้าวไปวันๆอีกแล้ว แต่เขากลายเป็นเกษตรกรที่เชี่ยวชาญการเพาะปลูกพืชล้มลุก และผู้เชี่ยวชาญเรื่องแผนการตลาดไปแล้ว นั่นก็เพราะได้คำแนะนำจากภาม รวมทั้งได้อ่านหนังสือความรู้มากมายที่เจ้านายนำมาให้
ด้วยความขยันหมั่นเพียรทั้งด้านการทำงาน และความใฝ่รู้ ทำให้แม็กซ์กลายเป็นหนึ่งในมันสมองของฟาร์มลึกลับได้อย่างรวดเร็ว และแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ออกมาขายสินค้าด้วยตัวเอง แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเกินคาดจริงๆ
ภามที่อยู่ในห้องทำงานบนชั้นสองในบ้านอีกหลัง กำลังมองไปที่ร้านค้าของตนซึ่งมีลูกค้ามาแย่งกันซื้อของเต็มไปหมดก็ยิ้มด้วยความดีใจ เพราะตอนนี้การสร้างประตูมิติต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก เงินเดือนที่ต้องจ่ายให้ลูกน้องคนละหนึ่งเหรียญทองต่อเดือน กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกัน
แต่ที่อยู่ในห้องนี้ไม่ได้มีแต่เจ้าของฟาร์มเพียงคนเดียว ยังมีชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่ด้านข้างอีกด้วย และเขาก็กำลังจ้องมองมาที่ภามด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน เหมือนกับว่ากำลังต้องการอ่านความในใจของภามให้ออกอย่างไรอย่างนั้น
“นี่ฮาคิม เจ้าจะจ้องข้ามากเกินไปแล้วนะ หากเป็นหญิงสาวข้าคงคิดว่าเจ้ามีใจแอบหลงรักข้าเสียแล้ว” เจ้าของบริษัทขนส่งหันไปกล่าวกับเพื่อนด้วยรอยยิ้ม
“หึ! เจ้าคิดว่าตัวเองหล่อมากหรือไง? ถ้าไม่ใช่เพราะข้าชื่นชมในความสามารถของเจ้า และเห็นเจ้าเป็นเพื่อนล่ะก็ ข้าคงต้องต่อสู้แลกชีวิตกับเจ้าอย่างแน่นอน นอกจากจะทำให้น้องสาวข้าหลงใหลแล้ว ตัวเจ้ายังทำให้สตรีที่ข้าหลงรักมาเนิ่นนานตกหลุมรักได้อีก ข้าควรจะแค้นเคืองเจ้าถึงจะถูกสิ!” พ่อค้าไวน์ก่นด่าระบายความอัดอั้นตันใจออกมา แต่มันก็เป็นเพียงการระบายอารมณ์เท่านั้น เพราะเขาก็รู้ดีว่าไม่อาจบังคับจิตใจของใครให้รักชอบใครได้ และยิ่งคนคนนั้นเป็นภามด้วยแล้วเขาก็ไม่ได้อาจเกลียดชังได้ลง
“อืม…นั่นสินะ มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ทั้งหมดนี่อาจเป็นเพราะเจ้าตกหลุมรักข้าเองก็ได้ไม่ใช่เหรอ เจ้าจึงอภัยให้ข้ายังไงเล่าฮาคิม” ภามยังคงพูดล้อเล่นกับพ่อค้าตรงหน้าต่อ เหมือนกับว่ายิ่งเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของฮาคิมแล้ว จะทำให้เจ้าของฟาร์มรู้สึกสนุกขึ้นมาทันที
“บัดซบ! นี่ข้าอุตส่าห์ไม่ถือสาหาความ แต่เจ้ากลับมากวนประสาทข้าเองอย่างนั้นรึ นี่ถ้าไม่มีธุระจริงๆข้าไม่มาถึงฟลอริสตี้หรอกนะ” พ่อค้าไวน์สบถออกมาด้วยความรำคาญกับคำพูดกวนๆของเพื่อนตรงหน้า
เมื่อฮาคิมกล่าวจบ ภามก็หันไปจ้องตาเพื่อนทันทีด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้พ่อค้าไวน์ถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าเพราะรังสีสังหารที่อดีตทหารปลดปล่อยออกมาจากความขุ่นเคือง หรือเป็นเพราะเขาเองเกรงกลัวในพลังของภามกันแน่ แต่นั่นก็ทำให้เขาต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่งเลยทีเดียว
“ฮาคิม เจ้ามาที่ได้เพราะบัตรประจำตัวที่ข้าให้ไปไม่ใช่รึ? แค่วาร์ปไปที่ฟาร์มแล้วเดินเข้าประตูมิติมาก็ถึงที่นี่ก็ใช้เวลาไม่เกินสามนาทีด้วยซ้ำ แค่นี้เจ้าก็คิดว่ามันเป็นปัญหาแล้วเหรอ? อีกอย่างเจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเองนะข้าไม่ได้เชิญสักหน่อย” ภามกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ภาม! นี่เจ้ากำลังน้อยใจงั้นรึ? คนหน้าด้านอย่างเจ้าน้อยใจเป็นด้วยเหรอ?” ฮาคิมถามกลับด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาไม่คิดว่าคนที่มีบุคลิกนิ่งๆ และมีเหตุผลอย่างภามจะแสดงอาการแบบนี้
“ฮะ! น้อยใจเหรอ? ไม่ใช่ว่าเจ้างอนข้าอยู่หรือไงที่ไม่ชวนเจ้ามางานเลี้ยงเปิดกิจการใหม่น่ะ แล้วที่ข้าให้การ์ดไปก็เพื่อให้เจ้าเดินทางไปมาได้สะดวก แต่เจ้าก็บ่นว่าการมาที่ฟลอริสตี้มันทำให้เจ้าลำบากอีก” ภามเถียงกลับไปอีกครั้ง
แต่ในขณะที่ฮาคิมกำลังอ้าปากจะเถียงกลับไป เสียงกรีดร้องของหญิงสาวก็ดังขึ้นด้านที่ข้างพวกเขานั่นเอง
“กรี๊ด! หยุด! หยุดได้แล้ว! พวกเจ้าสองคนจะจีบกันไปถึงเมื่อไรกัน ข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะ หุบปากแล้วมานั่งลงคุยกันเสียที!” หญิงสาวผมขาวในชุดหนังสีดำตะโกนออกมาอย่างเหลืออด เมื่อต้องมาฟังการเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระของผู้ชายสองคน
MANGA DISCUSSION